[CR] Repatriation Flight | London - Bangkok 23.08.20

Repatriation Flight | London - Bangkok 23.08.20
.
ขอออกตัวไว้ก่อนว่าไม่มีรูปประกอบเลยเพราะไม่กล้าถ่าย ตอนอยู่สนามบินฮีทโธรว์ก็กลัวโควิด
ตอนอยู่สุวรรณภูมิก็เกรงใจเจ้าหน้าที่และผู้ร่วมเดินทางคนอื่นๆ ต้องขออภัยจริงๆค่า
.
วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์การกลับประเทศไทยด้วยเที่ยวบินฉุกเฉินจากประเทศอังกฤษ​ เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับคนไทยในต่างประเทศที่ยังรอคิวกลับประเทศไทยกันอยู่ และเดี๋ยวหลังจากนี้จะมาแชร์เรื่องความเป็นอยู่ของ State Quarantine รวมถึงการตรวจหาเชื้อโควิดแบบ Nasal Swab หรือแหย่จมูกที่หลายๆคนพูดถึงกัน โดยครั้งนี้ขอเล่าตั้งแต่การติดต่อสถานทูตเพื่อขอเดินทางกลับประเทศไทยเลยแล้วกัน อาจจะยาวหน่อย แต่จะได้เห็นภาพและเข้าใจกันถ้วนหน้า  
.
สำหรับการเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงเวลานี้ที่สถานการณ์โควิดยังไม่ดีขึ้นในหลายๆประเทศ ขั้นตอนก็ค่อนข้างจะยุ่งยากและวุ่นวายตามนโยบายของทางรัฐที่เราพอจะรู้ๆกันอยู่ เริ่มจากแรกสุดเราต่อคิวกับทางสถานทูตตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายน หากลองนับคิวดูแล้วเราจะได้กลับไม่เกินช่วงต้นเดือนกันยายนอย่างแน่นอน เหตุการณ์ดำเนินมาถึงช่วงเดือนกรกฎาคม ทางสถานทูตก็ประกาศว่าจะยกเลิกระบบคิวที่ต่อกันมา เนื่องจากสถานการณ์ทีประเทศอังกฤษดีขึ้นแล้ว หลายคนเปลี่ยนใจไม่เดินทางกลับ ทำให้มีคนสละสิทธิ์รอบเดือนสิงหาคมเป็นจำนวนมาก ทางสถานทูตตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นระบบจองคิวตามรอบวันที่แต่ละคนพึงพอใจ ใครมาก่อนได้ก่อน คล้ายๆระบบกดบัตรคอนเสิร์ต ทำให้คนที่ต่ออยู่ในคิวอย่างเราเหวอไปเลย เพราะกลายเป็นว่าทุกคนรวมถึงคนที่สละสิทธิ์รอบก่อนหน้าจะมารุม "แย่ง" กดคิวกันเพื่อชิงตั๋วกลับประเทศไทย
.
เราเตรียมตัวค่อนข้างดีสำหรับการกดคิวกลับประเทศไทยเนื่องจากสัญญาหอกำลังจะหมด และมีเหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องเดินทางกลับให้ได้ภายในเดือนกันยายน ติดขอบจอรอสถานทูตประกาศให้ลงคิว และทันทีที่สถานทูตประกาศ เราลงทะเบียนเสร็จสิ้นภายในหนึ่งนาที และเมื่อกำลังจะลงคิวซึ่งใช้เวลาไม่เกินห้านาทีแรก เหตุการณ์คล้ายกับการกดบัตรคอนเสิร์ตก็เกิดขึ้น นั่นก็คือระบบล่ม ล่มตั้งแต่ 9 โมง จนถึง 5 โมงเย็น ระบบกลับมาใช้ได้อีกครั้ง และแน่นอนว่าไม่มีการแจ้งล่วงหน้า นั่งเกาะเพจเฟสบุคกันถึง 8 ชั่วโมง ระบบส่งออกอีเมล์ก็ยังไม่เสถียร ทำให้หลายคนไม่ได้รับอีเมล์และต้องรอกันถึง 2-3 ชั่วโมง เรียกได้ว่าไม่เป็นอันทำงานทำการกันเลยทีเดียว เราเองนั้นกดได้เที่ยวบินวันที่ 23 สิงหาคม 2563
.
เรื่องมันไม่ได้จบง่ายๆแค่การลงคิวผ่านระบบใหม่ของสถานทูต เพราะอีเมล์ที่เราได้รับมาก็เป็นเพียงอีเมล์อัตโนมัติที่บอกให้เรารอการติดต่อกลับอีกครั้ง แม้ว่าเที่ยวบินวันที่ 9 จะบินกลับไทยไปแล้ว แต่เราเองก็ยังไม่เคยวางใจว่าจะได้กลับไทยหรือไม่ จนกว่าจะได้จ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบิน เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 11 สิงหาคม เราได้รับการติดต่อจากทางสถานทูตให้ลงลายมือชื่อยินยอมการกักตัว 14 วันทันทีที่เดินทางถึงประเทศไทย เราจึงเริ่มดำเนินการหาข้อมูลเรื่อง Fit to fly
.
เวลาผ่านเลยไปจนถึงวันที่ 17 สิงหาคม เราได้รับอีเมล์จากทั้งทางสถานทูตและการบินไทย โดยสถานทูตส่งใบ certificate มาให้ รวมถึงแจ้งว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้างในการเช็คอิน ส่วนทางการบินไทยชี้แจงให้ชำระเงินค่าตั๋วเครื่องบินผ่านทางบัญชีประเทศอังกฤษ เรามีการเตรียมเงินไว้เรียบร้อย ก็สามารถโอนผ่านทางมือถือได้เลย เราก็เช็คความถูกต้องของเลขบัญชีหลายครั้งก่อนจะตัดสินใจโอน และโน้ต initials ใน reference ตามที่การบินไทยแจ้งมา จากนั้นก็ไม่ได้รับการติดต่อใดใด จนกระทั่งวันที่ 19 ทางการบินไทยได้ส่งตั๋วเครื่องบินมาให้ทางอีเมล์ เป็นวันที่เรามั่นใจแล้วว่าจะได้เดินทางกลับประเทศไทยแน่นอน
.
เนื่องจากไม่ได้อาศัยอยู่ในลอนดอน เราแชร์แท็กซี่กัน 3 คนเพื่อเดินทางเข้าไปยังสนามบิน Heathrow ซึ่งจากเมืองเราจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าสำหรับการเดินทาง โชคดีที่ได้ข้อมูลติดต่อแท็กซี่คันนี้ไว้จากครั้งก่อนที่เคยใช้บริการ ให้ราคาค่อนข้างดี และแนะนำเราค่อนข้างเยอะ คนขับแนะนำให้เราเดินทางไปตั้งแต่เนิ่นๆ เนื่องจากวันอาทิตย์เย็นรถจะติด และมีถนนหลายเส้นที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
.
คนขับแท็กซี่นัดเราไว้ 11.30 (ใช่แล้ว คนขับเป็นคนนัดเวลาให้) ไปรับเพื่อนก่อน แล้วจึงมารับเรา ทุกอย่างเสร็จสรรพก่อน 12.00 เรามีการเช็คเอกสารต่างๆบนรถอีกครั้ง พบว่าเพื่อนลืมปริ้นท์เอกสาร ต. 8 ที่ต้องใช้ในการเช็คอิน คนขับแท็กซี่พาเราไปหาร้านปริ้นท์แถวนั้น แต่ร้านส่วนใหญ่ที่ประเทศอังกฤษมักจะปิดวันอาทิตย์ ทำให้ใช้เวลาพอสมควร แต่ท้ายที่สุดแล้วคนขับแท็กซี่ก็พาไปเจอร้านจนได้ และได้เอกสารมาเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะออกเดินทางไปยังสนามบิน
.
เนื่องจากอ่านรีวิวของไฟลท์วันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา มีคนบอกว่าทางเข้า Departure Hall ตรงชั้น 5 เจ้าหน้าที่จะกั้นไม่ให้เข้าจนกว่าจะถึงเวลาเรียกเช็คอิน เราแจ้งแท็กซี่ไว้ล่วงหน้าว่าอาจจะมีเหตุการณ์ดังกล่าว แท็กซี่บอกว่าเพิ่งมาส่งผู้โดยสารเมื่อ 2-3 วันก่อน ไม่เห็นมีเหตุการณ์ที่ว่า แต่ถ้ามีจริงๆสามารถพาไปส่งที่ชั้น 0 แล้วให้เราขึ้นลิฟต์มาได้ แต่ตรงชั้น 0 จะมีค่าที่จอดรถประมาณ 10-15 ปอนด์ จึงตกลงว่าให้ไปส่งที่ Departure Hall ก่อนแล้วดูสถานการณ์อีกที
.
เราเดินทางมาถึงสนามบินประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ สนามบินค่อนข้างโล่ง ไม่มีคิวหน้า Departure Hall Terminal 2 แต่อย่างใด ก็เลยบอกลากับคนขับแท็กซี่และเดินเข้าสนามบิน
.
เราเดินเข้ามาหาที่นั่ง เห็นกลุ่มคนไทยประมาณ 2-3 กลุ่ม เรายืนรอที่นั่งบริเวณ Costa สักพัก ก่อนจะได้โต๊ะ นั่งกินข้าวกินน้ำไปสักพัก ก็เริ่มมีคนทยอยเข้ามาเรื่อยๆ เราเช็คที่บอร์ดตลอดว่าไฟลท์ก่อนหน้าที่เช็คอินเคาท์เตอร์เดียวกันปิดเคาท์เตอร์หรือยัง และเดินไปดูบริเวณเคาท์เตอร์เรื่อยๆ ประมาณ 4 โมง คนเริ่มไปยืนต่อคิวบริเวณเคาท์เตอร์ เราจึงตัดสินใจลุกมาต่อคิว ทำให้ได้คิวเป็นกลุ่มแรกๆ และไม่นานนัก ประมาณ​ 4 โมงครึ่ง คิวก็เริ่มยาวออกไปเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่มีการเดินมาตัดแถวเนื่องจากกีดขวางทางเดิน เราเองมองไม่เห็นปลายแถว ไม่แน่ใจว่าช่วงเวลาหรือเปล่าที่เจ้าหน้าที่จะกั้นไม่ให้เข้า Departure Hall เพราะคนเยอะมากจริงๆ และใช้เวลาในการตรวจเอกสารค่อนข้างนาน เพราะตรวจทีละคน และมีเอกสารคนละ 3 ชิ้น
.
ตอนเช็คอิน เจ้าหน้าที่ค่อนข้างเคร่งกับเรื่องน้ำหนักกระเป๋าพอสมควร และไม่สามารถออกตั๋วให้นั่งด้วยกันได้แม้ว่าจะเดินทางมาด้วยกันก็ตาม (ไม่แน่ใจว่าเป็นเฉพาะเจ้าหน้าที่แต่ละคนหรือเปล่า หรือเป็นมาตรฐานของทั้งหมด) หลังจากเช็คอินเรียบร้อยก็ผ่าน security เข้าไปตามปกติ คนค่อนข้างน้อย มีที่นั่งว่างมากมาย ร้านค้าก็ไม่ได้เปิดทุกร้าน แต่ก็ยังพอมีให้เราเลือกซื้อของฝากเล็กๆน้อยๆได้บ้าง
.
ไฟลท์เราออก 21.25 เรียกบอร์ดดิ้ง 20.45 แต่ก่อนบอร์ดดิ้งทุกคนจะต้องวัดไข้ก่อนโดยแยกคิวกัน ไปต่อคิววัดไข้ก่อน แล้วจึงมาต่อคิวบอร์ดดิ้ง
.
ทางการบินไทยอนุญาตให้นำอุปกรณ์ดนตรีและกีฬาขึ้นเครื่องได้ แต่การหาที่วางไปเป็นค่อนข้างยากลำบาก เนื่องจากคนเต็มไฟลท์​ และแต่ละคนก็ข้าวของเยอะกันมากๆ ลูกเรือต้องคอยมาช่วยหาช่องเก็บให้
.
บนไฟลท์ทุกคนจะต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา สายการบินยังมีอาหารบริการให้ 2 มื้อ รวมถึงมีถุง snack ให้ด้วย แต่งดให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นะ อาหารมื้อแรกก็คืออาหารคู่ใจชาวไทยอย่างเรา กะเพราไข่ดาว เอาคะแนนไปเลยเต็มสิบ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ โดยทั่วไปแล้วการเดินทางบนเครื่องบินค่อนข้างเป็นไปตามปกติ เพียงแต่จะไม่ค่อยมีคนเดินไปเดินมาบนเครื่อง นอกจากนี้ยังสามารถเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลงได้ตามปกติ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากปกติมากนักนอกจากการใส่หน้ากากตลอดกว่า 11 ชั่วโมง แต่ก็ถือว่ายังพอหายใจได้ และทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี
.
ส่วนเรื่องหลังจากการลงเครื่องบิน ขอเก็บไว้เล่าเป็นครั้งหน้ารวบกับ State Quarantine ไปเลยแล้วกันเนอะ  
สามารถติดตามได้ที่เพจ https://www.facebook.com/hareung/ นะคะ ;)
ชื่อสินค้า:   Repatriation flight
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ

แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  เรียนต่อต่างประเทศ ชีวิตในต่างแดน คนไทยในต่างแดน
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่