สวัสดีครับ ผมอยากแบ่งเรื่องของผมให้ทุกคนได้อ่าน ไม่มีใครอยากรู้หรอกครับ แต่ผมขอมาระบายที่นี่ก็แล้วกัน อาจจะเป็นประโยชน์ให้กับหลายคนได้ สมัยผมอยู่มัธยมต้น ผมเป็นคนที่หน้าตาไม่ได้ดีหรอกครับ ใส่แว่น พูดมากพูดเก่ง เรียนพอได้ ไม่ได้เก่งมากมาย ส่วนมากจะเป็นพวกตอบคำถามครู ยกเว้นแต่วิชาที่ไม่ถนัด จะนั่งเงียบเลย ถ้าพูดถึงคุณสมบัติตัวตนก็ ในตอนนั้นผมเป็นคนช่างกล้าแสดงออกในแบบที่เรียกว่าหน้าด้าน มีความเป็นผู้นำสูง มักได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าแต่ละงานที่ได้รับมอบหมาย เป็นคนตลก สร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อนได้ ผมทำอะไรที่แปลกประหลาด ไม่เหมือนใคร ซึ่งมีหลายๆคนสนใจในตัวผม เรียกได้ว่าโดดเด่นมากๆ ถ้าให้พูดไปอีกคือ คนส่วนมากในโรงเรียนรู้จักผม บางคนเรียกชื่อผมโดยที่ผมต้องถามว่า พี่รู้จักชื่อผมได้ยังไงครับ? ซึ่งเขาบอกว่าผมดังไปถึงไหนแล้ว (ยิ้มในใจเลยครับ) ด้านไม่ดีผมก็มีครับ ผมเป็นคนชอบล้อเพื่อน ล้อเลียนปั่นประสาทครู แกล้งเพื่อน (Bully) ส่วนมากจะแกล้งพวกตุ๊ดกะเทยครับ อีกอย่างก็กิริยามารยาทของผมไม่ดีเท่าไหร่ พูดจาไม่เพราะหยาบคาย ด่าทอคนอื่น ทะเลาะวิวาท ชกต่อย ไม่ขอพูดถึงนะครับ คือบอกว่ามีบ่อยเหมือนกัน ไม่ขอให้ใครนำไปทำเป็นแบบอย่าง เพราะมันไม่สำคัญต่อการใช้ชีวิต ผมไม่อยากให้ใครทำเป็นแบบอย่าง เรื่องชกต่อยที่ว่าคือผมเพียงแค่ป้องกันตัวน่ะครับ แล้วเวลาผมไม่พอใจอะไร ความรุนแรงก็จะเกิดขึ้น คดีแรกที่เข้าห้องปกครองคือคดีชกต่อยนี่แหละครับ ในเวลาที่กลั่นแกล้งล้อเลียนเพื่อน ก็กลับบ้านมาคิดนะครับ ว่าทำไมเราต้องทำแบบนั้น มันไม่ดีนะครับอย่าไปทำนะครับ แต่ที่ทำไม่ดีก็พอเข้าใจในเหตุผลตัวเองอยู่ครับ คือเพราะอยากให้คนเกรงกลัว เพราะตอนประถมถูกพาลหาเรื่องมาเยอะ เลยไม่อยากเป็นฝ่ายถูกแกล้งบ้าง เลยวางตนจัดการคนอื่น สุดท้ายก็มีโดนพาลเหมือนเดิมแหละครับ เลยเอาเป็นว่าต้องอยู่เฉยๆ ส่วนที่จะเล่าก็เป็นเรื่องดีๆครับ คือผมเป็นเด็กกิจกรรมครับ ไปมาหาสู่ทำกิจกรรมนู้นนั้นนี้เยอะมาก เป็นสิบกิจกรรมได้ ผมไม่เก่งวิชาจำพวกคำนวณอย่างคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์จำพวกคำนวณ ผมมักจะถนัดในการท่องจำ ยกเว้นจำสูตรครับที่ไม่จำ ผมทำวิชาภาษาอังกฤษได้ดี ครูจึงคัดเลือกให้ผมไปทำกิจกรรมที่เรียกว่า English Camp (ค่ายภาษาอังกฤษ) ผมก็ได้ไปพบเพื่อนเก่าที่เคยเรียนมาด้วยกัน ซึ่งย้ายไปอยู่โรงเรียนที่ผมไปทำกิจกรรมนี้ ในตอนที่ผมอยู่ประถม ผมไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเลยครับ แต่เหตุผลที่ผมเปลี่ยนมาทำภาษาอังกฤษได้เพราะผมชื่นชอบนักร้องนักเต้นอเมริกันผู้หนึ่ง ซึ่งบอกเลยว่าเขาเป็นไอดอลเลยครับ เขาคนเดียวเปลี่ยนชีวิตผมได้เยอะ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องความกล้าแสดงออก ผมทำได้เพราะเขาครับ ที่ผมบอกเพราะจะมาบอกสำหรับใครที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ แนะนำให้ฟังเพลงฝรั่งมากๆครับ ฟังไปดูเนื้อร้องไป ฟังให้ได้สักสิบกว่าเพลงครับ ฟังแร็ปนี่ผมไม่ฟังนะครับ แร็ปไทยผมยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ครับ ฮะๆ นอกจากฟังเพลง ก็ดูหนัง เล่นเกมครับ อ่านแล้วดูไร้สาระนะครับ แต่ถ้าใฝ่เรียนรู้ก็ทำได้จริงครับ เวลาเล่นก็เขียนคำศัพท์ไว้แล้วไปค้นหาความหมายครับ สมัยนี้สื่อมันเยอะ ยังไงก็รู้ครับ เรื่องตั้งใจเรียนในห้องก็สำคัญนะครับ แต่เดี๋ยวพอทำอย่างที่ว่า ก็เข้าใจเองครับ หรือไปลงเรียนพิเศษกับครูฝรั่งอย่าง Teacher Kevin ได้นะครับ (Facebook page : ครูเควิ่น) อันนี้คือแนะนำครับ โอเค เรื่องอื่นๆที่ผมอยากจะบอกก็มีอยู่ครับ ผมจะเล่าว่าผมมีแก๊งเพื่อนที่เพียงแค่ 4-5 คนเดินตามหลังผม แต่เรียกได้ว่า "เพื่อนเหลี่ยม" ครับ ถ้าให้พูดว่าดีจริงๆมีแค่คนเดียวครับ ถึงจะทะเลาะกันบ่อยก็ตาม แต่คนนี้ไม่เหลี่ยมอะไรครับ ถ้าโกรธก็โกรธกัน ไม่คุยกันเฉยๆ จุดเริ่มต้นของหัวข้อกระทู้ที่ผมว่า ผมทิ้งทุกอย่าง เพียงเพราะคำพูดของคนอื่น ก็เพราะความเหลี่ยมของเพื่อนครับ เหลี่ยมที่ว่าคือ ทำตีหน้าซื่อเข้าหากัน ลับหลังนินทาแหลก ด่าว่าผมเยอะมากกกกครับ บอกเลยตอนนี้ตัดเพื่อนไปเรียบร้อย ที่ผมทิ้งทุกอย่างคือ อย่างที่ว่าครับ ผมเป็นคนมีชื่อเสียง ผมทิ้งชื่อเสียงเพราะกลัวคำนินทา จากที่กล้าแสดงออก ก็ไม่แสดงออกอะไรอีกเลย กลายเป็นคนขี้อายไป จากที่ตอบคำถามครูได้ดี กลายเป็นไม่ตอบอะไรเลย กลัวคนนินทามากตอนนั้น เพราะเหลี่ยมเลวๆของเพื่อนนี่แหละครับ ขอวกไปเรื่องที่อยากเขียนหน่อยครับนักร้องนักเต้นที่เป็นไอดอลของผม (ไม่ขอบอกว่าคือใคร) เขาทำให้ผมกล้าแสดงออกอย่างมาก ทำให้ผมมีชื่อเสียงไปเลย หลายคนชื่นชอบผม เพราะผมได้รับให้เป็นทั้งแดนเซอร์ในกีฬาสี คือแต่งตัวเป็นทหาร บอกเลยว่าหล่อ (ขออนุญาตโม้ครับ ฮะๆ) เพราะหลังจากจบกีฬาสี ผมก็ได้รับแจ้งมาว่ามีสาวแอบหลงเสน่ห์ผมเยอะมาก ซึ่งผมก็อย่างว่าครับ มีนักร้องนักเต้นที่ชื่นชอบเป็นไอดอล ที่ผ่านมาก็ได้เป็นนักแสดงวันสุนทรภู่บ้าง เด็กๆรุ่นน้องแต่ละคนจำผมในบทบาทที่ผมได้ครับ เพราะบทที่ผมแสดงมันตลก บวกกับผมที่เป็นคนตลกด้วย การแสดงผมขึ้นเวทีแสดงนู่นนี่นั่นมาหลายครั้งครับ ไปทำกิจกรรมนอกโรงเรียนก็ทำมาเยอะ เป็นจิตอาสา ทำงานนู่นงานนี้มาเยอะครับ ทั้งช่วยครูดูแลดอกไม้กับภารโรง ดูแลน้ำหมักชีวภาพของครู ทำกิจกรรมมามากเป็นสิบครับ ทั้งผู้อำนวยการ ครูใหญ่ และครูคนอื่นรู้จักผมหมดครับ คุณครูที่จัดงานเขาจะรู้ว่าผมกล้าแสดงออก จึงเลือกให้ผมทำกิจกรรมนั้นๆ หลังจากทำกิจกรรมนั้นๆมาก็มักจะตามด้วยคนรู้จัก ความโดดเด่น และเรื่องสาวๆครับ ฮะๆ แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวของผมก็ยังมีคนติดตาม เรื่องรักเรื่องแฟนก็คือเคยคบกับรุ่นน้องผู้หญิง แล้วหลายๆคนต่างก็คอยมาไถ่ถามเรื่องราว ผมทำในสิ่งที่ไม่เหมือนใคร ผมเคยทำในสิ่งที่เรียกว่าช็อกคนทั้งมัธยมครับ (ไม่ขอบอกแล้วกัน) ทั้งรุ่นพี่รุ่นเพื่อนที่เห็นเหตุการณ์นั้นก็ถึงกับอึ้งครับ และมันทำให้ผมมีคนรู้จักเยอะ ส่วนมากความทรงจำจะเป็นเรื่องของการแกล้งเพื่อนในแบบหยอกๆกันครับ แต่ความหยอกๆกันนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่มาเยอะครับ เช่นเรื่องดอกไม้ที่ผมได้รับการดูแลก็มีเพื่อนมาเล่นจนเป็นปัญหา ความเป็นเด็กไม่ดีของผมก็มีอีกครับ ทะเลาะวิวาทกับครูถึงขั้นครูท้าให้สู้กัน แต่ครูเป็นผู้หญิงห้าวครับ ผมผู้ชายไม่ทำร้ายผู้หญิงครับ ที่ทะเลาะก็ด้วยความที่ครูไม่ชอบผม ครูคนนี้มักใช้สิทธิ์ความเป็นครูในการกลั่นแกล้งผม ในตอนแรกผมได้เป็นหัวหน้าหมู่ลูกเสือ เขาก็ทำให้ผมไม่ได้เป็น แถมยังทำให้ละครที่ผมจะใช้แสดงลูกเสือซึ่งผมนั่งเขียนกว่า 30 นาที เขาทำให้ละครไม่ได้ใช้แสดงครับ โดยอ้างว่าละครไม่ดี แต่ใครอ่านใครก็ชอบครับ เกรดวิชาที่ครูเขาสอนนี้ผมได้ 4 มาตลอด แต่เมื่อครูคนนี้เข้ามาสอนผมได้ 3.5 อันนี้ไม่ทราบว่าเป็นฝีมือครูเขาหรือไม่ เพราะวิชานี้ผมทำได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ผมก็ผ่านมาได้ครับ คือช่วงเวลานี้มีความสุขมากครับ ผมโด่งดังโดดเด่น มีคนชื่นชอบ แต่ผมกลับไปมองคนที่มองผมในแง่ลบ นั่นทำให้ผมทิ้งอย่างที่ว่าครับ จากที่โดดเด่น ก็ไม่กลายเป็นไม่โดดเด่น มันทำให้กลายเป็นคนไม่มีความสุข ไม่มีตัวตนในสังคม มันขาดหายความสุขไปเลยครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่มีใครรู้จักนะครับ เรื่องรู้จักคนอื่นยังคงรู้จักครับ เพียงแค่พูดชื่อเล่นของผมก็รู้ว่าหมายถึงใคร เพราะเป็นชื่อที่หาไม่ได้เลยในประเทศไทย คือที่จะบอกว่าผมคิดถึงช่วงเวลานั้นมาก ซึ่งผมทิ้งโอกาสที่จะทำทุกวันนั้นให้มีความสุขได้ทุกวัน ผมใช้ชีวิตช่วงนั้นแบบรอให้มันจบจากโรงเรียนนี้ไปไวๆ เหมือนคนนั่งรอความตายมาถึง ผมลั่นคำพูดว่าจะไม่กลับมาอีก สุดท้ายก็ผิดคำพูดครับ กลายเป็นศิษย์เก่าที่กลับมาเยี่ยมบ่อยที่สุด เพราะคิดถึงช่วงเวลานั้นมาก ผมทิ้งทุกอย่างที่เป็นความสุข ชื่อเสียง คุณสมบัติในความกล้าแสดงออกและมีความเป็นผู้นำไปหมด เพียงเพราะผมกลัวคำนินทาของคน ดังนั้นที่จะบอกหลายๆคนก็คือ 1.คำนินทาเหมือนหมาเห่า รำคาญแต่ไม่เจ็บ ปล่อยไปได้ "ให้ปล่อย" พ่อผมพูดว่า ไม่ต้องไปสนใจว่าใครจะคิดยังไง ถ้าวันนี้ผมอาย วันหน้าผมจะเสียใจ ซึ่งผมเถียงพ่อว่าจะไม่เสียใจแน่ๆ แต่สุดท้ายคนที่ถูกก็เป็นพ่อยังไงล่ะครับ เพราะพ่ออาบน้ำร้อนมาก่อน มีประสบการณ์มากกว่าเรา พ่อผมเคยเป็นนักร้องประจำโรงเรียน พ่อก็ขี้อายครับ พ่อบอกว่าถ้าย้อนเวลาไปได้ พ่อก็จะไม่อายเหมือนวันนั้น 2.เพื่อนเหลี่ยมๆ ถ้าตัดไปได้ให้ตัดเลยครับ ถ้าเพื่อนที่เหลี่ยมเข้าหาเรา มันดีแต่นินทาเรา ตัดไปเลยครับ คือไม่ต้องพูดคุย ไม่ต้องสนใจมัน เห็นมันเป็นอากาศเน่าที่ทำอะไรเราไม่ได้ ผมเสียดายมากที่มาตัดเพื่อนมันตอนก่อนจะจบจากโรงเรียนหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งความจริงผมควรตัดไฟแต่ต้นลม ผมควรตัดเพื่อนชนิดเลวตั้งแต่แรกแล้ว ที่ไม่ตัดก็เพราะกลัวมันจะนินทานี่แหละครับ แต่ความจริงคือก็ได้แค่นินทาน่ะครับ จริงๆตัวตนของผมคือเข้ากับใครไม่ค่อยได้ พวกที่เป็นมิตรกับผมส่วนมากจะเป็นคนคิดดี ฉลาด พวกเรียนเก่ง แต่สิ่งที่ไม่แนะนำให้ทำจริงๆคือการติดเพื่อนครับ ติดนะครับ ไม่ใช่ตัด ผมเขียนถูกแล้ว คือไม่ใช่ว่าเพื่อนไปไหน กูไปหมด เพื่อนเดือดร้อน กูจัดการ รักเพื่อนมาก เชื่อเถอะครับ ถึงเวลาจะเห็นเองว่าไม่มีเพื่อนคนไหนรักเราที่ตัวตน ส่วนมากรักที่ผลประโยชน์ ลองดูคลิปจำพวกวัยรุ่นไปลองของที่เสี่ยงอันตราย พอถึงเวลาอันตราย ทิ้งเพื่อนกันหัวซุกหัวซุน ข่าวล่าสุดที่ผมเจอคือเพื่อนจมน้ำ แต่ไม่ช่วยเพื่อน แถมปิดปากไม่บอกใครว่าเพื่อนจมน้ำตาย ที่แนะนำให้ทำคืออยู่บ้านครับ อยู่กับพ่อแม่ ถ้าไม่อยู่กับพ่อแม่ก็อยู่กับคนที่เลี้ยงมา รักเขาให้มากๆ ดีกว่ารักเพื่อนๆ 3.เรื่องการกลั่นแกล้งที่เข้าใจว่าคือการ Bully ผมเป็นทั้งคนที่ถูก Bully และเป็นฝ่ายทำซะเองครับ จะบอกว่ามันไม่สนุกหรอกครับ กับการทำร้ายจิตใจผู้อื่น ลองเอาใจเขาใส่ใจเราครับ แล้วเราจะเข้าใจ การที่เรากลั่นแกล้งเพื่อนนั่นก็เพราะเราอยากดูเหนือกว่าคนบางคน แต่ความจริงมันทำให้รู้ดูทรามนะครับ 4.มีอะไรให้สนุกๆก็ทำซะ อย่าไปอาย ถ้าอายแล้วจะมาเสียใจแบบผมนี่ก็ไม่ได้นะครับ เพราะปัจจุบันนี้ หน้าตาผม หุ่นผม ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ เมื่อก่อนก็ขออนุญาตหลงตัวเองครับ เรียกว่าหล่อ แต่ก็ไม่ได้หล่ออะไรมากครับ ผมเพิ่งจะมาคิดได้ถึงความกล้าแสดงออกที่ผมมีก็เพราะพวกเพศที่สาม ซึ่งเป็นเพศที่ผมเคยกลั่นแกล้งนะครับ ผมมองว่าพวกเขากล้าที่จะเป็นในตัวตนของพวกเขาโดยที่ไม่มีใครเดือดร้อน กลายเป็นว่าสิ่งที่เคยไม่ชอบกลับสั่งสอนชีวิตผมซะเอง เรื่องเสรีทางเพศผมจึงไม่รังเกียจครับ ก็ตามนี้นะครับ เขียนยาวมาก แต่อยากแบ่งปันเรื่องราวให้หลายคนอ่านครับ เรื่องที่เขียนมาไม่มีแต่งเติมนะครับ เพราะผมไม่มีอะไรต้องโกหกนะครับ ขอบคุณครับ
ผมทิ้งความเป็นตัวตนของผม เพียงเพราะคำพูด คำนินทาและมุมมองของผู้อื่น ความสุขที่ผมเคยมีก็จากไปอย่างน่าเสียดาย