นี่เป็นกระทู้แรกของ จขกท หากมีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะคะ
กระทู้นี้เป็นประสบการณ์ที่เราพบเจอมากับตัว ปกติเมื่อเรามีปัญหาอะไรก็จะหาข้อมูลก่อน แต่กรณีของเราเรียกได้ว่าเป็นกรณีพิเศษที่หาข้อมูลไม่เจอเลย จึงอยากมาแบ่งปันกับทุกๆ ท่านค่ะ
เกิดเหตุการณ์
แม่ของเราไปทำงานในร้านนวดสปาที่เซี่ยงไฮ้ (ประเทศจีน) ได้ปีกว่าๆ แล้วค่ะ โดยถือวีซ่าทำงานอย่างถูกกฏหมาย ช่วงที่จีน Lockdown ไม่มีไฟลท์บินให้กลับแม่ก็ยังติดอยู่ที่นั่น
จนวันที่ 16 มิถุนายน แม่ของเราเกิดอาการเส้นเสือดในสมองแตกและล้มตอนไหนไม่มีใครรู้ ปกติในตอนเช้าเพื่อนๆ แม่จะปลุกกันไปทำงานแต่วันนั้นแม่กลับไม่ลุก มีเลือดออกปากออกจมูก เพื่อนๆ จึงรีบส่งแม่ไปโรงพยาบาล และติดต่อเราทันที ตอนนั้นเวลา6 โมงเช้าไทย (ที่เซี่ยงไฮ้เร็วกว่าไทย 1 ชม.) ภาพที่เราเห็นคือแม่นอนอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉิน ไม่รู้สึกตัว พยาบาลคอยซับเลือดที่จมูกให้และใส่เครื่องช่วยหายใจ หมอพูดกับเราว่าในสมองของแม่มีเลือดออกในจุดสำคัญ ต้องทำการผ่าตัดเร่งด่วน จำเป็นต้องให้ญาติมาเซ็นยินยอมรับการผ่าตัด ปัญหาแรกมาแล้วค่ะ เราอยู่ไทยและตอนนั้นจีนปิดประเทศ ระงับการขอวีซ่าและไม่มีไฟลท์บินไปจีนเลย หมอบอกว่าแม่อาการหนักมากสามารถรอได้ช้าสุดก็ 3 วันซึ่งไม่ทันแน่ๆ โดยหมอจะรักษาแบบประคองอาการไม่ให้ทรุดไปกว่านี้ (ค่ายาต่างๆ ในตอนนี้เจ้านายของแม่เป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ก่อน) เหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่ๆ เรายังคิดอะไรไม่ออก ทุกอย่างมันตื้อมันตันไปหมด ญาติๆ เราก็ช่วยกันหาทางและเสนอให้ติดต่อกงสุลไทยที่เซี่ยงไฮ้ค่ะ
กงสุลเข้ามาดูแล
เมื่อติดต่อกงสุลได้แล้ว ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่กงสุลแอดวีแชทเรามา บอกให้เราสแกนเอกสารต่างๆ เพื่อยืนยันว่าเป็นครอบครัวของผู้ป่วย ใบมอบอำนาจ (กงสุลให้เรามอบอำนาจให้เพื่อนแม่คนจีนที่พูดภาษาไทยได้ซึ่งคนๆ นี้เป็นคนติดต่อเราคนแรกและเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ แทนเจ้านาย เราจะเรียกว่า “คุณหาน” นะคะ) และแจ้งว่าวันพรุ่งนี้จะเข้าไปดูแม่ เราก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่ามีคนมาช่วยแล้ว แต่ใจชื้นได้ไม่ทันไร หมอก็บอกว่า ตอนนี้อาการแม่น่าเป็นห่วงมาก เลือดออกจนทำการผ่าตัดไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงให้ยา รอให้เลือดหยุดไหลและรอดูอาการอีก 36 ชม. วันนั้นเพื่อนแม่หลายคนก็คอลมาแจ้งอาการเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะบอกว่า ทำใจ สวดมนต์นะลูก ต่างๆ นาๆ ยิ่งรู้ว่าแม่เราเป็นหนักขนาดไหนก็ยิ่งบั่นทอนกำลังใจเราเรื่อยๆ คืนนั้นว้าวุ่นใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว
บ่ายวันต่อมากงสุลก็เข้ามาเยี่ยมแม่พร้อมรับเรื่องและแจ้งอาการแม่เราคร่าวๆ มีการสร้างกลุ่มวีแชทซึ่งมีเจ้าหน้าที่กงสุล หมอเจ้าของเคสแม่ เพื่อนแม่ที่เรามอบอำนาจให้(คุณหาน) โดยหมอจะแจ้งอาการรายวันในกลุ่มนี้ มีเจ้าหน้าที่กงสุลคอยประสานงานและแปลภาษาจีนให้เราอีกที
วันต่อๆ มาจะมีคุณหานคอยวิดีโอคอล ให้เราได้เห็นว่าแม่เป็นอย่างไรบ้าง เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ตอนที่พยาบาลเข็นแม่ออกมาทำ CT scan เท่านั้น เพราะแม่เราต้องอยู่ห้อง ICU ตลอด วันที่3 นี้แม่เราอาการยังน่าเป็นห่วงและยังคงไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ ผลวินิจฉัยออกมาว่า แม่เป็นเส้นเลือดในสมองแตกเนื่องจากความดันโลหิตสูง แม่ของเราเป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้วต้องกินยาตลอด เพื่อนแม่บอกว่าสองเดือนก่อนหน้านั้นแม่เรามีอาการเบลอๆ อาจจะเป็นเพราะยาหมด และเป็นบ่อยขึ้นจนเกิดเหตุการณ์นี้ค่ะ
ผ่านมา 7 วันอาการยังคงที่ หมอแจ้งว่าเลือดในสมองหยุดไหลแล้วต้องให้ยาสลายลิ่มเลือดเพื่อไม่ให้เลือดแข็งตัวจนไปกดทับเส้นประสาทส่วนอื่น แต่มีอาการแทรกซ้อนคือ ปอดอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร แม่ยังหายใจเองไม่ได้และต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ไม่รู้ว่าแม่ต้องอยู่อย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ทำได้แค่ติดตามรอดูอาการเท่านั้น
เจรจากับนายจ้าง
นานวันเข้าค่าใช้จ่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้น คุณหานบอกว่าค่ารักษาแม่เราเริ่มเยอะแล้วนะ เธอต้องส่งเงินมาช่วยแล้ว (ตอนนี้ค่ายาเจ้านายของแม่ยังจ่ายให้อยู่ค่ะ) เราก็เลยปรึกษาพี่ตาว พี่ตาวบอกว่ากงสุลใหญ่จะเข้าไปเจรจากับนายจ้างค่ะ วันนั้นที่ประชุมก็มีเจ้าหน้าที่กงสุล นายจ้าง คุณหาน และเพื่อนแม่อีกคน เมื่อประชุมเสร็จก็มีเจ้าหน้าที่กงสุลสรุปมาให้และมีเพื่อนแม่เล่าเพิ่มเติ่มให้ฟัง (เราไม่ได้วิดีโอคอลร่วมประชุมด้วย) ประชุมครั้งแรกเจ้านายแม่บอกว่า
จะรับผิดชอบให้ดีที่สุด วันต่อมาคุณหานโทรมาคุยกับเราประมาณว่า ช่วงนี้ธุรกิจเป็นยังไงเธอก็รู้ๆ อยู่ จริงๆ แล้วเจ้านายไม่จำเป็นต้องมาจ่ายค่ารักษาให้แม่เธอด้วยซ้ำ เพราะ
แม่เธอไม่ได้ล้มในเวลาทำงาน ส่วนนี้ไม่อยู่ในสัญญา และทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น เราติดต่อเจ้าหน้าที่กงสุลทันทีเลยค่ะว่าคุณหานบอกกับเราแบบนี้ เพื่อนแม่ซึ่งทำงานบริษัทเดียวกันแต่อยู่คนละร้านก็ให้ข้อมูลว่า ร้านที่แม่อยู่ทำงานหนักมาก ปกติจะแบ่งเป็นกะอยู่แล้วแต่บางครั้งแม่เราก็ต้องทำควบกะ กว่าจะเลิกงานกลับมาเวลาพักผ่อนก็แทบไม่พอ (แม่เราทำกะดึก) เจ้าหน้าที่กงสุลบอกว่าจะนัดเจรจากับนายจ้างอีกที
ตอนนี้แม่เราเริ่มรู้สึกตัวแล้ว แต่ยังขยับตัว พูด และทานอาหารเองไม่ได้ จำเป็นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอด และมีเพื่อนแม่ไปรอเยี่ยมทุกวัน บางวันก็ไม่ได้เจอเลยค่ะ แต่เอามือถือให้หมอเวรพิมพ์อาการแม่แล้วแปลในกูเกิลให้เรา ต้องขอบคุณแกจริงๆค่ะ (บางวันหมอเจ้าของเคสแม่ไม่อยู่ก็จะไม่ได้แจ้งอาการแม่ในกลุ่มวีแชทค่ะ)
ผ่านมา 10 วันแล้วแม่เราอาการดีขึ้นเล็กน้อย แต่มีการแทรกซ้อนเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเข้ามา เช่น มีเสมหะในปอด ปอดอักเสบลามไปจนอักเสบทั้งสองข้าง ได้วิดีโอคอลกันแปปเดียว พอแม่ได้ยินเสียงเรา แม่ก็น้ำตาไหล เราก็ได้แต่บอกแม่ว่าสู้ๆ นะแม่ กลับมาให้ได้นะ มันอึดอัดจริงๆ ตอนที่แม่เราเป็นอย่างนี้ใจเราอยากไปอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจแม่ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย จะไปหาก็ยังไปไม่ได้ จะร้องให้ที่บ้านก็ทำไม่ได้เพราะเราอยู่กับยาย ก็ไม่อยากให้ยายยิ่งใจเสียไป
เรื่องเงินบอกตามตรงว่าทางเราก็ไม่มีเลยค่ะ แม่เราเป็นเสาหลักของครอบครัว เราก็ยังเรียนไม่จบ และยายซึ่งเป็นเกษตรกรรายได้ไม่มากค่ะ คุณหานติดต่อเรามาเรื่อยๆ ว่าเมื่อไหร่เธอจะส่งเงินมาสักทีซึ่งค่าใช้จ่ายรวมๆ ที่นายจ้างออกให้ก่อนตอนนี้ประมาณ 3 แสนบาทไทยแล้วค่ะ ทางกงสุลก็ติดต่อกับนายจ้างอีกสองสามครั้ง เจรจาจนได้ข้อสรุปว่า
เจ้านายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในช่วงที่แม่อยู่ห้อง ICU เท่านั้น (แม่เราอยู่ห้องICU ทั้งหมด14วัน)
จัดการกับค่ารักษา
พอแม่เราออกจากห้อง ICU ได้แล้วอาการก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ หมอเจ้าของเคสบอกว่าอาการในตอนนี้ดีขึ้นจนไม่ต้องผ่าตัดแล้วค่ะ แต่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดและต้องย้ายไปโรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นโดยเฉพาะ ซึ่งทางกงสุลก็ได้ติดต่อย้ายโรงพยาบาลให้ และนับตั้งแต่ย้ายโรงพยาบาลเราต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เราได้เล่าเรื่องครอบครัวของเราให้พี่ตาวฟังและขอคำแนะนำว่าพอจะมีหน่วยงานไหนช่วยเหลือด้านการเงินเราได้บ้าง เจ้าหน้าที่กงสุลก็ติดต่อ
กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ ให้ จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่จากกองคุ้มครองฯ ติดต่อให้เราไปเซ็นเอกสารยอมรับสภาพหนี้ที่สำนักงานหนังสือเดินทางเชียงราย (เราอยู่เชียงรายค่ะ) ส่วนนี้เมื่อเราเซ็นเอกสารแล้วทางกองคุ้มครองฯ จะออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้เราก่อน เหมือนกับการกู้นั่นแหละค่ะ เมื่อแม่กลับมาไทยแล้วก็ต้องใช้หนี้คืน
แม่เราต้องพักฟื้นที่ รพ.ใหม่ จนกว่าหมอจะอนุญาติให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยกลับประเทศได้ (รพ.ใหม่นี้ค่าใช้จ่าย 1 เดือนประมาณ 30,000 หยวนไม่รวมค่า พยาบาลพิเศษ) เราต้องจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลแม่ (เราเรียกว่า “อาอี๋”) โดยการติดต่อกับแม่หลังจากนี้เราจะคุยกับอาอี๋เป็นหลักค่ะ (เราเรียนเอกภาษาจีนปี4 จึงพอสื่อสารกับอาอี๋ได้ค่ะ) แม่เราอาการโดยรวมดีขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจแล้ว แต่ร่างกายซีกซ้ายขยับไม่ได้เลยค่ะ พอพูดได้บ้างแต่ลิ้นแข็งพูดไม่ชัด และแม่เราอยากกลับบ้านมากค่ะ
ปัญหาใหญ่
ปัญหาใหญ่ในสถานการณ์ COVID-19 คือหาไฟลท์บินยาก และหาหมอไปรับผู้ป่วยยากมากค่ะ การเคลื่อนย้ายแม่กลับไทยจำเป็นต้องมีแพทย์คอยดูแลบนเครื่องบินจนมาถึงโรงพยาบาลค่ะ ตั้งแต่แม่เราย้ายโรงพยาบาลเราก็ติดต่อถามถึงขั้นตอนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยซึ่งละเอียดและยุ่งยากกว่าสถานการณ์ปกติมาก เราโทรไปสายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค ซึ่งได้ให้ข้อมูลมาว่า เมื่อกลับมาแม่เราจำเป็นต้องกักตัวในโรงพยาบาล Alternative Hospital Quarantine (รายชื่อสามารถดูได้ในเว็บ
http://www.hsscovid.com/ ลังเกตได้ว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมด) ที่อยู่ในกรุงเทพฯ 14 วัน จากนั้นถึงจะเคลื่อนย้ายกลับมายังโรงพยาบาลศูนย์ (เราอยู่เชียงรายก็จะเป็นโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์) แต่ปัญหาใหญ่คือแม่เราเป็นผู้ป่วยหนัก จำเป็นต้องมีหมอเดินทางไปกับเครื่องบินเพื่อไปรับที่จีน แต่ตอนนี้ไม่มีหมอคนไหนยอมไปเลยค่ะ เนื่องจากหากหมอไป เมื่อเขากลับมาก็ต้องกักตัว 14 วันตามนโยบายของรัฐ เราพยายามติดต่อหมอจากทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน รวมทั้งกงสุลก็ช่วยติดต่อให้ก็ยังหาหมอไม่ได้เลยค่ะ ด้วยเงื่อนไขข้อนี้ทำให้แม่เรายังกลับไม่ได้และทำให้เราเป็นห่วงแม่มากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบจะสองเดือนแล้วที่แม่ป่วยหนักที่จีน เรากังวลที่สุดคือเรื่องสภาพจิตใจของแม่หากรอนานกว่านี้เกรงว่าจะไม่ไหวและไม่มีกำลังใจสู้ต่อไป ทุกครั้งที่ได้คุยกับแม่จะเห็นได้ชัดว่ากำลังใจของแม่ถดถอยลงเรื่อยๆ และบอกเสมอว่าอยากกลับบ้าน เราปวดใจเสมอที่ช่วยให้แม่กลับมาไม่ได้สักที
กระทู้นี้จะไม่จบจนกว่าแม่ของ จขกท จะได้กลับไทย หากมีอะไรคืบหน้าเราจะอัปเดตอีกทีนะคะ ใครมีคำแนะนำดีๆ มีหนทางช่วยเหลือหรือประสบการณ์คล้ายๆ กันก็แบ่งปันกันได้นะคะ ทุกความเห็นจะมีประโยชน์ในการช่วยเหลือแม่ของเราค่ะ
เมื่อแม่ฉันป่วยหนักที่จีน ช่วง COVID-19
กระทู้นี้เป็นประสบการณ์ที่เราพบเจอมากับตัว ปกติเมื่อเรามีปัญหาอะไรก็จะหาข้อมูลก่อน แต่กรณีของเราเรียกได้ว่าเป็นกรณีพิเศษที่หาข้อมูลไม่เจอเลย จึงอยากมาแบ่งปันกับทุกๆ ท่านค่ะ
เกิดเหตุการณ์
แม่ของเราไปทำงานในร้านนวดสปาที่เซี่ยงไฮ้ (ประเทศจีน) ได้ปีกว่าๆ แล้วค่ะ โดยถือวีซ่าทำงานอย่างถูกกฏหมาย ช่วงที่จีน Lockdown ไม่มีไฟลท์บินให้กลับแม่ก็ยังติดอยู่ที่นั่น
จนวันที่ 16 มิถุนายน แม่ของเราเกิดอาการเส้นเสือดในสมองแตกและล้มตอนไหนไม่มีใครรู้ ปกติในตอนเช้าเพื่อนๆ แม่จะปลุกกันไปทำงานแต่วันนั้นแม่กลับไม่ลุก มีเลือดออกปากออกจมูก เพื่อนๆ จึงรีบส่งแม่ไปโรงพยาบาล และติดต่อเราทันที ตอนนั้นเวลา6 โมงเช้าไทย (ที่เซี่ยงไฮ้เร็วกว่าไทย 1 ชม.) ภาพที่เราเห็นคือแม่นอนอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉิน ไม่รู้สึกตัว พยาบาลคอยซับเลือดที่จมูกให้และใส่เครื่องช่วยหายใจ หมอพูดกับเราว่าในสมองของแม่มีเลือดออกในจุดสำคัญ ต้องทำการผ่าตัดเร่งด่วน จำเป็นต้องให้ญาติมาเซ็นยินยอมรับการผ่าตัด ปัญหาแรกมาแล้วค่ะ เราอยู่ไทยและตอนนั้นจีนปิดประเทศ ระงับการขอวีซ่าและไม่มีไฟลท์บินไปจีนเลย หมอบอกว่าแม่อาการหนักมากสามารถรอได้ช้าสุดก็ 3 วันซึ่งไม่ทันแน่ๆ โดยหมอจะรักษาแบบประคองอาการไม่ให้ทรุดไปกว่านี้ (ค่ายาต่างๆ ในตอนนี้เจ้านายของแม่เป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ก่อน) เหตุการณ์เกิดขึ้นใหม่ๆ เรายังคิดอะไรไม่ออก ทุกอย่างมันตื้อมันตันไปหมด ญาติๆ เราก็ช่วยกันหาทางและเสนอให้ติดต่อกงสุลไทยที่เซี่ยงไฮ้ค่ะ
กงสุลเข้ามาดูแล
เมื่อติดต่อกงสุลได้แล้ว ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่กงสุลแอดวีแชทเรามา บอกให้เราสแกนเอกสารต่างๆ เพื่อยืนยันว่าเป็นครอบครัวของผู้ป่วย ใบมอบอำนาจ (กงสุลให้เรามอบอำนาจให้เพื่อนแม่คนจีนที่พูดภาษาไทยได้ซึ่งคนๆ นี้เป็นคนติดต่อเราคนแรกและเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ แทนเจ้านาย เราจะเรียกว่า “คุณหาน” นะคะ) และแจ้งว่าวันพรุ่งนี้จะเข้าไปดูแม่ เราก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่ามีคนมาช่วยแล้ว แต่ใจชื้นได้ไม่ทันไร หมอก็บอกว่า ตอนนี้อาการแม่น่าเป็นห่วงมาก เลือดออกจนทำการผ่าตัดไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงให้ยา รอให้เลือดหยุดไหลและรอดูอาการอีก 36 ชม. วันนั้นเพื่อนแม่หลายคนก็คอลมาแจ้งอาการเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะบอกว่า ทำใจ สวดมนต์นะลูก ต่างๆ นาๆ ยิ่งรู้ว่าแม่เราเป็นหนักขนาดไหนก็ยิ่งบั่นทอนกำลังใจเราเรื่อยๆ คืนนั้นว้าวุ่นใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว
บ่ายวันต่อมากงสุลก็เข้ามาเยี่ยมแม่พร้อมรับเรื่องและแจ้งอาการแม่เราคร่าวๆ มีการสร้างกลุ่มวีแชทซึ่งมีเจ้าหน้าที่กงสุล หมอเจ้าของเคสแม่ เพื่อนแม่ที่เรามอบอำนาจให้(คุณหาน) โดยหมอจะแจ้งอาการรายวันในกลุ่มนี้ มีเจ้าหน้าที่กงสุลคอยประสานงานและแปลภาษาจีนให้เราอีกที
วันต่อๆ มาจะมีคุณหานคอยวิดีโอคอล ให้เราได้เห็นว่าแม่เป็นอย่างไรบ้าง เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ตอนที่พยาบาลเข็นแม่ออกมาทำ CT scan เท่านั้น เพราะแม่เราต้องอยู่ห้อง ICU ตลอด วันที่3 นี้แม่เราอาการยังน่าเป็นห่วงและยังคงไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ ผลวินิจฉัยออกมาว่า แม่เป็นเส้นเลือดในสมองแตกเนื่องจากความดันโลหิตสูง แม่ของเราเป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้วต้องกินยาตลอด เพื่อนแม่บอกว่าสองเดือนก่อนหน้านั้นแม่เรามีอาการเบลอๆ อาจจะเป็นเพราะยาหมด และเป็นบ่อยขึ้นจนเกิดเหตุการณ์นี้ค่ะ
ผ่านมา 7 วันอาการยังคงที่ หมอแจ้งว่าเลือดในสมองหยุดไหลแล้วต้องให้ยาสลายลิ่มเลือดเพื่อไม่ให้เลือดแข็งตัวจนไปกดทับเส้นประสาทส่วนอื่น แต่มีอาการแทรกซ้อนคือ ปอดอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร แม่ยังหายใจเองไม่ได้และต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ไม่รู้ว่าแม่ต้องอยู่อย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ทำได้แค่ติดตามรอดูอาการเท่านั้น
เจรจากับนายจ้าง
นานวันเข้าค่าใช้จ่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้น คุณหานบอกว่าค่ารักษาแม่เราเริ่มเยอะแล้วนะ เธอต้องส่งเงินมาช่วยแล้ว (ตอนนี้ค่ายาเจ้านายของแม่ยังจ่ายให้อยู่ค่ะ) เราก็เลยปรึกษาพี่ตาว พี่ตาวบอกว่ากงสุลใหญ่จะเข้าไปเจรจากับนายจ้างค่ะ วันนั้นที่ประชุมก็มีเจ้าหน้าที่กงสุล นายจ้าง คุณหาน และเพื่อนแม่อีกคน เมื่อประชุมเสร็จก็มีเจ้าหน้าที่กงสุลสรุปมาให้และมีเพื่อนแม่เล่าเพิ่มเติ่มให้ฟัง (เราไม่ได้วิดีโอคอลร่วมประชุมด้วย) ประชุมครั้งแรกเจ้านายแม่บอกว่า จะรับผิดชอบให้ดีที่สุด วันต่อมาคุณหานโทรมาคุยกับเราประมาณว่า ช่วงนี้ธุรกิจเป็นยังไงเธอก็รู้ๆ อยู่ จริงๆ แล้วเจ้านายไม่จำเป็นต้องมาจ่ายค่ารักษาให้แม่เธอด้วยซ้ำ เพราะแม่เธอไม่ได้ล้มในเวลาทำงาน ส่วนนี้ไม่อยู่ในสัญญา และทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น เราติดต่อเจ้าหน้าที่กงสุลทันทีเลยค่ะว่าคุณหานบอกกับเราแบบนี้ เพื่อนแม่ซึ่งทำงานบริษัทเดียวกันแต่อยู่คนละร้านก็ให้ข้อมูลว่า ร้านที่แม่อยู่ทำงานหนักมาก ปกติจะแบ่งเป็นกะอยู่แล้วแต่บางครั้งแม่เราก็ต้องทำควบกะ กว่าจะเลิกงานกลับมาเวลาพักผ่อนก็แทบไม่พอ (แม่เราทำกะดึก) เจ้าหน้าที่กงสุลบอกว่าจะนัดเจรจากับนายจ้างอีกที
ตอนนี้แม่เราเริ่มรู้สึกตัวแล้ว แต่ยังขยับตัว พูด และทานอาหารเองไม่ได้ จำเป็นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอด และมีเพื่อนแม่ไปรอเยี่ยมทุกวัน บางวันก็ไม่ได้เจอเลยค่ะ แต่เอามือถือให้หมอเวรพิมพ์อาการแม่แล้วแปลในกูเกิลให้เรา ต้องขอบคุณแกจริงๆค่ะ (บางวันหมอเจ้าของเคสแม่ไม่อยู่ก็จะไม่ได้แจ้งอาการแม่ในกลุ่มวีแชทค่ะ)
ผ่านมา 10 วันแล้วแม่เราอาการดีขึ้นเล็กน้อย แต่มีการแทรกซ้อนเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเข้ามา เช่น มีเสมหะในปอด ปอดอักเสบลามไปจนอักเสบทั้งสองข้าง ได้วิดีโอคอลกันแปปเดียว พอแม่ได้ยินเสียงเรา แม่ก็น้ำตาไหล เราก็ได้แต่บอกแม่ว่าสู้ๆ นะแม่ กลับมาให้ได้นะ มันอึดอัดจริงๆ ตอนที่แม่เราเป็นอย่างนี้ใจเราอยากไปอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจแม่ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย จะไปหาก็ยังไปไม่ได้ จะร้องให้ที่บ้านก็ทำไม่ได้เพราะเราอยู่กับยาย ก็ไม่อยากให้ยายยิ่งใจเสียไป
เรื่องเงินบอกตามตรงว่าทางเราก็ไม่มีเลยค่ะ แม่เราเป็นเสาหลักของครอบครัว เราก็ยังเรียนไม่จบ และยายซึ่งเป็นเกษตรกรรายได้ไม่มากค่ะ คุณหานติดต่อเรามาเรื่อยๆ ว่าเมื่อไหร่เธอจะส่งเงินมาสักทีซึ่งค่าใช้จ่ายรวมๆ ที่นายจ้างออกให้ก่อนตอนนี้ประมาณ 3 แสนบาทไทยแล้วค่ะ ทางกงสุลก็ติดต่อกับนายจ้างอีกสองสามครั้ง เจรจาจนได้ข้อสรุปว่า เจ้านายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในช่วงที่แม่อยู่ห้อง ICU เท่านั้น (แม่เราอยู่ห้องICU ทั้งหมด14วัน)
จัดการกับค่ารักษา
พอแม่เราออกจากห้อง ICU ได้แล้วอาการก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ หมอเจ้าของเคสบอกว่าอาการในตอนนี้ดีขึ้นจนไม่ต้องผ่าตัดแล้วค่ะ แต่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดและต้องย้ายไปโรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นโดยเฉพาะ ซึ่งทางกงสุลก็ได้ติดต่อย้ายโรงพยาบาลให้ และนับตั้งแต่ย้ายโรงพยาบาลเราต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เราได้เล่าเรื่องครอบครัวของเราให้พี่ตาวฟังและขอคำแนะนำว่าพอจะมีหน่วยงานไหนช่วยเหลือด้านการเงินเราได้บ้าง เจ้าหน้าที่กงสุลก็ติดต่อกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ ให้ จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่จากกองคุ้มครองฯ ติดต่อให้เราไปเซ็นเอกสารยอมรับสภาพหนี้ที่สำนักงานหนังสือเดินทางเชียงราย (เราอยู่เชียงรายค่ะ) ส่วนนี้เมื่อเราเซ็นเอกสารแล้วทางกองคุ้มครองฯ จะออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้เราก่อน เหมือนกับการกู้นั่นแหละค่ะ เมื่อแม่กลับมาไทยแล้วก็ต้องใช้หนี้คืน
แม่เราต้องพักฟื้นที่ รพ.ใหม่ จนกว่าหมอจะอนุญาติให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยกลับประเทศได้ (รพ.ใหม่นี้ค่าใช้จ่าย 1 เดือนประมาณ 30,000 หยวนไม่รวมค่า พยาบาลพิเศษ) เราต้องจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลแม่ (เราเรียกว่า “อาอี๋”) โดยการติดต่อกับแม่หลังจากนี้เราจะคุยกับอาอี๋เป็นหลักค่ะ (เราเรียนเอกภาษาจีนปี4 จึงพอสื่อสารกับอาอี๋ได้ค่ะ) แม่เราอาการโดยรวมดีขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจแล้ว แต่ร่างกายซีกซ้ายขยับไม่ได้เลยค่ะ พอพูดได้บ้างแต่ลิ้นแข็งพูดไม่ชัด และแม่เราอยากกลับบ้านมากค่ะ
ปัญหาใหญ่
ปัญหาใหญ่ในสถานการณ์ COVID-19 คือหาไฟลท์บินยาก และหาหมอไปรับผู้ป่วยยากมากค่ะ การเคลื่อนย้ายแม่กลับไทยจำเป็นต้องมีแพทย์คอยดูแลบนเครื่องบินจนมาถึงโรงพยาบาลค่ะ ตั้งแต่แม่เราย้ายโรงพยาบาลเราก็ติดต่อถามถึงขั้นตอนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยซึ่งละเอียดและยุ่งยากกว่าสถานการณ์ปกติมาก เราโทรไปสายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค ซึ่งได้ให้ข้อมูลมาว่า เมื่อกลับมาแม่เราจำเป็นต้องกักตัวในโรงพยาบาล Alternative Hospital Quarantine (รายชื่อสามารถดูได้ในเว็บ http://www.hsscovid.com/ ลังเกตได้ว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมด) ที่อยู่ในกรุงเทพฯ 14 วัน จากนั้นถึงจะเคลื่อนย้ายกลับมายังโรงพยาบาลศูนย์ (เราอยู่เชียงรายก็จะเป็นโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์) แต่ปัญหาใหญ่คือแม่เราเป็นผู้ป่วยหนัก จำเป็นต้องมีหมอเดินทางไปกับเครื่องบินเพื่อไปรับที่จีน แต่ตอนนี้ไม่มีหมอคนไหนยอมไปเลยค่ะ เนื่องจากหากหมอไป เมื่อเขากลับมาก็ต้องกักตัว 14 วันตามนโยบายของรัฐ เราพยายามติดต่อหมอจากทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน รวมทั้งกงสุลก็ช่วยติดต่อให้ก็ยังหาหมอไม่ได้เลยค่ะ ด้วยเงื่อนไขข้อนี้ทำให้แม่เรายังกลับไม่ได้และทำให้เราเป็นห่วงแม่มากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบจะสองเดือนแล้วที่แม่ป่วยหนักที่จีน เรากังวลที่สุดคือเรื่องสภาพจิตใจของแม่หากรอนานกว่านี้เกรงว่าจะไม่ไหวและไม่มีกำลังใจสู้ต่อไป ทุกครั้งที่ได้คุยกับแม่จะเห็นได้ชัดว่ากำลังใจของแม่ถดถอยลงเรื่อยๆ และบอกเสมอว่าอยากกลับบ้าน เราปวดใจเสมอที่ช่วยให้แม่กลับมาไม่ได้สักที
กระทู้นี้จะไม่จบจนกว่าแม่ของ จขกท จะได้กลับไทย หากมีอะไรคืบหน้าเราจะอัปเดตอีกทีนะคะ ใครมีคำแนะนำดีๆ มีหนทางช่วยเหลือหรือประสบการณ์คล้ายๆ กันก็แบ่งปันกันได้นะคะ ทุกความเห็นจะมีประโยชน์ในการช่วยเหลือแม่ของเราค่ะ