https://www.youtube.com/channel/UCt9tjodbHtyaqqwDuQ95o0w/videos
ธรรมประวัติคุณแม่ชีสุวรรณ์ จากหนังสือธรรมะประวัติคุณแม่ชีสุวรรณ์ แก้วสถิตย์
###ตอนที่1###
คุณแม่ชีสุวรรณ์ แก้วสถิตย์(ชัยโยบัว) มีตระกูลเป็นไทยแท้ทั้งบิดามารดา
-ตระกูลบิดา เป็นตระกูลรับข้าราชการมาจนถึงลูกหลานปัจจุบัน
-ตระกูลมารดา เป็นตระกูลชาวนาบ้าง
รับราชการบ้าง มาจนถึงลูกหลานปัจจุบัน
บิดาเป็นคนชัยภูมิโดยกำเนิด บิดาเกิดที่บ้านบัว อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ มารดาเป็นคนจังหวัดขอนแก่น เพราะฉะนั้น แม่ชีสุวรรณ์ ชัยโยบัว เกิดที่บ้านนกเอี้ยงใหม่ ตำบลบ้านหัน ตำบลเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ แม่ชีสุวรรณ์ เกิดในตระกูลนับถือพระพุทธศาสนามาดั้งเดิม
บิดาชื่อชุ่ม ชัยโยบัว มารดาชื่ออินทร์ หงชุมแพ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๗ คน ผู้ชาย๖คน ผู้หญิงมี แม่ชีสุวรรณ์ คนเดียว เป็นคนสุดท้อง ก่อนที่เราจะมาเกิด แม่เราป่วย ผอม ทานข้าวไม่ได้ แม่เล่าให้ฟังว่า "พ่อฝันว่ามีญาติผู้ใหญ่เอาห่อผ้าขาวมาให้ บอกว่าเป็นแก้ววิเศษ เป็นของดี ให้เก็บรักษาไว้ดีๆนะ" ญาติผู้ใหญ่นั้นเป็นปู่ทวดของเราเอง พ่อบอกแม่ว่า"ไม่สบายไม่ใช่จะแพ้ท้องหรือ" พ่อเล่าความฝันให้แม่ฟัง แม่บอกว่า"แก่แล้วลูกจะมาเกิดได้อย่างไร น่าอาย"
ผลปรากฏว่าเรามาเกิดจริงๆ ตอนคลอดเรา แม่ไม่มีแรงเบ่ง เพราะท้องตอนอายุมากแล้ว แต่ก็ปรากฏว่าปลอดภัยทั้งคู่ แม่บอกว่า พอคลอดเราแล้วปรากฏว่าหมดประจำเดือนเลย เราห่างจากพี่ชายตั้ง๗ปี คนโบราณไม่มีคำว่า กินยาทำลายลูก ถ้าเป็นปัจจุบันนี้ เราคงเป็นปัญญาอ่อนไปแล้วหละ เกิดมาเพราะมีบุญเก่าหนุน เราถึงได้มาภาวนา มีคนเคยมาทักเรา แต่ไม่ใส่ใจ เขาทักว่า"มีพีน้องด้วยกันกี่คน" เขาถามก่อน พอบอกเขาแล้ว เขาบอกว่า"ถ้าในจำนวนพี่น้องเจ็ดคน ถ้าคนที่เจ็ดเป็นเพศแตกต่างคือ ถ้าเป็นเพศชาย๖คนติดต่อกันมา แต่คนสุดท้ายเป็นหญิงนี้ โถ หาไม่ได้เลยนะ แต่ต้องรวมแล้วพี่น้องต้องเจ็ดคนเท่านั้นนะ" เขาบอกว่า"คนสุดท้ายจะเป็นผู้มีบุญวาสนามาก" เขาก็ว่าของเขาไป แต่เราก็พูดกับเขาว่า "เรารู้ด้วยตนเองแล้ว " คราวนี้พูดถึงพี่น้อง ทั้ง๗ คน
๑.นายกันหา ชัยโยบัว (เสียชีวิตแล้ว)
๒.นายชาลี ชัยโยบัว
๓.นายประเวช ชัยโยบัว
๔.นายเหรียญ ชัยโยบัว(เสียชีวิตแล้ว)
๕.นายเดชศักดิ์ ชัยโยบัว(เสียชีวิตแล้ว)
๖.นายสมบูรณ์ ชัยโยบัว
๗.แม่ชีสุวรรณ์ ชัยโยบัว(แก้วสถิตย์)
....แม่ชีสุวรรณ์ ชัยโยบัว(แก้วสถิตย์) เกิดวันที่๖ เดือน มกราคม พ.ศ.๒๔๘๘ เกิดจริงๆ ปีระกา พ.ศ.๒๔๘๘ แต่บัตรประจำตัวประชาชนเป็นพ.ศ.๒๔๘๙ เพราะพ่อแม่เป็นโบราณ แจ้งเกิดวันไหนก็เอาวันนั้นเลยเป็นวันเกิด เกิดที่หมู่บ้านเดียวกันทั้ง๗คน คือบ้านนกเอี้ยงใหม่
ตำบลบ้านหัน อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ
-การศึกษา ก็เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่๔ ที่โรงเรียนศาลาวัดบ้านนกเอี้ยงใหม่ ทั้งโรงเรียนมีครูอยู่สองคน คือครูใหญ่ กับครูน้อย ครูใหญ่ชื่อ ครูสุนิน ฤาชา ครูน้อยชื่อ คุณครูสายทอง(จำนามสกุลไม่ได้) เราเป็นคนขยัน เรียนเก่ง พี่ๆทุกคนเรียนเก่งหมด เราเป็นประธานนักเรียน นำไหว้พระสวดมนต์ ร้องเพลงยถึงขึ้นเพลงชาติเพราะเป็นผู้นำร้อง พอเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่๔ แล้วสอบได้ที่๑ ตลอด ครูก็ถามทุกคนว่า "ใครอยากเป็นอะไร"เรายกมือสูงสุดแขน ครูก็ถามว่า"อยากเป็นอะไร" "อยากเป็นครูค่ะ" คุณครูก็บอกให้ไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมที่อำเภอเกษตรสมบูรณ์ เราก็ไปสอบเข้าเรียนที่นั่น เพราะโรงเรียนประจำอำเภอมีจบชั้นม.๓ เท่านั้น พอจบม.๓ ครูก็แนะนำให้ไปสอบเข้าที่จังหวัดเป็นโรงเรียนสตรี ชื่อโรงเรียนการช่างสตรีชัยภูมิ โรงเรียนนี้มีหอพักประจำที่โรงเรียนด้วย
เราดีใจมาก ปรากฏว่าเราสอบเข้าได้จริงๆพอสอบเข้าได้แล้ว เงินที่จะซื้อหนังสือ เสื้อผ้า ค่าหอพัก เกือบไม่ได้เรียน เพราะเรามีแม่ซึ่งอายุมากแล้วหาเงินให้ลูกเรียนไม่พอ เพราะว่าพ่อของเราเสียชีวิตตั้งแต่เราอายุได้๖ ขวบ เท่านั้นเอง ปรากฏว่าหนึ่งปีผ่านไป ค่าเทอมสมัยก่อน เทอมละ๓๐๐ บาท รวมแล้วเฉพาะค่าเทอมพร้อมหอพัก ค่าหนังสือ ปีหนึ่งก็๑,๒๐๐บาท พอสอบขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่๕ เราสอบผ่านได้เรียบร้อยแล้ว ก็ปิดเทอม ผู้ปกครองมารับกลับบ้าน
พอถึงเวลาเปิดเทอม เงินจะเสียค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนก็ไม่มี ปรากฏว่าไม่ได้เข้าโรงเรียนอีกเลย เครื่องใช้ หนังสืออยู่หอพักโรงเรียนหมด ไม่ได้กลับไปโรงเรียนอีกเลย กระทั่งป่านนี้ เราร้องไห้จนตาบวมหมดเลย เพราะเรารักในการเรียน เอาจริงเอาจังกับทุกเรื่องที่เป็นสิ่งถูกต้อง เพราะฉะนั้นถึงได้จบ ป.๔ ป.๕ เมื่อไม่ได้เรียนหนังสือต่อ ความหวังว่าจะเป็นครู ก็ไม่ได้แล้ว
อีก ๒ ปี ต่อมา แม่ก็พอมีเงินนิดหน่อย ก็ขอแม่ว่าลูกอยากเรียนตัดเสื้อผ้า แม่ก็เมตตาลูก ก็ให้ไปเรียนที่อำเภอ ชุมแพ ซึ่งเป็นบ้านเกิดคุณแม่ ค่าเรียนจนจบหลักสูตร ๓๐๐ บาท ปรากฏว่าร้านที่เราเรียนเป็นร้านใหญ่ มีชื่อเสียง นักเรียนเป็นสิบกว่าคน เราเรียนอยู่เดือนเดียวได้เป็นผู้ช่วยสอน อาจารย์ให้สอนช่วย เพราะเก่งกว่านักเรียนทั้งหมด ไปเรียนที่สถาบันไหน เราสอบได้ที่๑ ตลอด เราทำงานหาเงินได้แล้ว
- ชีวิตการครองเรือน แต่งงานเมื่ออายุ๑๗ ปี สามีชื่อเลิศ นามสกุล แก้วสถิตย์ ครองเรือนด้วยความรักซื่อสัตย์ เหมือนเป็นอวัยวะเดียวกัน จนมีบุตรด้วยกัน๓ คน คนโตเป็นผู้ชาย คนกลางและคนเล็กสุดท้องเป็นผู้หญิง ดังนี้
๑.นายนิคม แก้วสถิตย์
๒.นางสาวพรทิพา แก้วสถิตย์
๓.นางสาวกาญจนา แก้วสถิตย์
การอยู่ครองเรือนน ถึงแม้เราจะมีเงินอยู่ในฐานะปานกลาง มันก็ยังมีทุกข์ ทุกข์มันจะซ่อนอยู่ตลอดเวลา วันๆมองเห็นแต่ทุกข์ คนอื่นเขามอง เขามองว่าเรามีความสุขมาก สามีภรรยารักกันไม่เคยนอกใจกัน คำพูดของเราไพเราะ เป็นครอบครัวนับถือพระพุทธศาสนามาดั้งเดิมแต่ต้นตระกูลมาตลอด แต่ทำไมเรามองเห็นทุกข์มันซ่อนอยู่ตลอดเวลา เพราะเราเป็นคนรู้เองเห็นเองทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้าของร้านตัดเสื้อชื่อดังในอำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ชื่อร้านเลิศแฟชั่น ตัวเราเองก็เป็นครูสอนตัดเสื้อในร้านของตัวเอง และสามีก็ตัดเครื่องแบบทหาร ตำรวจและชุดทั่วๆไป ส่วนเราก็รวมทุกอย่าง ชุดวิวาห์ ราตรี ชุดเครื่องแบบหมอ พยาบาล ครู ข้าราชการ และชาวบ้านทั่วไป เพราะเป็นงานหน้าร้าน คิดว่าเราประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ทุกข์มันก็ยังซ่อนอยู่เหมือนเดิม อยากบวชเป็นกำลัง
เมื่อเห็นทุกข์มากๆก็ทำไม่ได้ ไปหาพระๆ ก็ถามว่า "ทุกข์เพราะเหตุไร" เราตอบท่านว่า "ทุกข์เพราะโกหก" "โกหกเรื่องอะไร" เลยตอบท่านตามความเป็นจริงว่า "รับงานตัดผ้าเยอะๆ แล้วทำไม่ทัน ก็โกหกเขาว่า ตัดแล้วๆ ช่างเย็บไม่ทัน เขาก็ด่าเอา เดี๋ยวๆทัน ก็ไม่เสร็จทันเหมือนพูด วันไหนก็เป็นวันงานล้นมือ ทานข้าวก็ไม่เป็นเวลา นอนก็น้อย " พระก็ให้กำลังใจว่า "เรามุสา เอาใจลูกค้า ไม่เป็นไร เราทำให้เขาอยู่ ไม่ใช่ไม่ทำ เราไม่ได้ไปหลอกต้มตุ๋มให้เขาเสียหายอะไรนี่" แต่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น
มันทับถมความทุกข์มากๆเข้า ทุกวัน จนทนไม่ได้ ทั้งๆที่สามีเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษ จะไปไหนมาไหนด้วยกัน สามีเป็นคนดูแลเราตลอด อย่างเช่นเรื่องอาหาร เราชอบทานอะไร อย่างเช่น เราชอบทานลูกชิ้น เมื่อเรานั่งทานก๋วยเตี๋ยวกัน ท่านจะเอาลูกชิ้นมาใส่ถ้วยเราหมดเลย เวลาเรานั่งพักผ่อนกันที่บ้าน ตักเราเป็นหมอนสำหรับท่านเสมอ เพราะเรารักกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน แต่ขนาดนั้นความทุกข์มันแอบซ่อนอยู่เหมือนเดิม
เมื่อมองเห็นทุกข์มากๆเข้า มันก็ทนไม่ได้ ก็มาวินิจฉัย สาเหตุที่เราทุกข์มากๆนี่ เพราะอะไร สาวหาสาเหตุก็มาลงจุดที่ว่า เพราะความโลภตัวเดียวนี้แหละ ได้เท่าไหร่ไม่พอ มีแต่อยากได้ไม่หยุดไม่ถอย รักลูกก็รักมาก อยากให้ลูกอยู่ดีกินดี มีการศึกษาสูงๆ จนกว่าเขาจะพอใจ วาดมโนภาพไว้ตลอด ไม่อยากให้เขาทุกข์เหมือนเรา นี่เกิดจากบิดามารดารักและห่วงใยลูก เมื่อทุกข์ทับถมเข้ามากๆ มันก็หาทางออกเป็นเหมือนกัน เลยนึกถึงพระพุทธเจ้า ตอนพระองค์เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์มีพระชายา และมีพระโอรสเล็กๆมีพระราชสมบัติ ข้าวของเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ ทุกอย่างเหลือล้นพอประมาณ พระองค์ก็ยังมีทุกข์ ทุกข์เพราะ ความแก่ ทุกข์เพราะความเจ็บไข้ ทุกข์เพราะความตาย
เราก็มองเห็นตามพระองค์ พระองค์เสด็จออกบรรพชาได้ เราก็จะขอปฏิบัติตามพระองค์บ้าง เลยตัดสินใจทันทีเลย เพราะเรานอนไม่หลับทั้งคืน นึกวกไปเวียนมา พระองค์เสด็จออกไปบรรพชาตอนดึกสงัด เราก็เอาเวลาสงัดจากคนสัญจรไปมาเช่นเดียวกัน ทีนี้ลูกทั้งสามคนยังเล็ก คนเล็กอายุได้๔ ขวบ นอนอยู่กับพ่อแม่ ส่วนคนกลางนอนอยู่กับยาย คนโตเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.๑ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จังหวัดอุดรธานี
พอได้คิดแล้วก็ลุกออกจากที่นอน เพราะนอนไม่หลับทั้งคืน ลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้ามาใส่ซ้อนกันหลายตัว เพราะตอนนั้นเป็นหน้าหนาว พอดีต้นเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๒๐ เหมารถไปวัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ราคาเหมารถ๔๐๐ บาท ตอนนั้นรถออกไปจากบ้านตอนตี ๓ วัดหินหมากเป้ง เราก็ไม่เคยเห็นสักที หลวงปู่เทศก์ เราก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยเห็นองค์จริงขององค์ท่านเลย เห็นแต่ในรูปเท่านั้น เพราะรูปขององค์ท่านเขาเอาลงในหนังสือบางกอก ตอนนั้นเรารับหนังสือบางกอกเป็นรายเดือน เขาลงรูปและธรรมะของหลวงปู่ และเขาก็เขียนหัวข้อว่า"คนเหนือโลก" เราอ่านไปเราก็เอะใจ คำว่า"เหนือโลก" ก็คือพระอรหันต์ว่าเองเบ็ดเสร็จเลย เราเห็นรูปองค์ท่านแล้วเราเคารพองค์ท่านมากอยากไปกราบอยากไปฟังธรรมองค์ท่าน
คราวนี้พูดถึงการเดินทาง พอไปถึงอำเภอศรีเชียงใหม่ เจอตลาด บอกรถจอดแวะซื้อของไปทำบุญ มีข้าวสาร มีอาหารหลายอย่างด้วยกัน พอไปถึงวัดหินหมากเป้ง ทางเข้าเราก็เจอกุฎีแม่ชีก่อน พอว่ามีแม่ชี เราก็บอกให้รถจอดตรงกุฎีแม่ชี จะได้เอาอาหารที่ซื้อไปลงกุฎีแม่ชีก่อน พอลงจากรถเรียบร้อยบอกให้รถเหมากลับ และกำชับเขาว่า ไม่ให้ลุงขับรถบอกทางบ้านว่า เรามาอยู่วัดหินหมากเป้ง เขาก็รับปากว่าจะไม่บอก แล้วรถก็กลับไป
เราก็เข้าไปกราบคุณแม่ชี เล่าให้ท่านฟังว่า ลูกอยากมาปฏิบัติธรรม คุณแม่ชีชรามากแล้ว ชื่อคุณแม่ชีบุญชู กับคุณแม่ชีเจียง บวชตั้งแต่ยังสาวๆอยู่ทั้งคู่ ติดตามไปกับลวงปู่ตลอด ตอนนั้นคุณแม่ชีพิมพา(คุณแม่น้อย) อยู่วัดหินหมากเป้งด้วย แต่เรายังไม่รู้จักท่าน คุณแม่ทั้งอยู่มาอีกไม่รู้กี่ปีจำไม่ได้ ท่านก็มรณภาพ เรากราบเรียนท่านว่า"ลูกอยากมาปฏิบัติธรรม อยากมาอยู่กับหลวงปู่ อยากภาวนา อยากพ้นทุกข์เจ้าค้า ลูกอยากบวชเป็นแม่ชี" คุณแม่ชีเลยบอกว่า "หลวงปู่ไม่รับเพราะมาคนเดียว ไม่มีญาติมาฝาก มีคนเยอะแยะเลยมาแบบนี้ท่านไม่รับ" พอได้ยินอย่างนั้นใจหายวูบเลย ตกใจ เพราะความตั้งใจสูงสุดมาแล้วเสียใจมากจนจะเป็นลม รถเหมาเขาก็กลับไปแล้ว
พอนึกได้ก็เลยบอกคุณแม่ชีว่า"ลูกอยากไปกราบหลวงปู่เจ้าค่ะ" คุณแม่ชีใจดีมีเมตตา พาไปกราบกับลุงใส ซึ่งเป็นหลานของหลวงปู่ หลวงปู่อนุญาตให้ไปกราบในกุฎีขององค์ท่าน ซึ่งเปนกุฎีเล็กๆตั้งอยู่ริมฝั่งโขง องค์หลวงปู่เมตตามาก เล่าเรื่องให้องค์ท่านฟัง"ลูกอยากมาปฏิบัติธรรมเจ้าค่ะ" องค์ท่านก็เมตตาให้อยู่"ถ้ายังไม่รู้อะไรให้ถามแม่ชีนะ" องค์ท่านบอก ตอนนั้นดีใจเหมือนจะเหาะจะบิน
พอองค์ท่านเมตตาอนุญาตให้อยู่แล้ว ตอนเช้าองค์ท่านออกบิณฑบาต องค์ท่านเมตตาถามไถ่ทุกวัน ถ้าถึงวันพระวันอุโบสถ องค์ท่านจะพาสวดมนต์ทำวัตร นั่งปฏิบัติจิตภาวนา คุณแม่ชีพากันเร่งความเพียรไม่นอนทั้งคืน เราก็ฝึกปฎิบัติกับท่านด้วย เราไม่เคยรักษาศีลแปด ทานข้าวหนเดียวไม่เคยมี แต่ความที่เป็นคนเอาจริงเอาจัง ก็ทำได้สบายมาก เพราะความมุ่งมั่นตั้งใจอยากหนีทุกข์ (ต่อตอนที่๒)
ประวัติคุณแม่ชี สุวรรณ์ แก้วสถิตย์
https://www.youtube.com/channel/UCt9tjodbHtyaqqwDuQ95o0w/videos
ธรรมประวัติคุณแม่ชีสุวรรณ์ จากหนังสือธรรมะประวัติคุณแม่ชีสุวรรณ์ แก้วสถิตย์
###ตอนที่1###
คุณแม่ชีสุวรรณ์ แก้วสถิตย์(ชัยโยบัว) มีตระกูลเป็นไทยแท้ทั้งบิดามารดา
-ตระกูลบิดา เป็นตระกูลรับข้าราชการมาจนถึงลูกหลานปัจจุบัน
-ตระกูลมารดา เป็นตระกูลชาวนาบ้าง
รับราชการบ้าง มาจนถึงลูกหลานปัจจุบัน
บิดาเป็นคนชัยภูมิโดยกำเนิด บิดาเกิดที่บ้านบัว อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ มารดาเป็นคนจังหวัดขอนแก่น เพราะฉะนั้น แม่ชีสุวรรณ์ ชัยโยบัว เกิดที่บ้านนกเอี้ยงใหม่ ตำบลบ้านหัน ตำบลเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ แม่ชีสุวรรณ์ เกิดในตระกูลนับถือพระพุทธศาสนามาดั้งเดิม
บิดาชื่อชุ่ม ชัยโยบัว มารดาชื่ออินทร์ หงชุมแพ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๗ คน ผู้ชาย๖คน ผู้หญิงมี แม่ชีสุวรรณ์ คนเดียว เป็นคนสุดท้อง ก่อนที่เราจะมาเกิด แม่เราป่วย ผอม ทานข้าวไม่ได้ แม่เล่าให้ฟังว่า "พ่อฝันว่ามีญาติผู้ใหญ่เอาห่อผ้าขาวมาให้ บอกว่าเป็นแก้ววิเศษ เป็นของดี ให้เก็บรักษาไว้ดีๆนะ" ญาติผู้ใหญ่นั้นเป็นปู่ทวดของเราเอง พ่อบอกแม่ว่า"ไม่สบายไม่ใช่จะแพ้ท้องหรือ" พ่อเล่าความฝันให้แม่ฟัง แม่บอกว่า"แก่แล้วลูกจะมาเกิดได้อย่างไร น่าอาย"
ผลปรากฏว่าเรามาเกิดจริงๆ ตอนคลอดเรา แม่ไม่มีแรงเบ่ง เพราะท้องตอนอายุมากแล้ว แต่ก็ปรากฏว่าปลอดภัยทั้งคู่ แม่บอกว่า พอคลอดเราแล้วปรากฏว่าหมดประจำเดือนเลย เราห่างจากพี่ชายตั้ง๗ปี คนโบราณไม่มีคำว่า กินยาทำลายลูก ถ้าเป็นปัจจุบันนี้ เราคงเป็นปัญญาอ่อนไปแล้วหละ เกิดมาเพราะมีบุญเก่าหนุน เราถึงได้มาภาวนา มีคนเคยมาทักเรา แต่ไม่ใส่ใจ เขาทักว่า"มีพีน้องด้วยกันกี่คน" เขาถามก่อน พอบอกเขาแล้ว เขาบอกว่า"ถ้าในจำนวนพี่น้องเจ็ดคน ถ้าคนที่เจ็ดเป็นเพศแตกต่างคือ ถ้าเป็นเพศชาย๖คนติดต่อกันมา แต่คนสุดท้ายเป็นหญิงนี้ โถ หาไม่ได้เลยนะ แต่ต้องรวมแล้วพี่น้องต้องเจ็ดคนเท่านั้นนะ" เขาบอกว่า"คนสุดท้ายจะเป็นผู้มีบุญวาสนามาก" เขาก็ว่าของเขาไป แต่เราก็พูดกับเขาว่า "เรารู้ด้วยตนเองแล้ว " คราวนี้พูดถึงพี่น้อง ทั้ง๗ คน
๑.นายกันหา ชัยโยบัว (เสียชีวิตแล้ว)
๒.นายชาลี ชัยโยบัว
๓.นายประเวช ชัยโยบัว
๔.นายเหรียญ ชัยโยบัว(เสียชีวิตแล้ว)
๕.นายเดชศักดิ์ ชัยโยบัว(เสียชีวิตแล้ว)
๖.นายสมบูรณ์ ชัยโยบัว
๗.แม่ชีสุวรรณ์ ชัยโยบัว(แก้วสถิตย์)
....แม่ชีสุวรรณ์ ชัยโยบัว(แก้วสถิตย์) เกิดวันที่๖ เดือน มกราคม พ.ศ.๒๔๘๘ เกิดจริงๆ ปีระกา พ.ศ.๒๔๘๘ แต่บัตรประจำตัวประชาชนเป็นพ.ศ.๒๔๘๙ เพราะพ่อแม่เป็นโบราณ แจ้งเกิดวันไหนก็เอาวันนั้นเลยเป็นวันเกิด เกิดที่หมู่บ้านเดียวกันทั้ง๗คน คือบ้านนกเอี้ยงใหม่
ตำบลบ้านหัน อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ
-การศึกษา ก็เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่๔ ที่โรงเรียนศาลาวัดบ้านนกเอี้ยงใหม่ ทั้งโรงเรียนมีครูอยู่สองคน คือครูใหญ่ กับครูน้อย ครูใหญ่ชื่อ ครูสุนิน ฤาชา ครูน้อยชื่อ คุณครูสายทอง(จำนามสกุลไม่ได้) เราเป็นคนขยัน เรียนเก่ง พี่ๆทุกคนเรียนเก่งหมด เราเป็นประธานนักเรียน นำไหว้พระสวดมนต์ ร้องเพลงยถึงขึ้นเพลงชาติเพราะเป็นผู้นำร้อง พอเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่๔ แล้วสอบได้ที่๑ ตลอด ครูก็ถามทุกคนว่า "ใครอยากเป็นอะไร"เรายกมือสูงสุดแขน ครูก็ถามว่า"อยากเป็นอะไร" "อยากเป็นครูค่ะ" คุณครูก็บอกให้ไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมที่อำเภอเกษตรสมบูรณ์ เราก็ไปสอบเข้าเรียนที่นั่น เพราะโรงเรียนประจำอำเภอมีจบชั้นม.๓ เท่านั้น พอจบม.๓ ครูก็แนะนำให้ไปสอบเข้าที่จังหวัดเป็นโรงเรียนสตรี ชื่อโรงเรียนการช่างสตรีชัยภูมิ โรงเรียนนี้มีหอพักประจำที่โรงเรียนด้วย
เราดีใจมาก ปรากฏว่าเราสอบเข้าได้จริงๆพอสอบเข้าได้แล้ว เงินที่จะซื้อหนังสือ เสื้อผ้า ค่าหอพัก เกือบไม่ได้เรียน เพราะเรามีแม่ซึ่งอายุมากแล้วหาเงินให้ลูกเรียนไม่พอ เพราะว่าพ่อของเราเสียชีวิตตั้งแต่เราอายุได้๖ ขวบ เท่านั้นเอง ปรากฏว่าหนึ่งปีผ่านไป ค่าเทอมสมัยก่อน เทอมละ๓๐๐ บาท รวมแล้วเฉพาะค่าเทอมพร้อมหอพัก ค่าหนังสือ ปีหนึ่งก็๑,๒๐๐บาท พอสอบขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่๕ เราสอบผ่านได้เรียบร้อยแล้ว ก็ปิดเทอม ผู้ปกครองมารับกลับบ้าน
พอถึงเวลาเปิดเทอม เงินจะเสียค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนก็ไม่มี ปรากฏว่าไม่ได้เข้าโรงเรียนอีกเลย เครื่องใช้ หนังสืออยู่หอพักโรงเรียนหมด ไม่ได้กลับไปโรงเรียนอีกเลย กระทั่งป่านนี้ เราร้องไห้จนตาบวมหมดเลย เพราะเรารักในการเรียน เอาจริงเอาจังกับทุกเรื่องที่เป็นสิ่งถูกต้อง เพราะฉะนั้นถึงได้จบ ป.๔ ป.๕ เมื่อไม่ได้เรียนหนังสือต่อ ความหวังว่าจะเป็นครู ก็ไม่ได้แล้ว
อีก ๒ ปี ต่อมา แม่ก็พอมีเงินนิดหน่อย ก็ขอแม่ว่าลูกอยากเรียนตัดเสื้อผ้า แม่ก็เมตตาลูก ก็ให้ไปเรียนที่อำเภอ ชุมแพ ซึ่งเป็นบ้านเกิดคุณแม่ ค่าเรียนจนจบหลักสูตร ๓๐๐ บาท ปรากฏว่าร้านที่เราเรียนเป็นร้านใหญ่ มีชื่อเสียง นักเรียนเป็นสิบกว่าคน เราเรียนอยู่เดือนเดียวได้เป็นผู้ช่วยสอน อาจารย์ให้สอนช่วย เพราะเก่งกว่านักเรียนทั้งหมด ไปเรียนที่สถาบันไหน เราสอบได้ที่๑ ตลอด เราทำงานหาเงินได้แล้ว
- ชีวิตการครองเรือน แต่งงานเมื่ออายุ๑๗ ปี สามีชื่อเลิศ นามสกุล แก้วสถิตย์ ครองเรือนด้วยความรักซื่อสัตย์ เหมือนเป็นอวัยวะเดียวกัน จนมีบุตรด้วยกัน๓ คน คนโตเป็นผู้ชาย คนกลางและคนเล็กสุดท้องเป็นผู้หญิง ดังนี้
๑.นายนิคม แก้วสถิตย์
๒.นางสาวพรทิพา แก้วสถิตย์
๓.นางสาวกาญจนา แก้วสถิตย์
การอยู่ครองเรือนน ถึงแม้เราจะมีเงินอยู่ในฐานะปานกลาง มันก็ยังมีทุกข์ ทุกข์มันจะซ่อนอยู่ตลอดเวลา วันๆมองเห็นแต่ทุกข์ คนอื่นเขามอง เขามองว่าเรามีความสุขมาก สามีภรรยารักกันไม่เคยนอกใจกัน คำพูดของเราไพเราะ เป็นครอบครัวนับถือพระพุทธศาสนามาดั้งเดิมแต่ต้นตระกูลมาตลอด แต่ทำไมเรามองเห็นทุกข์มันซ่อนอยู่ตลอดเวลา เพราะเราเป็นคนรู้เองเห็นเองทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้าของร้านตัดเสื้อชื่อดังในอำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ชื่อร้านเลิศแฟชั่น ตัวเราเองก็เป็นครูสอนตัดเสื้อในร้านของตัวเอง และสามีก็ตัดเครื่องแบบทหาร ตำรวจและชุดทั่วๆไป ส่วนเราก็รวมทุกอย่าง ชุดวิวาห์ ราตรี ชุดเครื่องแบบหมอ พยาบาล ครู ข้าราชการ และชาวบ้านทั่วไป เพราะเป็นงานหน้าร้าน คิดว่าเราประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ทุกข์มันก็ยังซ่อนอยู่เหมือนเดิม อยากบวชเป็นกำลัง
เมื่อเห็นทุกข์มากๆก็ทำไม่ได้ ไปหาพระๆ ก็ถามว่า "ทุกข์เพราะเหตุไร" เราตอบท่านว่า "ทุกข์เพราะโกหก" "โกหกเรื่องอะไร" เลยตอบท่านตามความเป็นจริงว่า "รับงานตัดผ้าเยอะๆ แล้วทำไม่ทัน ก็โกหกเขาว่า ตัดแล้วๆ ช่างเย็บไม่ทัน เขาก็ด่าเอา เดี๋ยวๆทัน ก็ไม่เสร็จทันเหมือนพูด วันไหนก็เป็นวันงานล้นมือ ทานข้าวก็ไม่เป็นเวลา นอนก็น้อย " พระก็ให้กำลังใจว่า "เรามุสา เอาใจลูกค้า ไม่เป็นไร เราทำให้เขาอยู่ ไม่ใช่ไม่ทำ เราไม่ได้ไปหลอกต้มตุ๋มให้เขาเสียหายอะไรนี่" แต่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น
มันทับถมความทุกข์มากๆเข้า ทุกวัน จนทนไม่ได้ ทั้งๆที่สามีเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษ จะไปไหนมาไหนด้วยกัน สามีเป็นคนดูแลเราตลอด อย่างเช่นเรื่องอาหาร เราชอบทานอะไร อย่างเช่น เราชอบทานลูกชิ้น เมื่อเรานั่งทานก๋วยเตี๋ยวกัน ท่านจะเอาลูกชิ้นมาใส่ถ้วยเราหมดเลย เวลาเรานั่งพักผ่อนกันที่บ้าน ตักเราเป็นหมอนสำหรับท่านเสมอ เพราะเรารักกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน แต่ขนาดนั้นความทุกข์มันแอบซ่อนอยู่เหมือนเดิม
เมื่อมองเห็นทุกข์มากๆเข้า มันก็ทนไม่ได้ ก็มาวินิจฉัย สาเหตุที่เราทุกข์มากๆนี่ เพราะอะไร สาวหาสาเหตุก็มาลงจุดที่ว่า เพราะความโลภตัวเดียวนี้แหละ ได้เท่าไหร่ไม่พอ มีแต่อยากได้ไม่หยุดไม่ถอย รักลูกก็รักมาก อยากให้ลูกอยู่ดีกินดี มีการศึกษาสูงๆ จนกว่าเขาจะพอใจ วาดมโนภาพไว้ตลอด ไม่อยากให้เขาทุกข์เหมือนเรา นี่เกิดจากบิดามารดารักและห่วงใยลูก เมื่อทุกข์ทับถมเข้ามากๆ มันก็หาทางออกเป็นเหมือนกัน เลยนึกถึงพระพุทธเจ้า ตอนพระองค์เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์มีพระชายา และมีพระโอรสเล็กๆมีพระราชสมบัติ ข้าวของเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ ทุกอย่างเหลือล้นพอประมาณ พระองค์ก็ยังมีทุกข์ ทุกข์เพราะ ความแก่ ทุกข์เพราะความเจ็บไข้ ทุกข์เพราะความตาย
เราก็มองเห็นตามพระองค์ พระองค์เสด็จออกบรรพชาได้ เราก็จะขอปฏิบัติตามพระองค์บ้าง เลยตัดสินใจทันทีเลย เพราะเรานอนไม่หลับทั้งคืน นึกวกไปเวียนมา พระองค์เสด็จออกไปบรรพชาตอนดึกสงัด เราก็เอาเวลาสงัดจากคนสัญจรไปมาเช่นเดียวกัน ทีนี้ลูกทั้งสามคนยังเล็ก คนเล็กอายุได้๔ ขวบ นอนอยู่กับพ่อแม่ ส่วนคนกลางนอนอยู่กับยาย คนโตเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.๑ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จังหวัดอุดรธานี
พอได้คิดแล้วก็ลุกออกจากที่นอน เพราะนอนไม่หลับทั้งคืน ลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้ามาใส่ซ้อนกันหลายตัว เพราะตอนนั้นเป็นหน้าหนาว พอดีต้นเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๒๐ เหมารถไปวัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ราคาเหมารถ๔๐๐ บาท ตอนนั้นรถออกไปจากบ้านตอนตี ๓ วัดหินหมากเป้ง เราก็ไม่เคยเห็นสักที หลวงปู่เทศก์ เราก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยเห็นองค์จริงขององค์ท่านเลย เห็นแต่ในรูปเท่านั้น เพราะรูปขององค์ท่านเขาเอาลงในหนังสือบางกอก ตอนนั้นเรารับหนังสือบางกอกเป็นรายเดือน เขาลงรูปและธรรมะของหลวงปู่ และเขาก็เขียนหัวข้อว่า"คนเหนือโลก" เราอ่านไปเราก็เอะใจ คำว่า"เหนือโลก" ก็คือพระอรหันต์ว่าเองเบ็ดเสร็จเลย เราเห็นรูปองค์ท่านแล้วเราเคารพองค์ท่านมากอยากไปกราบอยากไปฟังธรรมองค์ท่าน
คราวนี้พูดถึงการเดินทาง พอไปถึงอำเภอศรีเชียงใหม่ เจอตลาด บอกรถจอดแวะซื้อของไปทำบุญ มีข้าวสาร มีอาหารหลายอย่างด้วยกัน พอไปถึงวัดหินหมากเป้ง ทางเข้าเราก็เจอกุฎีแม่ชีก่อน พอว่ามีแม่ชี เราก็บอกให้รถจอดตรงกุฎีแม่ชี จะได้เอาอาหารที่ซื้อไปลงกุฎีแม่ชีก่อน พอลงจากรถเรียบร้อยบอกให้รถเหมากลับ และกำชับเขาว่า ไม่ให้ลุงขับรถบอกทางบ้านว่า เรามาอยู่วัดหินหมากเป้ง เขาก็รับปากว่าจะไม่บอก แล้วรถก็กลับไป
เราก็เข้าไปกราบคุณแม่ชี เล่าให้ท่านฟังว่า ลูกอยากมาปฏิบัติธรรม คุณแม่ชีชรามากแล้ว ชื่อคุณแม่ชีบุญชู กับคุณแม่ชีเจียง บวชตั้งแต่ยังสาวๆอยู่ทั้งคู่ ติดตามไปกับลวงปู่ตลอด ตอนนั้นคุณแม่ชีพิมพา(คุณแม่น้อย) อยู่วัดหินหมากเป้งด้วย แต่เรายังไม่รู้จักท่าน คุณแม่ทั้งอยู่มาอีกไม่รู้กี่ปีจำไม่ได้ ท่านก็มรณภาพ เรากราบเรียนท่านว่า"ลูกอยากมาปฏิบัติธรรม อยากมาอยู่กับหลวงปู่ อยากภาวนา อยากพ้นทุกข์เจ้าค้า ลูกอยากบวชเป็นแม่ชี" คุณแม่ชีเลยบอกว่า "หลวงปู่ไม่รับเพราะมาคนเดียว ไม่มีญาติมาฝาก มีคนเยอะแยะเลยมาแบบนี้ท่านไม่รับ" พอได้ยินอย่างนั้นใจหายวูบเลย ตกใจ เพราะความตั้งใจสูงสุดมาแล้วเสียใจมากจนจะเป็นลม รถเหมาเขาก็กลับไปแล้ว
พอนึกได้ก็เลยบอกคุณแม่ชีว่า"ลูกอยากไปกราบหลวงปู่เจ้าค่ะ" คุณแม่ชีใจดีมีเมตตา พาไปกราบกับลุงใส ซึ่งเป็นหลานของหลวงปู่ หลวงปู่อนุญาตให้ไปกราบในกุฎีขององค์ท่าน ซึ่งเปนกุฎีเล็กๆตั้งอยู่ริมฝั่งโขง องค์หลวงปู่เมตตามาก เล่าเรื่องให้องค์ท่านฟัง"ลูกอยากมาปฏิบัติธรรมเจ้าค่ะ" องค์ท่านก็เมตตาให้อยู่"ถ้ายังไม่รู้อะไรให้ถามแม่ชีนะ" องค์ท่านบอก ตอนนั้นดีใจเหมือนจะเหาะจะบิน
พอองค์ท่านเมตตาอนุญาตให้อยู่แล้ว ตอนเช้าองค์ท่านออกบิณฑบาต องค์ท่านเมตตาถามไถ่ทุกวัน ถ้าถึงวันพระวันอุโบสถ องค์ท่านจะพาสวดมนต์ทำวัตร นั่งปฏิบัติจิตภาวนา คุณแม่ชีพากันเร่งความเพียรไม่นอนทั้งคืน เราก็ฝึกปฎิบัติกับท่านด้วย เราไม่เคยรักษาศีลแปด ทานข้าวหนเดียวไม่เคยมี แต่ความที่เป็นคนเอาจริงเอาจัง ก็ทำได้สบายมาก เพราะความมุ่งมั่นตั้งใจอยากหนีทุกข์ (ต่อตอนที่๒)