ครูดนตรีที่อยากกินกล้วย 2020

กระทู้สนทนา
เรื่องเล่าปนชีวิตจริง แต่เดิมอยากเป็นเรื่องสั้นแต่โดนติหลายข้อ เลยเป็นเรื่องเล่าแทนดีกว่า

เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมในพันทิป จากการขอไอดีแฟนมาใช้ และยืนยันตัวจนสำเร็จ และหลังจากพยายามเขียนมาหลายหน แต่ก็ไปไม่รอดซักที จนสุดท้ายด้วยความจำเป็นหลายอย่างที่หาทางลงให้กับชีวิตไม่ได้ ต้องการที่ระบาย เพื่อหวังว่าอะไรก็ตามที่มันคาอยู่ในอก มันจะไม่ทำให้ผมอกแตกตายไปก่อน ความจริงมีอีกเยอะ เขียนไปก็ยาว แต่อยากจะถ่ายทอด วิถีชีวิต รัก เหงา เศร้า สุข กับชีวิตครอบครัวชนชั้นกลางของผมให้ใครซักคนได้รับรู้เอาไว้ …ว่าชีวิด...มัน...ไม่กล้วย...เลย
.
....เอาวะ เผื่อจะมีใครซักคน ที่พร้อมยินดีจะเข้ามานั่งอ่าน และยิ้ม และร้องไห้ และพร้อมหัวเราะไปด้วยกัน ในเรื่องราวต่อไปนี้ (เผื่อจะมี .....ซักคนก็ยังดี)
เพื่อให้ผม ได้มีแรงใจสู้ไปเรื่อย ๆ
 
พร้อมแล้วก็ขยับเก้าอี้มาใกล้ ๆ จับแว่นตาให้นิ่งๆ แล้วเราไปหาคำตอบกัน...ว่า...”ครูดนตรีที่อยากกินกล้วย” ในปีนี้ สมควรจะได้กล้วยกิน หรือเค้าควรเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นดี หรือควรได้อะไรที่ทำให้ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของกล้วย ที่ไม่กล้วย หลังจากที่คุณได้อ่านจนจบ....น่ะนะ
.

พร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า

 
(1) ------------------------------
"ป๊าๆ น้องกดสายกีต้าร์แล้วไม่เจ็บนิ้วด้วย และดีดเป็นเสียงได้ด้วย มันเพราะมาก..กกก น้องเล่นด๊าย..ยย น้องอยากเรียนกีต้าร์ ป๊า..าาา"
 
เสียงใส ๆ ได้ยินมาแต่ไกลของเด็กน้อยวัย 7 ขวบกว่าที่กำลังซอยเท้าถี่ ๆ พร้อมกับความพยายามกางแขนเล็กและผอมของเธอออกกว้างที่สุด ทันทีที่เท้าผมแตะพื้นดิน….
.
เงินในกระเป๋าผมนี่สั่น... และภาพอนาคตที่ชัด ราวกับมันกำลังเกิดอยู่ตรงหน้า.......

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 1 ปีก่อน หรืออาจจะนานกว่านั้นนิดหน่อย เป็นช่วงก่อนที่ลูกสาวคนเล็กของผมจะจบชั้นอนุบาล 3 ในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านรังสิต.. เธอชอบเสียงเพลง ชอบร้อง เล่น เต้น แต่ขี้อายมาก ๆ แต่หากเธอมีหน้าที่ที่จะต้องทำ และเธอรู้ว่าจะต้องทำ เธอจะทำมันให้ดีที่สุด แม้จะขี้อาย แต่เธอก็ยังเต้นรำไทยได้สวยงาม เต้นคอฟเวอร์ได้พลิ้ว และเป่าเมโลเดี้ยนได้อย่างไม่เคอะเขิล ในงานวันจบการศึกษาชั้นอนุบาล 3
 
แน่นอน เธอหัดเต้นหัดเปาอยู่ 1 เทอมเต็มๆ จนกระทั่งได้เพลง 1 เพลง กับลูกโป่งมา 3 ใบนั้นเป็นรางวัล
 
หลังจากเธอเรียนชั้นอนุบาล 3 จากโรงเรียนที่อ้างว่าเป็นหลักสูตรอินเตอร์ ซึ่งก็มีครูฝรั่ง ครูฟิลิปปินส์ และครูจีนของแท้ดั้งเดิมมาสอนจริง ๆ จนจบและจากลาโรงเรียนนี้กันไปด้วยดีเป็นที่เรียบร้อยไม่มีติดค้างซึ่งกันและกันแล้ว ก็จำเป็นต้องย้ายที่เรียนไปที่ใหม่ ก็เพราะที่นั่นก็มีสอนถึงแค่นั้น เธอจำต้องย้ายมาเรียนที่โรงเรียนอีกแห่ง ที่ ๆ พี่ชายเธอเรียนอยู่ก่อนหน้าแล้ว..
 
"จะให้ลูกเรียนไบลิงกั้วเหมือนพี่ชายเค้ามั้ย? หรือเรียนอินเตอร์แบบเดิมดี?"
แฟนผมถามเสียงเบาๆ ขณะที่เราช่วยกันทำกับข้าวในครัว กับวันหยุดที่เรียบง่ายวันหนึ่งหลังจากไม่ได้หยุดมาเกือบหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ
 

(2) ------------------------------

จากเด็กที่เกือบจะเก่งภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ในตอนเรียนอนุบาล เพราะเคยเรียนเคยพูดคุยกับครูต่างชาติสายตรงเจ้าของภาษา แม้สำเนียงจะเพี้ยนๆ อย่างคำว่า report ออกเสียงว่า “รีโป๊ด” หรือ สำเนียงที่ต้องตวัดลิ้นรัวๆ เหมือนสาวฟิลิปปินส์หน่อยๆ แต่ก็คุยกันเข้าใจได้
แม้ค่าเล่าเรียนที่แสนแพงจนทำให้เราต้องขยันเพิ่มขึ้น แม้การต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ จากภายในระบบของที่นั่น ที่ล่อหลอกเราด้วยคำว่า “บูรณาการ” แต่ไม่เคยทำได้จริง
ที่สุดแล้ว ลูกสาวก็ฝ่าฟันมาจนจบการศึกษาชั้นอนุบาล 3 ได้ กับทักษะพื้นฐานทางภาษาที่ ค่อนข้างดี และควรสนับสนุนต่อเนื่อง..........
 
.....แต่กลับจะมาตกม้า เพราะภาวะเศรษฐกิจทำให้เงินในกระเป๋าผมต้องร่อยหรอลงเรื่อยๆ
 
ผมนึกภาพอนาคตไว้ลางๆ เลยว่า คงต้องนั่งล้อมวงกันซดน้ำต้มยำปลากระป๋อง ที่มีจำนวน ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ลอยฟูฟ่องมากกว่าชิ้นปลา และมีน้ำซุปสีแดงจางๆ จนเกือบใสอยู่เต็มหม้อให้ช่วยกันซดไปอีกตลอด 1 เดือน วนซ้ำกันไป เดือนแล้ว....เดือนเล่า.......... และหากเป็นเช่นนี้ ผมกับแฟนคงไม่มีแรงไปทำงาน ลูกๆ จะเอาสมองส่วนไหนไปคิดคำนวณไปเรียนรู้ได้ หากเมื่อมันเต็มไปด้วยน้ำต้มยำปลากระป๋อง หรือหากจะยอมทนนั่งกัดก้อนเกลือ ซดน้ำต้มยำปลากระป๋องไปทั้งปีในยุคที่มีภาวะเศรษฐกิจที่คนพร้อมใจกันเป็นมิจฉาชีพแบบนี้ พวกเรา....อาจจะกอดคอกันตายคาหม้อต้มยำทั้งบ้าน
ท้ายที่สุดแล้ว เราจึงหาทางลงให้กับค่าเล่าเรียนระดับอินเตอร์ที่เกือบครึ่งแสนต่อเทอมไม่ไหว แม้คนพี่จะได้แบบไบลิงกั้วไปก่อนหน้านั้น ก็ยังอยู่ในระดับ 3-4 หมื่นต่อเทอม หากคนน้องจะลงระดับนี้...หรือสูงไปกว่านี้..... คาดว่าเราคงจะไปไม่ถึงฝั่งฝันจริง ๆ...
 
"บางทีเราอาจต้องลดสเป๊กลงซักหน่อย"
 
ผมตอบเธอไปเบา ๆ ให้พอได้ยิน พร้อมกับเก็บความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่สามารถทำตามความฝันของเธอและลูกได้ โดยพยายามข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุด กลัวเหลือเกินว่าเธอจะสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในอก
ผมบอกกับเธอว่าช่วงนี้เราคงขยับอะไรไม่ได้มาก แน่นอน ผมลงทุนให้เด็ก ๆ ไปเยอะ  โดยเฉพาะคนน้อง ที่ไม่แน่ใจว่าความพยายามของผมจะส่งผลอะไรหรือไม่ กับการเลือกทำแบบนั้น แต่เพราะในตอนนั้นผมพอมีปัญญา แต่ตอนนี้หากดันทุรังต่อไป เราทุกคนอาจไปต่อได้ไม่นานนัก
 
หลายครั้งหลายครา ที่เราสองคนกอดคอให้กำลังใจกันและกันอยู่บ่อย ๆ ว่ามันจะต้องไปรอด โดยไม่ให้ลูก ๆ เห็น
ภรรยาของผมพยายามอย่างหนักที่จะทำตัวเองให้ได้เข้าไปอยู่ในตำแหน่งของข้าราชการ พยายามสะสมอายุงาน ทำตามกูฏระเบียบและข้อแนะนำอย่างเคร่งครัด ระเบียบว่าให้ลาออก-สมัครใหม่ อยู่หลายรอบ ยอมลดเงินเดือนในตำแหน่งอยู่หลายครั้ง ภายใต้กฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่ผมเองก็รู้สึกมึนงง กับระบบลูกจ้าง ไปเป็น พกส.(พนักงานกระทรวงสาธารณสุข) แล้วกลับไปเป็นลูกจ้างอีกรอบ เพื่อรั้งตำแหน่งเอาไว้ไม่ให้ใครแย่งได้ วนไปวนมา
 
และกับอนาคต.........ที่เธอเองยังมีความหวังว่าซักวัน...จะคว้ามันมาได้
 

(3) ------------------------------

มันเป็นความรู้สึกของผมและเธอ ที่รู้สึกว่าสังคมทุกวันนี้ต้องการทักษะหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา กีฬา ดนตรี หรือสกิลอะไรซักอย่างเพื่อที่จะมีความได้เปรียบในด้านการเรียน และแรงงาน เพราะด้วยประสบการณ์ตัวเองล้วน ๆ เลยรู้ว่า "มันจำเป็นอย่างมาก" ไม่ต้องมองไกล มองแค่เด็กจะเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมดี ๆ มีสังคมดี ๆ หลุดพ้นจากวงจรยกพวกไปสำมะเลเทเมาและสายแว๊นประจำหมู่บ้าน จึงจำเป็นต้องเลือกให้เค้าก่อนเป็นอันดับแรก แต่โรงเรียนใกล้บ้านมีตัวเลือกไม่มากนัก บางแห่งก็ไม่ดีเท่าไหร่ในสายตาที่เราเป็นคนในพื้นที่นั้น
 
หนึ่งโรงเรียนเป็นสถานที่ที่กำลังจะปิดตัวเพราะไม่มีเด็กไปเรียน จนครูต้องเกณฑ์เด็กจากมูลนิธิบางแห่งให้มาช่วยกันเรียนเพื่อที่โรงเรียนจะได้อยู่ต่อไปได้
อีกหนึ่งโรงเรียนก็เป็นประเภทครูตามใจเด็ก และตามใจผู้ปกครอง แต่ขาดสำนึกและความถูกต้อง เด็กจะโตมาแบบไหนหากการเคี่ยวเข็ญกลายเป็นการรังแกเด็กในสายตาผู้ปกครองจนครูชิงลาออกกันถี่ๆ คาดว่าอีกไม่นานก็น่าจะตามโรงเรียนแรกไปอีกแห่ง
และอีกสองสามแห่งเป็นโรงเรียนแม้จะดี บางแห่งถือเป็นโรงเรียนใหญ่ในชุมชน แต่ทุกแห่งในกลุ่มนี้เด็กแออัดเกินไป เกือบ 40-50 คนต่อห้อง แน่นอน…มันเต็มที่จนเกินไปสำหรับความรู้สึกเรา
.
.
ที่สำคัญ โรงเรียนรับสอนแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 .....เท่านั้น.....
.
จะเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายของบ้านเราก็ไม่รู้ คือเราดันช้า เพราะมัวแต่ตัดสินใจจะให้ลงที่นั่นที่นี่ จนเค้าปิดรับไปเรียบร้อย..
ตัวเลือกที่ดีอีกแห่ง แม้จากท้ายตาราง คือห่างบ้านออกมาหน่อย แต่เหตุผลที่ทำให้ที่แห่งนี้ได้คะแนนนำก็คือ เป็นที่เดียวกับที่พี่ชายเค้าเรียนนั่นแหละ อย่างน้อย ๆ หากเลือกที่นี่ ก็จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรับ-ส่ง อีกทั้งค่าเล่าเรียนก็พอกันกับโรงเรียนสายคลองอื่นที่มีอยู่ทั่วไปในละแวกนั้น สังคมทั่วไปก็ไม่ต่างกันมาก 
 
ดีกว่าที่จะต้องไปเสียเวลานั่งเฉยๆ บนท้องถนน เพื่อรอเวลาให้รถคันหน้าเลี้ยวเข้าซอย คันแล้วคันเล่า ก่อนที่ตัวเองจะถึงจุดหมาย เหมือนที่ลูกคนเล็กเคยประสบมาก่อนในช่วงหนึ่ง พร้อมกับค่าน้ำมันที่ระเหยไปโดยเปล่าประโยชน์
 
ที่สำคัญสุดคือ ที่นี่ยังมีห้องว่าง คือมี "ห้องเรียนสามัญ” ให้เลือกใช้บริการ
 
แม้จะถูกเรียกว่าเป็นห้องสามัญ แต่ระดับค่าบำรุงการศึกษาก็ยังอยู่หลักหมื่นกว่า ............แต่เราสองคนก็คิดว่าไหว ผมยังไหว หากเทียบกับโรงเรียนละแวกที่ห่างออกไปอีกหน่อย หรือเข้าใกล้ตัวเมืองไปอีกนิด ราคาก็พอฟัดพอเหวี่ยง อาจจะถูกกว่าแต่ต้องแลกกับการตื่นเช้าขึ้น และค่าเดินทางที่ไม่เคยจะลดลงเลยในช่วงนี้ นับนิ้วยังไงก็ยังพอสูสี
และหากว่าเราลดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าเดินทางได้ ก็จะเหลือเงินเก็บที่มากขึ้น และด้วยข้อจำกัดหลายสิ่งอย่างแบบนี้ ที่นี่จึงถือเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสุดแล้ว 
 
ส่วนทักษะอื่น ๆ ที่จะต้องมีให้เด็ก ๆ นำไปใช้ติดตัว ไว้เก็บเงินส่งพิเศษเอา หากมีเงิน มีเวลา เราสามารถบ่มเพาะสาวน้อยหนุ่มน้อยสองคนนี้ได้ไม่ยาก ที่เหลือก็ฝากไว้กับโชคชะตา (ที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามีกับเค้ามั้ย) เป็นตัวช่วยเสริมเอาละกัน
.
.
เลยตัดสินใจส่งให้ลูกคนเล็กเข้าเรียนใน "ห้องเรียนสามัญ" ที่เราจองไว้ตั้งแต่โรงเรียนยังไม่เปิดรับสมัคร แต่ก็ยังช้ากว่าผู้ปกครองบางท่าน ผมนึกในใจ "เค้าคงจะจองไว้ตั้งแต่วันก่อสร้างโรงเรียนละมั้ง?" เพราะพอไปถึงก็เกือบจะเต็มอยู่แล้ว โชคดีมาก ๆ โชคดีที่แฟนมีเพื่อนทำงานอยู่ที่นั่น จึงได้เลขที่นั่งของลูกสาวมา 1 ตำแหน่ง ถึงกระนั้นก็ยังอยู่อันดับท้าย ๆ
.
โลกใบใหม่....กับอนาคตข้างหน้าของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะออกมาในรูปแบบไหนกันนะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่