สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับการมาเกาหลีและการผ่านตม.เกาหลีค่ะ
คือจริงๆเรามาเกาหลีบ่อยตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย ปิดเทอมทีมาที ไปอยู่ทีละ2-3อาทิตย์ เพราะมีโครงการแลกเปลี่ยนของคณะและมีเพื่อนคนเกาหลีหลายคน
เราเรียนคณะแพทยศาสตร์ที่ไต้หวัน ปกติบินตรงจากไต้หวันไปเกาหลีไม่เคยมีปัญหาอะไร ตม.ไม่ได้ถามอะไรมาก แต่ปกติจะเตรียมบัตรนักศึกษาและเอกสารยืนยันการเป็นนักศึกษาไปด้วย
มีบินจากไทยบ้างแต่ก็เตรียมเอกสารไปด้วยตลอดเผื่อตม.ถามและยังให้เพื่อนที่เรียนคณะแพทย์เหมือนกันที่เป็นคนเกาหลีช่วยรับรองให้
เราเรียนจบชั้นพรี คลีนิกและฝึกงานในโรงพยาบาลที่ไต้หวันได้หนึ่งปี (ปี 5) ก็เริ่มรู้สึกว่าอาชีพหมอไม่ใช่ทางของเราเลยดรอปแล้วบินกลับไปกรุงเทพฯเพื่อไปทำงานเป็นครูสอนภาษา เพราะเราชอบด้านภาษามากกว่า (ตั้งแต่เป็นนักเรียนเราก็เรียนไปด้วย สอนภาษาไปด้วย ปิดเทอมถึงจะสอนเยอะหน่อย) ตอนนี้ส่วนมากเราสอนภาษาไทยให้คนต่างชาติ แต่เราก็สอนภาษาอังกฤษ, จีน และเกาหลีด้วย นักเรียนของเราส่วนมากไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยเราจึงสอนออนไลน์เป็นส่วนใหญ่
พอดีว่าเรามีแฟนเป็นคนเกาหลีคบกันมาครึ่งปี พวกเรา (รู้จักกันเพราะเราสอนภาษาอังกฤษให้เขา) แฟนจะกลับบ้านช่วงซอลลัล (ปีใหม่เกาหลี) เลยชวนเราไปด้วยจะได้ไปรู้จักพ่อแม่เขา
ตอนแรกกลัวมากค่ะ กังวลมากเพราะเราไม่ใช่นักเรียนแล้วและไม่มีใบรับรองเงินเดือนเป็นหลักเป็นแหล่งเหมือนคนทำงานบริษัทหรือรับข้าราชการ และเราก็เพิ่งกลับมาทำงานที่ไทยได้สองเดือน
ยิ่งเห็นข่าวคนไทยติดตม.บ่อยยิ่งกลัว เราไม่ใช่คนแต่งตัวเก่ง ไม่ติดแบรนด์ ไม่ติดหรู แต่งตัวธรรมดามาก กลัวตม.เข้าใจผิดนึกว่าจะหนีไปทำงาน แฟนก็คอยบอกว่าไม่ต้องกลัว เราบริสุทธิ์ใจตม.ดูออก แต่เราก็ยังหวั่นๆ ยิ่งจะไปอยู่บ้านแฟน เขาจะกลับบ้านเขาเตรียมตัวไปพักผ่อน จึงไม่มีแผนเที่ยวอะไรละเอียด และเราจะไปอยู่บ้านแฟนซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาหลี (เมืองวอนจู เขตคังวอนโด) ซึ่งปกตินักท่องเที่ยวไม่ค่อยไป นอกจากจะไปเล่นสกีหรือไปเกาะนามิซึ่งไม่อยู่ไกลกันมากนัก
เราตั้งใจจะไปอยู่สองเดือนเพราะเราอยู่ที่ไหนก็สอนหนังสือได้เลยไม่กระทบงานการสอนของเราแต่กลัวตม.ไม่ให้ผ่านเพราะจะไปอยู่นาน
แฟนเราด้วยความเป็นห่วง เขาให้เราถือบัตรประชาชนเขาติดตัวไว้ เขียนที่อยู่ทั้งภาษาเกาหลีและอังกฤษไว้ให้ พร้อมเบอร์มือถือเขาและเบอร์ติดต่อของแม่กับน้องเขาไว้ด้วย นอกจากนั้นเขายังถ่ายรูปเขากับพาสปอร์ต, บัตรประชาชนและใบขับขี่เขาให้เราด้วย
ตอนถึงสนามบิน เราสองคนต้องแยกกันผ่านตม. (บินมาพร้อมกันจากกทม.ค่ะ) เขาก็ไปช่องคนเกาหลี ส่วนเราต้องไปช่องคนต่างชาติซึ่งแถวยาวมาก แฟนเราก็ยืนๆชะเง้อๆรอ (แฟนเราเป็นห่วง นางมาบอกทีหลังว่าคืนนั้นนอนไม่หลับเลย นางกลัวเราไม่ผ่าน ตม.เพราะก่อนมาเราให้นางดูข่าวคนไทยติด ตม.เกาหลีเกือบทุกวัน 555)
เราคุยกันทาง Kakaotalk ตลอดระหว่างรอผ่านตม. (kakaotalk เหมือนไลน์ แต่คนเกาหลีใช้ kakaotalk มากกว่า) เราบอกให้นางไปก่อนเลย ผ่านแล้วไปดูกระเป๋าให้เราด้วย นางก็บอกโอเค นางไปสักพักได้ข้อความมาบอกว่าผ่านตม.แล้วนะ อยู่ที่รอกระเป๋า ได้กระเป๋าครบแล้ว คือช่องตม.ของคนเกาหลี ผ่านเร็วมากกกกก!!!
พีคสุดคือคนข้างหน้าเราถือพาสปอร์ตไทยโดนเรียกแยกออกไปเกือบหมด ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย เราก็ยิ่งใจคอไม่ดี ยิ่งเห็นยิ่งกลัว แม้เราจะไม่ใช่พาสปอร์ตขาว เราบินไปต่างประเทศบ่อย มาเกาหลีหลายรอบ ไม่เคยติดตม. ไม่เคยทำอะไรผิดกฎ และครั้งนี้บินมาพร้อมแฟนคนเกาหลีและยังพูดภาษาอังกฤษและเกาหลีได้แต่ก็ยังกลัว... ด้วยความที่เป็นผู้หญิงมายืนรอต่อแถวคนเดียวไม่มีบัตรนักเรียนแล้ว ไม่มีใบรับรองเงินเดือน ไม่มีแผนเที่ยวเป็นชิ้นเป็นอันและไม่ได้จองโรงแรม
ในใบตม.เราเขียนที่อยู่เป็นภาษาเกาหลี พอถึงตาเรา เรายื่นใบตม.ให้เจ้าหน้าที่ เขามองเราแล้วถามเราว่า
ตม.: นี่ที่อยู่ของใครคะ
เรา: ที่อยู่ของแฟนค่ะ แฟนเป็นคนเกาหลีค่ะ
ตม. : เขียนชื่อแฟนเป็นภาษาเกาหลีให้ดูหน่อยค่ะ
**เราเขียนชื่อแฟนลงบนใบตม. ข้างๆที่อยู่แฟนเป็นตัวอักษรภาษาเกาหลี**
ตม.: สองเบอร์นี้เบอร์ใครคะ
เรา: เบอร์แฟนกับน้องสาวของแฟนค่ะ
**เจ้าหน้าที่ตม.พลิกพาสปอ์ตเราไปมา**
เรา : ฉันกับแฟนคุณกันไว้เรื่องนี้บ้าง พวกเรากลัวฉันจะไม่ผ่านตม. เขาให้บัตรประชาชนของเขาไว้ที่ฉัน อยากดูไหมคะ
ตม.: ค่ะ ขอดูหน่อยค่ะ
**ระหว่างหาบัตรประชาชนแฟนในกระเป๋าสตางค์ เราก็อธิบายเพิ่ม**
เรา: พวกเราอาศัยอยู่ที่ไทยค่ะ พวกเราบินมาพร้อมกันจากกรุงเทพฯ และตอนนี้เขาอยู่ข้างนอกกับกระเป๋าของพวกเราค่ะ
** ยื่นบัตรประชาชนของแฟน ที่มีกระดาษแผ่นเล็กๆติดอยู่ แฟนเขียนที่อยู่เป็นภาษาเกาหลีและอังกฤษ เบอร์ของเขาและน้องสาวไว้**
ตม. : 5555 น่ารักจัง
**เราเริ่มยิ้มออกเมื่อจนท.ตม. หัวเราะที่เห็นบัตรประชาชนแฟนเราที่มีแผ่นกระดาษเล็กๆติดไว้ ตม.โต๊ะข้างๆหันมาถามด้วยความอยากรู้ว่าเพื่อนขำอะไร**
ตม.2: อะไรหรอ
ตม.1: นี่ "ช้าม ซารัง" **ยื่นบัตรประชาชนแฟนเราให้เพื่อนโต๊ะข้างๆดู แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มพร้อมกัน**
ตม.2: อ่า "ช้าม ซารัง"
**จนท. ตม.ยื่นบัตรประชาชนแฟนและพาสปอร์ตกลับมาให้เราและกล่าวขอบคุณ**
เรา:ขอบคุณค่ะ (ยิ้มกว้าง แต่ก็งงๆเพราะเราไม่รู้ว่า "ช้าม ซารัง" คืออะไร...)
.....
พอออกมาได้เรารีบโทรหาแฟน
เรา: ออกมาแล้วนะ ผ่านแล้ว!!
แฟน: เก่งมาก! ลงบันไดมาเลย รออยู่ตรงหน้าบันไดตรงที่ไปรอกระเป๋า
เรา: โอเค เดี๋ยวเจอกันนะ เมื่อกี้กลัวมาก
พอเราเดินไปถึงบันได ก็เห็นแฟนยืนรออยู่พร้อมกระเป๋าของพวกเรา เรารีบวิ่งไปหานาง พอนางเห็นเรานางทรุดลงกับพื้นร้องไห้ เราตกใจถามว่าเป็นอะไร นางบอกว่านางกังวลมาก กลัวเราติดตม. นางร้องไห้และกอดขาเราแน่นเลย ทำให้เราอยากร้องไห้ตามเลย
เราปลอบว่าเราไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วไปกินข้าวกัน นางจึงค่อยๆดีขึ้น นางบอกเมื่อคืนไม่ได้นอนเลย แต่ไม่กล้าบอกเรา นางกลัวเรากังวล นางคอยบอกเราว่าไม่เป็นไร ผ่านตม.อยู่แล้ว แต่ในใจนางก็กลัวๆ
พอผ่านตม.เรารีบโทรหาแม่เลย แม่กลัวอย่างเดียว กลัวเสียค่าเครื่องบินฟรีเพราะซื้อตัวไปกลับ 555 พอแม่รู้ว่าเราผ่านตม.ได้แล้วแม่ก็โล่งอก แม่บอกสวดมนต์ให้เสร็จพอดี
เราเล่าให้แฟนฟัง นางก็ขำ จะผ่านตม.เกาหลีแต่ละทีต้องถึงขึ้นพึ่งใบบุญพระศาสนากันเลยทีเดียว 555
พอผ่านตม.มาได้พวกเราก็ไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารในสนามบินและเตรียมตัวนั่งรถไปบ้านเกิดแฟนที่วอนจู
ด้วยความที่ยังสงสัยเกี่ยวกับ "ช้าม ซารัง" เราเลยถามแฟน เพราะเราไม่เคยได้ยินคำนี้
เรา: ชากีย่า (เราเรียกแฟนว่า "ชากีย่า 자기야" แปลว่า "ที่รัก" ในภาษาเกาหลี จริงๆอยากมีอารมณ์เรียกแฟนว่า โอป้า 오빠 พี่ชายบ้าง แต่เรากับแฟนอายุเท่ากันค่ะ 555) ก่อนผ่านตม. เราให้เขาดูบัตรประชาชนของเธอ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า "ช้าม ซารัง" แล้วคืนบัตรให้เรา
แฟน : ช้าม ซารัง?
เรา : อืม ช้าม ซารัง หรือ ช้าม ซารัม อะไรสักอย่าง
แฟน: ช้าม ซารัง (참사랑) แปลว่า true love (รักแท้) **นางตอบแล้วยิ้ม**
เรา: โอ้~ ไม่เคยได้ยินคำนี้เลย ศัพท์ใหม่เลย
แฟน: 5555 ก็เธอไม่เคยมีแฟนเป็นคนเกาหลีนิ
เรา: แฟนชาติอื่นก็ไม่เคยมี 5555
ปล. เราคุยกับแฟน 90% เป็นภาษาเกาหลี 10% เป็นภาษาอังกฤษค่ะ แฟนได้ภาษาไทยบ้างเช่น แนะนำตัว อิ่มมาก หิวมาก อร่อยมาก 555
ปล.2 บางทีเวลาอยากแอ๊บแบ๊ว เราก็มีเรียกแฟนว่า โอป้า บ้าง เพราะแฟนแก่กว่าเราครึ่งปี บางทีก็มีอารมณ์อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นนางเอกเกาหลีบ้างอะไรบ้าง 555
.....
อยากจะบอกทุกคนว่าถ้าเราบริสุทธิ์ใจไม่ได้คิดหนีไปทำงานหรือจะทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่ต้องไปกลัวตม.ค่ะ เราเชื่อว่าเขาดูออกค่ะ 😊
สุดท้ายนี้... สุดสัปดาห์นี้จะเป็นวันหยุดซอลลัลปีใหม่ของเกาหลี เราต้องไปเจอญาติๆแฟนเป็นครั้งแรก เราเจอแม่กับน้องเขาแล้ว พวกเขาดีกับเรามากๆ ดูแล ทำกับข้าว ซื้อของให้ (แฟนเจอญาติและที่บ้านเราหมดแล้ว เขาเป็นแฟนคนแรกของเราเลยและเราสนิทกับที่บ้านมากโดยเฉพาะกับแม่ เรามีเรื่องอะไรเล่าให้แม่ฟังคนแรกตลอด ตอนเริ่มๆคุยๆกันก็บอกแม่คนแรกในบ้าน) ยังไงฝากเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ
เดี๋ยวจะมาอัพเดตเรื่องต่างๆในเกาหลีต่อค่ะ ขอบคุณค่ะ 😊😊
รักแท้ ณ ตม. เกาหลี 우리 참사랑
คือจริงๆเรามาเกาหลีบ่อยตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย ปิดเทอมทีมาที ไปอยู่ทีละ2-3อาทิตย์ เพราะมีโครงการแลกเปลี่ยนของคณะและมีเพื่อนคนเกาหลีหลายคน
เราเรียนคณะแพทยศาสตร์ที่ไต้หวัน ปกติบินตรงจากไต้หวันไปเกาหลีไม่เคยมีปัญหาอะไร ตม.ไม่ได้ถามอะไรมาก แต่ปกติจะเตรียมบัตรนักศึกษาและเอกสารยืนยันการเป็นนักศึกษาไปด้วย
มีบินจากไทยบ้างแต่ก็เตรียมเอกสารไปด้วยตลอดเผื่อตม.ถามและยังให้เพื่อนที่เรียนคณะแพทย์เหมือนกันที่เป็นคนเกาหลีช่วยรับรองให้
เราเรียนจบชั้นพรี คลีนิกและฝึกงานในโรงพยาบาลที่ไต้หวันได้หนึ่งปี (ปี 5) ก็เริ่มรู้สึกว่าอาชีพหมอไม่ใช่ทางของเราเลยดรอปแล้วบินกลับไปกรุงเทพฯเพื่อไปทำงานเป็นครูสอนภาษา เพราะเราชอบด้านภาษามากกว่า (ตั้งแต่เป็นนักเรียนเราก็เรียนไปด้วย สอนภาษาไปด้วย ปิดเทอมถึงจะสอนเยอะหน่อย) ตอนนี้ส่วนมากเราสอนภาษาไทยให้คนต่างชาติ แต่เราก็สอนภาษาอังกฤษ, จีน และเกาหลีด้วย นักเรียนของเราส่วนมากไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยเราจึงสอนออนไลน์เป็นส่วนใหญ่
พอดีว่าเรามีแฟนเป็นคนเกาหลีคบกันมาครึ่งปี พวกเรา (รู้จักกันเพราะเราสอนภาษาอังกฤษให้เขา) แฟนจะกลับบ้านช่วงซอลลัล (ปีใหม่เกาหลี) เลยชวนเราไปด้วยจะได้ไปรู้จักพ่อแม่เขา
ตอนแรกกลัวมากค่ะ กังวลมากเพราะเราไม่ใช่นักเรียนแล้วและไม่มีใบรับรองเงินเดือนเป็นหลักเป็นแหล่งเหมือนคนทำงานบริษัทหรือรับข้าราชการ และเราก็เพิ่งกลับมาทำงานที่ไทยได้สองเดือน
ยิ่งเห็นข่าวคนไทยติดตม.บ่อยยิ่งกลัว เราไม่ใช่คนแต่งตัวเก่ง ไม่ติดแบรนด์ ไม่ติดหรู แต่งตัวธรรมดามาก กลัวตม.เข้าใจผิดนึกว่าจะหนีไปทำงาน แฟนก็คอยบอกว่าไม่ต้องกลัว เราบริสุทธิ์ใจตม.ดูออก แต่เราก็ยังหวั่นๆ ยิ่งจะไปอยู่บ้านแฟน เขาจะกลับบ้านเขาเตรียมตัวไปพักผ่อน จึงไม่มีแผนเที่ยวอะไรละเอียด และเราจะไปอยู่บ้านแฟนซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาหลี (เมืองวอนจู เขตคังวอนโด) ซึ่งปกตินักท่องเที่ยวไม่ค่อยไป นอกจากจะไปเล่นสกีหรือไปเกาะนามิซึ่งไม่อยู่ไกลกันมากนัก
เราตั้งใจจะไปอยู่สองเดือนเพราะเราอยู่ที่ไหนก็สอนหนังสือได้เลยไม่กระทบงานการสอนของเราแต่กลัวตม.ไม่ให้ผ่านเพราะจะไปอยู่นาน
แฟนเราด้วยความเป็นห่วง เขาให้เราถือบัตรประชาชนเขาติดตัวไว้ เขียนที่อยู่ทั้งภาษาเกาหลีและอังกฤษไว้ให้ พร้อมเบอร์มือถือเขาและเบอร์ติดต่อของแม่กับน้องเขาไว้ด้วย นอกจากนั้นเขายังถ่ายรูปเขากับพาสปอร์ต, บัตรประชาชนและใบขับขี่เขาให้เราด้วย
ตอนถึงสนามบิน เราสองคนต้องแยกกันผ่านตม. (บินมาพร้อมกันจากกทม.ค่ะ) เขาก็ไปช่องคนเกาหลี ส่วนเราต้องไปช่องคนต่างชาติซึ่งแถวยาวมาก แฟนเราก็ยืนๆชะเง้อๆรอ (แฟนเราเป็นห่วง นางมาบอกทีหลังว่าคืนนั้นนอนไม่หลับเลย นางกลัวเราไม่ผ่าน ตม.เพราะก่อนมาเราให้นางดูข่าวคนไทยติด ตม.เกาหลีเกือบทุกวัน 555)
เราคุยกันทาง Kakaotalk ตลอดระหว่างรอผ่านตม. (kakaotalk เหมือนไลน์ แต่คนเกาหลีใช้ kakaotalk มากกว่า) เราบอกให้นางไปก่อนเลย ผ่านแล้วไปดูกระเป๋าให้เราด้วย นางก็บอกโอเค นางไปสักพักได้ข้อความมาบอกว่าผ่านตม.แล้วนะ อยู่ที่รอกระเป๋า ได้กระเป๋าครบแล้ว คือช่องตม.ของคนเกาหลี ผ่านเร็วมากกกกก!!!
พีคสุดคือคนข้างหน้าเราถือพาสปอร์ตไทยโดนเรียกแยกออกไปเกือบหมด ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย เราก็ยิ่งใจคอไม่ดี ยิ่งเห็นยิ่งกลัว แม้เราจะไม่ใช่พาสปอร์ตขาว เราบินไปต่างประเทศบ่อย มาเกาหลีหลายรอบ ไม่เคยติดตม. ไม่เคยทำอะไรผิดกฎ และครั้งนี้บินมาพร้อมแฟนคนเกาหลีและยังพูดภาษาอังกฤษและเกาหลีได้แต่ก็ยังกลัว... ด้วยความที่เป็นผู้หญิงมายืนรอต่อแถวคนเดียวไม่มีบัตรนักเรียนแล้ว ไม่มีใบรับรองเงินเดือน ไม่มีแผนเที่ยวเป็นชิ้นเป็นอันและไม่ได้จองโรงแรม
ในใบตม.เราเขียนที่อยู่เป็นภาษาเกาหลี พอถึงตาเรา เรายื่นใบตม.ให้เจ้าหน้าที่ เขามองเราแล้วถามเราว่า
ตม.: นี่ที่อยู่ของใครคะ
เรา: ที่อยู่ของแฟนค่ะ แฟนเป็นคนเกาหลีค่ะ
ตม. : เขียนชื่อแฟนเป็นภาษาเกาหลีให้ดูหน่อยค่ะ
**เราเขียนชื่อแฟนลงบนใบตม. ข้างๆที่อยู่แฟนเป็นตัวอักษรภาษาเกาหลี**
ตม.: สองเบอร์นี้เบอร์ใครคะ
เรา: เบอร์แฟนกับน้องสาวของแฟนค่ะ
**เจ้าหน้าที่ตม.พลิกพาสปอ์ตเราไปมา**
เรา : ฉันกับแฟนคุณกันไว้เรื่องนี้บ้าง พวกเรากลัวฉันจะไม่ผ่านตม. เขาให้บัตรประชาชนของเขาไว้ที่ฉัน อยากดูไหมคะ
ตม.: ค่ะ ขอดูหน่อยค่ะ
**ระหว่างหาบัตรประชาชนแฟนในกระเป๋าสตางค์ เราก็อธิบายเพิ่ม**
เรา: พวกเราอาศัยอยู่ที่ไทยค่ะ พวกเราบินมาพร้อมกันจากกรุงเทพฯ และตอนนี้เขาอยู่ข้างนอกกับกระเป๋าของพวกเราค่ะ
** ยื่นบัตรประชาชนของแฟน ที่มีกระดาษแผ่นเล็กๆติดอยู่ แฟนเขียนที่อยู่เป็นภาษาเกาหลีและอังกฤษ เบอร์ของเขาและน้องสาวไว้**
ตม. : 5555 น่ารักจัง
**เราเริ่มยิ้มออกเมื่อจนท.ตม. หัวเราะที่เห็นบัตรประชาชนแฟนเราที่มีแผ่นกระดาษเล็กๆติดไว้ ตม.โต๊ะข้างๆหันมาถามด้วยความอยากรู้ว่าเพื่อนขำอะไร**
ตม.2: อะไรหรอ
ตม.1: นี่ "ช้าม ซารัง" **ยื่นบัตรประชาชนแฟนเราให้เพื่อนโต๊ะข้างๆดู แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มพร้อมกัน**
ตม.2: อ่า "ช้าม ซารัง"
**จนท. ตม.ยื่นบัตรประชาชนแฟนและพาสปอร์ตกลับมาให้เราและกล่าวขอบคุณ**
เรา:ขอบคุณค่ะ (ยิ้มกว้าง แต่ก็งงๆเพราะเราไม่รู้ว่า "ช้าม ซารัง" คืออะไร...)
.....
พอออกมาได้เรารีบโทรหาแฟน
เรา: ออกมาแล้วนะ ผ่านแล้ว!!
แฟน: เก่งมาก! ลงบันไดมาเลย รออยู่ตรงหน้าบันไดตรงที่ไปรอกระเป๋า
เรา: โอเค เดี๋ยวเจอกันนะ เมื่อกี้กลัวมาก
พอเราเดินไปถึงบันได ก็เห็นแฟนยืนรออยู่พร้อมกระเป๋าของพวกเรา เรารีบวิ่งไปหานาง พอนางเห็นเรานางทรุดลงกับพื้นร้องไห้ เราตกใจถามว่าเป็นอะไร นางบอกว่านางกังวลมาก กลัวเราติดตม. นางร้องไห้และกอดขาเราแน่นเลย ทำให้เราอยากร้องไห้ตามเลย
เราปลอบว่าเราไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วไปกินข้าวกัน นางจึงค่อยๆดีขึ้น นางบอกเมื่อคืนไม่ได้นอนเลย แต่ไม่กล้าบอกเรา นางกลัวเรากังวล นางคอยบอกเราว่าไม่เป็นไร ผ่านตม.อยู่แล้ว แต่ในใจนางก็กลัวๆ
พอผ่านตม.เรารีบโทรหาแม่เลย แม่กลัวอย่างเดียว กลัวเสียค่าเครื่องบินฟรีเพราะซื้อตัวไปกลับ 555 พอแม่รู้ว่าเราผ่านตม.ได้แล้วแม่ก็โล่งอก แม่บอกสวดมนต์ให้เสร็จพอดี
เราเล่าให้แฟนฟัง นางก็ขำ จะผ่านตม.เกาหลีแต่ละทีต้องถึงขึ้นพึ่งใบบุญพระศาสนากันเลยทีเดียว 555
พอผ่านตม.มาได้พวกเราก็ไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารในสนามบินและเตรียมตัวนั่งรถไปบ้านเกิดแฟนที่วอนจู
ด้วยความที่ยังสงสัยเกี่ยวกับ "ช้าม ซารัง" เราเลยถามแฟน เพราะเราไม่เคยได้ยินคำนี้
เรา: ชากีย่า (เราเรียกแฟนว่า "ชากีย่า 자기야" แปลว่า "ที่รัก" ในภาษาเกาหลี จริงๆอยากมีอารมณ์เรียกแฟนว่า โอป้า 오빠 พี่ชายบ้าง แต่เรากับแฟนอายุเท่ากันค่ะ 555) ก่อนผ่านตม. เราให้เขาดูบัตรประชาชนของเธอ เขาหัวเราะแล้วพูดว่า "ช้าม ซารัง" แล้วคืนบัตรให้เรา
แฟน : ช้าม ซารัง?
เรา : อืม ช้าม ซารัง หรือ ช้าม ซารัม อะไรสักอย่าง
แฟน: ช้าม ซารัง (참사랑) แปลว่า true love (รักแท้) **นางตอบแล้วยิ้ม**
เรา: โอ้~ ไม่เคยได้ยินคำนี้เลย ศัพท์ใหม่เลย
แฟน: 5555 ก็เธอไม่เคยมีแฟนเป็นคนเกาหลีนิ
เรา: แฟนชาติอื่นก็ไม่เคยมี 5555
ปล. เราคุยกับแฟน 90% เป็นภาษาเกาหลี 10% เป็นภาษาอังกฤษค่ะ แฟนได้ภาษาไทยบ้างเช่น แนะนำตัว อิ่มมาก หิวมาก อร่อยมาก 555
ปล.2 บางทีเวลาอยากแอ๊บแบ๊ว เราก็มีเรียกแฟนว่า โอป้า บ้าง เพราะแฟนแก่กว่าเราครึ่งปี บางทีก็มีอารมณ์อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นนางเอกเกาหลีบ้างอะไรบ้าง 555
.....
อยากจะบอกทุกคนว่าถ้าเราบริสุทธิ์ใจไม่ได้คิดหนีไปทำงานหรือจะทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่ต้องไปกลัวตม.ค่ะ เราเชื่อว่าเขาดูออกค่ะ 😊
สุดท้ายนี้... สุดสัปดาห์นี้จะเป็นวันหยุดซอลลัลปีใหม่ของเกาหลี เราต้องไปเจอญาติๆแฟนเป็นครั้งแรก เราเจอแม่กับน้องเขาแล้ว พวกเขาดีกับเรามากๆ ดูแล ทำกับข้าว ซื้อของให้ (แฟนเจอญาติและที่บ้านเราหมดแล้ว เขาเป็นแฟนคนแรกของเราเลยและเราสนิทกับที่บ้านมากโดยเฉพาะกับแม่ เรามีเรื่องอะไรเล่าให้แม่ฟังคนแรกตลอด ตอนเริ่มๆคุยๆกันก็บอกแม่คนแรกในบ้าน) ยังไงฝากเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ
เดี๋ยวจะมาอัพเดตเรื่องต่างๆในเกาหลีต่อค่ะ ขอบคุณค่ะ 😊😊