#อีกหนึ่งเรื่องที่อยากเล่าครั้งแรกที่อธิษฐานขอเจอเจ้ากรรมนายเวร#

วันนี้สวดมนต์เสร็จแล้วจัดห้องพระค้นไปเจอบันทึกเก่าๆเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม และประสบการณ์แปลกๆที่ตนเองได้เจอ อ่านไปเจอเรื่องเจ้ากรรมนายเวรแล้ว จึงคิดว่าอยากจะมาเล่าแบ่งปันประสบการณ์ให้ได้อ่านกัน
จขกท.มีประสบการณ์กับเจ้ากรรมนายเวรของตนเองถึง 4ครั้ง เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ไม่มีเจตนาจะสร้างความงมงายแต่อย่างใด เจตนาที่นำมาเล่านี้ เพียงเพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์หรือให้แง่คิดดีๆแก่ผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นหากบังเกิดอานิสงค์เป็นบุญกุศล ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่กิดขึ้นในครั้งนี้แด่เจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ขอให้ท่านได้รับบุญกุศลนี้และได้โปรดเมตตาอโหสิกรรมให้แก่กันและกันด้วยเทอญสาธุ

เริ่มเรื่องเลยนะคะ
#ครั้งที่ 1 เมื่อจขกท.อายุ 10 ขวบ

เราได้ยินเรื่องเจ้ากรรมนายเวรมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนั้นอยู่ป.4 เวลาที่ไปทำบุญที่วัดกับตายาย หลวงตามักจะเทศน์และจบด้วยการกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรเสมอ.

ซึ่งเราก็สงสัยว่าเจ้ากรรมนายเวรนี้คือใคร ทำไมต้องทำบุญกรวดน้ำส่งไปให้ด้วย
เราเคยถามตาเราว่าเรามีเจ้ากรรมนายเวรไหม
ตาเราตอบว่าทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวร. แล้วเจ้ากรรมนายเวรเราเป็นใคร. ตาเราตอบอยากรู้ก็ต้องมาวัดและสวดมนต์ทุกวัน

เราเริ่มสนใจและอยากรู้ว่าใครคือเจ้ากรรมนายเวร ของเรา
อยากรู้จัก อยากเห็นและอยากเจอ
ที่บ้านเราแม่เรานับถือเจ้าแม่กวนอิมเราจะเห็นแม่ถวายน้ำชาและสวดบทเจ้าแม่กวนอิมเกือบทุกวัน
เราถามแม่หลังจากที่แม่สวดมนต์เสร็จว่าแม่มีเจ้ากรรมนายเวรไหม.
แม่บอกว่าทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวร
เราถามแม่ว่าเจ้ากรรมนายเวรคือใคร
แม่เราได้อธิบายให้เราฟังจนเราพอเข้าใจในเวลานั้นว่าคือคนที่ในอดีตเราเคยทำร้ายเขาหรือเขาอาจเคยทำร้ายเรา.
ทำให้ความอยากรู้ของเราเพิ่มมากขึ้น เราอยากรู้ว่าใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา  ช่วงนั้นเรารู้สึกจดจ่อและครุ่นคิดตลอดเรื่องเจ้ากรรมนายเวรไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องนึกถึงตลอด อารมณ์เหมือนตอนวัยรุ่นที่อยากรู้ว่าเนื้อคู่ของเราเป็นใครหน้าตาเป็นอย่างไรประมาณนั้น
เราถามแม่ว่าทำยังไงจะรู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรของเราเป็นใคร
แม่เราหัวเราะแล้วบอกตัวแค่นี้ทำเป็นอยากรู้เดี๋ยวเขามาให้เจอจริงๆแล้วจะหัวหด เราก็ถามแม่ทำไมต้องหัวหด  แม่เราเลยบอกถ้าอยากรู้จริงๆอาม่ากวนกิมบอกได้ให้เราสวดมนต์ก่อนนอนทุกวันและตั้งจิตอธิษฐานขอให้อาม่ากวนอิมช่วยบอกเรา ดูแม่จะไม่จริงจังเหมือนจะพูดเล่นซะมากกว่าแต่เราจริงจัง เราจะลองทำตามที่แม่บอก

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการนำพาเราและเจ้ากรรมนายเวรมาพบกัน  
เราเริ่มฝึกสวดมนต์อย่างจริงจังกับแม่
ที่โรงเรียนก็ได้สวดมนต์ไหว้พระหน้าเสาธงซึ่งก็ไม่ได้จริงจังอะไรนัก

เราสวดมนต์ด้วยความตั้งใจ จนสามารถสวดมนต์ได้ด้วยตนเองไม่ต้องมีแม่พาสวด เราสวดจนครบ 3เดือน มีความรู้สึกตอนนั้นคือมีพลัง มีความมั่นใจ มีความกล้าหาญ
มีความเบิกบาน รู้สึกมีความสุข
เราคิดว่ามันน่าจะถึงเวลาของเราแล้ว
พอถึงวันเสาร์วันหยุดของเราวันนี้เป็นวันพระวันดีด้วย ตอนเช้าเราก็ไปวัดกับตายาย คืนนี้ล่ะที่เราจะจุดธูปถามอาม่าว่าเจ้ากรรมนายเวรเราเป็นใคร

ประมาณ 1ทุ่มเราสวดมนต์เสร็จ เราจุดธูป 12ดอกอธิฐานต่อหน้าอาม่ากวนอิมว่า ลูกสวดมนต์บูชาอาม่ากวนอิมมาจน3เดือนด้วยความตั้งใจอยากให้อาม่าช่วยให้ลูกได้เจอเจ้ากรรมนายเวรของลูก ลูกอยากรู้และอยากเจอว่าเขาเป็นใครเป็นแบบไหน ขอให้ลูกได้เจอด้วยเถิดสาธุ แล้วเราก็เอาธูปไปปักในกระถางต้นไม้หน้าบ้าน

หลังจากนั้นเราก็ดูทีวีกับพ่อแม่น้อง พอง่วงเราก็เดินขึ้นบันไดไปนอน

พ่อฝึกเราให้นอนคนเดียวตั้งแต่เราอยู่ป.2 เราเปิดประตูห้องนอนแล้วปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยเห็นที่นอนแล้วเราก็ล้มตัวลงนอนและหลับทันทีด้วยความง่วง

มาสะดุ้งอีกทีเหมือนมีอะไรตกลงมาทับที่ไหล่ด้านซ้ายรู้สึกเจ็บและหนัก เราใช้มือข้างขวาเอื้อมาจับดูว่าเป็นอะไร สิ่งที่เรากำลังสัมผัสคือหัวคนมีผมแบบฟูๆ เราขนลุก รู้สึกกลัว รู้ตัวว่าไม่ได้ฝัน ไม่กล้าลืมตา ใจเต้นโครมคราม
คือมันทั้งกลัวทั้งตื่นเต้น คิดในใจมันเป็นอะไรกันแน่
ตัวอะไร หรือเป็นสิ่งที่เราอยากเจอ เจ้ากรรมนายเวรเหรอทำไมถึงเป็นแบบนี้ ตอนนั้นเรารู้สึกกลัวมากขึ้น พลังและความกล้าหาญหายไปหมดสิ้น เหลือแต่ความกลัว แต่เราก็อยากรู้ให้แน่ชัดว่ามันคืออะไรแน่ เรารวบรวมกำลังใจอีกครั้งใช้มือคลำดูอีกที หัวคนแน่นอนมีตา เราจับถูกตาเท่านั้นล่ะ เรากลัวมากขนลุกไปหมด รีบชักมือกลับไม่กล้าขยับตัว
เรานึกถึงอาม่ากวนอิมทันทีนึกในใจอาม่ากวนอิมช่วยหนูด้วยหนูรู้แล้ว ตอนนี้หนูไม่อยากจะเจอแล้ว หนูกลัว ตอนนั้นกลัวมาก เป็นความกลัวที่บอกได้เลยว่าไม่เคยกลัวอะไรเท่านี้ตั้งแต่เกิดมา จะสวดมนต์ก็สวดผิดๆ สวดไม่ได้ มีแต่ความกลัว สุดท้ายได้แต่คิดในใจอาม่าช่วยหนูด้วยหนูกลัวๆๆ จนรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ทับอยู่ที่ไหล่เราไปแล้ว. เราค่อยๆลืมตาแล้วรีบเดินไปที่ห้องนอนพ่อแม่ของเรา แม่เราเปิดประตูรับแล้วถามว่าเป็นอะไรเราบอกแม่ฝันร้ายขอนอนด้วยพรุ่งนี้ค่อยเล่า
เช้ามาเราได้เล่าเรื่องที่เราเจอให้แม่เราฟัง แม่เราบอกนี่ไปจุดธูปขอจริงๆเหรอนี่ ต่อไปอย่าไปหาทำอะไรแปลกๆอีกรู้ไหม และแม่ก็พาไปบ้านตายายให้ตายายผูกข้อมือให้เรา

เราต้องนอนกับพ่อแม่และน้อง อยู่หลายเดือนไม่กล้านอนคนเดียวเพราะ เรากลัว นี่เป็นประสบการณ์ที่เราเจอครั้งแรก
เราไม่คิดว่ามันจะน่ากลัวขนาดนี้ หลังจากนั้นเราไม่คิดอยากจะเจอเจ้ากรรมนายเวรอีกเลย
นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอ

แต่ใครจะหลีกหนีกรรมได้พ้น เมื่อเคยทำกรรมกับเขาไว้ถึงเวลาที่เขาจะมา
ทวงคืน หนียังไงก็หนีไม่พ้น แล้วที่สุดเราก็ได้เจอเขาอีกครั้งเมื่อเราอายุ 26 ปี
ประสบการณ์ครั้งที่2 เราพิมพ์ไว้ที่คห.ที่12 นะคะ
ประสบการณ์ที่ 3-4 เรามีเวลาจะมาตั้งกระทู้ใหม่พิมพ์ให้ได้อ่านกันในวันเสาร์-อาทิตย์หน้านะคะ  พอดีร้านเราหยุดวันอาทิตย์จะพอมีเวลาว่าง

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกระทู้ของเราค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ต่อนะคะ

หลังจากที่เจอเหตุการณ์เมื่อตอน 10ขวบ เราก็ดำเนินชีวิตมาโดยปกติมีสุขบ้างทุกข์บ้าง เรายังสวดมนต์ทุกวัน เริ่มหัดนั่งสมาธิแต่ไม่มีครูอาจารย์แนะนำคือยังไม่ถูกวิธี จนอายุ 25ย่าง26ปี เราเจอปัญหาและอุปสรรคมากมาย ทำให้เราและแฟนเราต้องเรร่อนอยู่ไม่เป็นที่ น่าจะเป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของเราก็ว่าได้ เพราะเรากับแฟนต้องอาศัยจอดรถนอนและใช้ห้องน้ำที่ปั้มน้ำมัน ช่วงนั้นลำบากกันสุดๆ เงินก็ไม่ค่อยมี เงินที่มีได้ไปเซ้งร้านหมูกะทะทำแต่ก็ขาดทุน คือมีแต่เรื่องเสียเงินเข้ามา จนตัดสินใจ เซ้งกิจการต่อให้คนอื่น เหลือเงินก้อนสุดท้ายไม่มากนัก ต้องประหยัดมากถึงมากที่สุด ช่วงนั้นเวลาสวดมนต์มักมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า นี่มันได้ผลจริงไหมนี่เราสวดมนต์ตั้งแต่เด็กมาจนถึงทุกวันนี้ชีวิตทำไมถึงไม่ดีขึ้นเลย บางทีสวดๆไปมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาก็ร้องไห้ไปสวดไปนึกท้อและหมดกำลังใจเลิกสวดไปก็หลายครั้ง

พวกเราได้ไปตั้งหลักหาที่เปิดร้านขายของชำและรับซักผ้าแบบชั่งกิโลที่จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน
เรามาอยู่ที่นี่ได้ 5เดือน ก็มีคนแนะนำเราให้ไปปฏิบัติธรรมที่ขอนแก่น เขาเล่าว่าหลังจากกลับมาชีวิตเขาดีขึ้นจากที่แย่ๆ พระที่สอนก็พาหัดเดินจงกรมและนั่งสมาธิ  เราสนใจตรงที่มีพระสอนนี่ล่ะอย่างน้อยเราจะได้วิธีการทำสมาธิที่ถูกต้อง ที่ผ่านมาเราทำไม่ถูกวิธีหรือเปล่ามันเลยไม่ได้ผล เราก็คิดว่าทุกอย่างต้องมีสูตรมีขั้นตอนมีวิธีทำมันถึงจะเกิดผลลัพธ์ เราอยากพิสูจน์ว่าถ้าทำสมาธิแบบถูกวิธีมันจะดีเหมือนที่หลายๆคนพูดจริงไหม แล้วเขาก็ให้หนังสือคำสอนหลวงพ่อจรัญมาอ่าน เราอ่านแล้วเกิด
อยากลองไปปฏิบัติชวนแฟนเราไปแต่เขาไม่ไป

เราไปปฏิบัติคนเดี๋ยวครั้งแรก 7วัน กลับมาเราก็พยายามปฏิบัติที่บ้านทุกวันสงบบ้างไม่สงบบ้างค่อยๆทำไปเรื่อยๆ

เราเริ่มฝันเห็นสนามรบ เห็นทหารและชาวบ้านถือมีด ดาบ ฆ้อน ต่อสู้กันกับทหารพม่า.  

ในฝันเราเห็นพราหมณ์คนนึงในมือ ถือดาบตะโกนว่า ฆ่าเพื่อนกู แล้วเขาก็กระโดดใช้ดาบฟันคอทหารพม่าที่กำลังใช้ดาบแทงไปที่ท้องใครคนนึงที่นอนกองอยู่กับพื้น ภาพที่เราเห็นสุดท้ายคือหัวของทหารพม่าที่ขาดกระเด็นแล้วเราก็รู้สึกตัวตื่น เราฝันเดิมๆแบบนี้อยู่บ่อยๆ 4-5เดือน ฝันวนเวียนแต่เรื่องนี้ ไม่ไปไหน
บางครั้งจนรู้สึกรำคาญที่ฝันแต่เรื่องเดิมๆแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
เราตัดสินใจชวนแฟนเราไปปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมที่ขอนแก่น ซึ่งเราเคยไปมาแล้วครั้งนึง นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อจรัญที่ท่านเคยบอก

บางคนถ้ามันไม่ทุกข์  ไม่คิดจะเข้าวัด จะเข้าวัดก็ตอนมันทุกข์นี่ล่ะ

เราจำขึ้นใจเลยเพราะความทุกข์ได้นำพาเรากลับมาที่นี่อีกครั้ง

พวกเราตัดสินใจอยู่ปฏิบัติ 7วัน คืนแรกเราก็ฝันแบบเดิมๆอีก
ตอนเช้าเราตัดสินใจไปเล่าเรื่องความฝันให้กับพระอาจารย์ที่สอนกรรมฐานฟัง พระอาจารย์แนะนำเราให้เจริญสติให้มาก อย่าไปยึด บางทีสิ่งที่เราเห็นอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้แต่ที่แน่ๆมันคืออดีตที่ผ่านมาแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้ ให้ตั้งใจทำกรรมฐานและอุทิศส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
หากมีอะไรเกิดขึ้น รู้เห็น อะไร ก็ตามในสมาธิให้กำหนด ถ้ามีอะไรไม่สู้ดีหรือดูน่ากลัวห้ามลุกหนีหรือวิ่งหนีเด็ดขาด
ทุกอย่างให้กำหนดรู้อยู่กับปัจจุบัน

วันที่ 1และ2ผ่านไป จิตเรายังไม่นิ่งยังคิดไปหลายๆเรื่องส่วนมากจะเป็นเรื่องทำมาหากิน เรื่องเงินๆทองๆ

วันที่ 3นี่ความคิดมาหนักเลย อยากกลับออกไปขายของ คิดว่ามานั่งแบบนี้มันเหมือนเสียเวลาทำมาหากิน นั่งสมาธิและเดินจงกรมที่บ้านก็ได้ กลับบ้านขายของยังน่าจะได้เงิน เรื่องความฝันนั้นมันก็อาจจะไม่มีอะไรเลยมันอาจจะเป็นแค่ความฝัน แล้วเราเสียเวลาทำมาหากินเพื่อมาพิสูจน์อะไรนี่ เราสู้กับความคิดนี่ตลอดที่เดินจงกรมกับนั่งสมาธิ

จนเข้าวันที่ 4 วันนี้แปลกจิตเราสงบนิ่งดีมาก มีความสุข เราทำกรรมฐานนั่งสมาธิช่วงเย็น จิตเรานิ่งดิ่งสงบ แล้วจู่ๆมันก็ดับอยู่ในความมืด แต่สติเราเด่นชัดมาก ขณะนั้นเรารู้สึกเหมือนไม่มีกาย หูดับ จิตนิ่งดิ่งสงบ คือบทมันจะนิ่งสงบ มันก็สงบของมันเองแปลกดี แล้วมันก็เป็นแสงว๊าปขึ้นมา เป็นภาพในห้องที่เรานั่งกรรมฐานนั่นแหล่ะคือภาพปรากฏในจิต แล้วเราก็เห็นผู้ชายคนนึงร่างสูงใหญ่ใส่ชุดพม่าเดินถือดาบมาหยุดตรงหน้าเราแล้วได้ยินเขาพูดว่า จำกูได้ไหม จิตเราไหว รู้สึกตกใจแต่เราก็พยายามกำหนดสติตามที่ฝึกมา แล้วเราก็ถอยจากสมาธิก่อนหมดเวลา พระอาจารย์สอบถามเราว่าทำไมถึงออกจากสมาธิก่อนหมดเวลา พระอาจารย์เตือนเราว่าอย่าเสียสัจจะ ให้กำหนดภาวนาให้ครบกำหนดที่สัจจะอธิษฐานไว้
เราได้เล่าให้พระอาจารย์ฟัง ท่านว่าสิ่งที่เราเห็นอาจจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ ถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรจริง เราก็น่าจะใช้โอกาสนี้ตั้งใจทำบุญอุทิศให้เขา เพราะบุญจากการทำกรรมฐานพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นบุญอันสูงสุด เราก็ตั้งใจปฏิบัติและอุทิศส่วนกุศลให้เขาคนนั้นทุกครั้งหลังจากทำกรรมฐาน

วันที่ 6 เรานั่งสมาธิจิตเรานิ่งดิ่งสงบเร็วมาก สติดีมากแต่วันนี้ต่างจากเมื่อวานคือหูเราได้ยินเหมือนคลื่นวิทยุที่กำลังปรับจูนหาสถานีแล้วหูเราก็ดับมันเหมือนเราใช้รีโมทกดเปิดทีวีเป็นจอสว่างขึ้นมาเห็นผู้ชายคนเดิมยืนถือดาบอยู่ต่อหน้าเราแล้วเขาก็พูดว่า จำกูได้ไหม  แล้วเหมือนเขาโยนอะไรมาใส่ที่ตักของเรามันกระเด็นมาใส่มือของเราที่วางทับในท่านั่งสมาธิอยู่ หัวคน จิตเราบอกแล้วมันเหมือนภาพวีดีโอที่กดReplay ไปตอนเหตุการณ์ที่เราเจอตอน 10ขวบ และย้อนไปเป็นภาพที่เราฝันในสนามรบแต่ในสมาธิ เราเห็นหน้าพราหมณ์ที่ใช้ดาบฟันคอพม่าจนคอขาดได้อย่างชัดเจน เรานั่นเอง เราเริ่มกลัวสมาธิเริ่มตกไม่มั่นคง จู่ๆเราได้ยินเสียงผู้หญิงพูดที่ข้างหูเราว่าอย่าลุกหนี อย่าถอยสมาธิ อดทน บุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระ ชดใช้ให้เขาไปซะจนกว่าจะหมดเวลา

เรากลัวมากแต่ก็นึกถึงคำพูดที่ว่า บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ จิตเราเกาะอยู่กับคำพูดนี้ ยึดมาภาวนา แล้วก็เหมือนมีอะไรกระแทกลงที่บั้นคอด้านซ้ายเราอย่างแรง เราเห็นหัวเรากลิ้งลงที่พื้น

เจ็บตรงที่ถูกกระแทกอย่างแรง รู้สึกเจ็บปวดทรมานมาก  เรากำหนดอยู่กับความเจ็บจนหมดเวลา ออกจากสมาธิอุทิศส่วนกุศลพร้อมกำหนดจิตกราบขออโหสิกรรมที่ได้กระทำต่อเขา  เราไปเล่าให้พระอาจารย์ฟัง ท่านแนะนำให้เราทำกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง กลับบ้านไปก็ให้ทำ อย่าทิ้ง แล้วขออโหสิกรรมอุทิศส่วนกุศลให้เขาผู้นั้นเสมอๆ

หลังจากที่เราออกจากสมาธิในครั้งนี้เราจะรู้สึกปวดช่วงไหล่ไปบางทีก็รู้สึกชาถึงแขน บางวันจะปวดเหมือนเส้นจมที่ไหล่
บางวันก็ปวดแขนจนยกแขนไม่ขึ้นแต่จะเป็นเฉพาะด้านซ้าย

เรากลับมาจากวัด เราก็ยังปฏิบัติอยู่ทุกวันตามคำแนะนำของพระอาจารย์เพิ่มเติมคือใส่บาตร ปล่อยปลา ในบางวันที่สะดวก

เรายังฝันแบบเดิมๆอยู่บ้างแต่ไม่บ่อย หลังๆมาเราก็ไม่เคยฝันและไม่เคยเห็นเขาผู้นั้นอีกเลย

นี่เป็นปสก.ที่2 ที่เราเจอ
อ่านดูแล้วบางคนอาจจะว่าเหมือนละครเลย เหมือนเรื่องแต่งเลยใช่ไหมค่ะ
แต่สิ่งมี่เล่ามาคือเราได้เจอมาจริง แต่สิ่งที่มาให้เจอจะเป็นของจริงหรือมาทดสอบเราไหมอันนี้ก็ไม่ทราบได้

ปัจจุบันจขกท.อายุ 45ปี
อาการปวดที่ไหล่และแขนซ้ายยังคงเป็นอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ เคยไปพบแพทย์ได้แค่ยาแก้ปวดปลายประสาทมากินก็ไม่หายตอนนี้เลิกกินยาแล้ว

การนำบันทึกเก่าๆมาอ่าน ทำให้เราเห็นตัวเองมากขึ้น
บางเรื่องจนลืมไปแล้ว กลับมาอ่านก็ช่วยเตือนสติและทบทวนเรื่องราวให้กับเราได้

สำหรับปสก.ที่ 3 เกิดขึ้นตอนอายุ 33ปี ก่อนวันที่เราจะจดทะเบียนสมรสเพียงวันเดียว

ปสก.ที่ 3-4 เราทยอยลงในกระทู้นี้นะคะ

https://pantip.com/topic/40178796

ขอบคุณที่สละเวลามาอ่านเรื่องราวของเรานะคะ ขอบคุณมากค่ะ



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่