สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เป็นวันครบรอบ 1 ปีของพวกเราค่ะ เราจึงอยากจะมาแบ่งปันเรื่องราวความรักของเราค่ะ
"แฟนคนเกาหลีที่รู้จักกันผ่านแอพแลกเปลี่ยนภาษา"
สวัสดีค่ะทุกคนอยากมาแบ่งปันประสบการณ์ความรักของเรากับแฟนคนเกาหลีให้ฟังกันค่ะ 😊 และอยากจะมาเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ยังโสดอยู่อย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะคะ ❤
หลายคนพูดว่าเทคโนโลยีทำให้โลกเล็กลง ทำให้คนเราใกล้กันมากขึ้น เดินทางหากันได้เร็วและสะดวกขึ้น รวมทั้งทำให้คนที่อยู่ต่างที่ต่างถิ่นมารู้จักกันได้ง่ายขึ้น...
เราเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ตั้งแต่เด็กจนโตมักทุ่มเวลาให้กับการเรียน, การทำกิจกรรม และการอยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิทเป็นส่วนใหญ่ เราไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวตั้งแต่สมัยมัธยม เรื่องการเรียน การใช้ชีวิตเราตัดสินใจเองทั้งหมด (แต่ก็คอยรายงานที่บ้านตลอด ซึ่งก็อาจจะมีเห็นด้วยบ้าง ไม่เห็นด้วยบ้าง) เราจึงมีนิสัยที่ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง, ดูแลตัวเองได้ และอยู่กับตัวเองคนเดียวได้
วันหนึ่งเราใช้เวลาอ่านหนังสือเรียนวันละหลายชั่วโมง มีเวลาว่างก็ออกไปทำงานอาสาหรือเข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนบ้าง ทำงานพิเศษด้านการสอนภาษาบ้าง
ชีวิตเราเป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตชิลๆ เฮฮา แบบสาวโสดคนไม่เคยมีแฟน ลัลล้าปาร์ตี้กับเพื่อนตามภาษา รู้สึกแฮปปี้ รู้สึกว่าฉันเป็นสาวโสด สาวสตรอง ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่มีแฟนก็ไม่เห็นเป็นไร
แต่ในบางครั้งวันที่รู้สึกดาวน์ รู้สึกแย่ก็จะมีคิดบ้างว่าเพราะเราไม่สวยพอหรือเปล่าเพราะด้วยความที่เราเป็นคนไม่ค่อยแต่งตัว ไม่ค่อยแต่งหน้า หรือเป็นเพราะว่าเรามีข้อเสียตรงไหนหรือเปล่า นิสัยไม่ดีหรือเปล่า ทำไมไม่เคยมีแฟนเหมือนคนอื่นบ้าง...
เราคิดเสมอว่าการที่คนสองคนได้มาเจอกันแล้วรักกันนั้นมันช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ สองคนนั้นต้องโชคดีมากๆ ซึ่งเราเป็นคนที่ไม่ค่อยมีดวงเรื่องการเสี่ยงโชคเท่าไหร่นัก ขนาดเล่นเป่ายิงฉุบยังแพ้ตลอด 555
เราจึงปลงเรื่องรัก และตั้งใจจะมุ่งเรื่องงาน
หลังจากที่เรียนคณะแพทย์มา 5 ปีและตัดสินใจจะไม่เป็นหมอแต่อยากจะเป็นครูสอนภาษา ก็เริ่มลงมือหานักเรียนอย่างจริงจัง เปิดคอร์สออนไลน์ต่างๆ เรามีนักเรียนเก่าที่เรียนกับเราอยู่ก่อนตั้งแต่สมัยเราเป็นนักศึกษาแล้ว และที่ไต้หวันในมหาวิทยาลัยที่เราเรียน เราก็สอนภาษาไทยและอังกฤษที่ศูนย์ภาษาด้วย เพราะฉะนั้นที่เมืองไถจงคลาสภาษาไทยของเราจึงค่อนข้างมีชื่อเสียง มีนักเรียนเต็มห้องตลอด นักเรียนจากทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยมาเรียนกันจนล้นห้อง ต้องยืนเรียนสองชั่วโมงก็มี!
ปกติเราได้นักเรียนจากการโพสต์วีดีโอ YouTube สอนภาษาของตัวเองลงต่างกลุ่ม Facebook ต่างๆ บางส่วนมาจากนักเรียนบอกกันปากต่อปาก แนะนำเพื่อนตัวเองมาเรียนกับเราอีกที
มีอยู่วันหนึ่งมีนักเรียนชาวฮ่องกงที่เรียนภาษาไทยกับเรามาเที่ยวกับครอบครัว เราเลยอาสาพาพวกเขาไปเที่ยว ระหว่างทางก็ชวนนักเรียนคุยบ้าง เราถามเล่นๆว่าทำไมเก่งภาษาไทยจัง เขาบอกว่าเขาใช้ "แอพแลกเปลี่ยนภาษา"
ด้วยความที่ไม่เคยใช้แอพหาเพื่อน หาคู่ อะไรทั้งนั้นเลยถามต่อว่า แอพแลกเปลี่ยนภาษาเป็นอย่างไร มีเพื่อนเยอะไหม
นางก็เล่าให้ฟังว่าได้รู้จักเพื่อนคนไทยที่อยากเรียนภาษาจีนและอังกฤษหลายคน หลายๆคนเคยเจอกัน หลายๆคนเคยโทรคุยกันบ่อยจนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว ที่สำคัญมีคนประกาศหาครูบ้าง มีคนเป็นครูโฆษณาการสอนบ้าง แล้วบอกต่อว่า "ครูก็ลองดูด้วยซิ เผื่อได้นักเรียนเพิ่ม"
เราก็แบบ อู้ววว "เผื่อได้นักเรียนเพิ่ม" ดีจังๆ อยากลองบ้าง เลยลองดาวน์โหลดมาใช้บ้าง แรกๆเราก็ยังไม่ค่อยรู้จะใช้ยังไงแต่ด้วยความที่อยากได้นักเรียนเพิ่ม (อยากได้ตังเพิ่ม 555) ก็ลองดูจากโปรไฟล์ใครเขียนว่าสนใจเรียนภาษาไทย, อังกฤษ, จีนหรือเกาหลี (เราพูดได้ 4 ภาษา) ก็จะลองทักไป "สวัสดีค่ะ ฉันเป็นครูสอนภาษา ถ้าอยากเรียนภาษามีอะไรให้ช่วยบอกได้นะคะ ขอบคุณค่ะ" ก็มีคนตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆเราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่คิดว่าเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับตัวเองในการหานักเรียน และการใช้แอพพวกนี้ก็ฟรี เราสอนภาษาแบบ freelance และเราก็ไม่อยากจ่ายค่าโฆษณาตามเวปไซต์ต่างๆ
หลังจากที่เริ่มสอนเต็มตัวได้ 1 ปีหลายๆอย่างลงตัวมากขึ้น จึงเตรียมตัวกลับไทย กะจะไปสอนที่ไทย เพราะอยากมีศูนย์ภาษาเล็กๆเป็นของตัวเอง เราก็พยายามหานักเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะคนต่างชาติที่อยากเรียนภาษาไทย ต้องย้ายไปอยู่หรือต้องไปทำงานที่ไทย เราใช้แอพแลกเปลี่ยนภาษามาเรื่อยๆ ได้เพื่อนใหม่หลายคนโดยเฉพาะคนเกาหลี เราเคยไปแลกเปลี่ยนที่เกาหลีตอนปี 3 เลยมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่น พอปิดเทอมทีก็เลยไปเที่ยวเกาหลีที เพื่อนจากในแอพก็เลยกลายมาเป็นในชีวิตจริงหลายคน
จนกระทั่งวันหนึ่งเราได้มาเจอหนุ่มเกาหลีคนหนึ่งอยากฝึกภาษาอังกฤษ เพราะกำลังเตรียมตัวไปทำงานที่ออสเตรเลีย เราคุยกันได้ถูกคอมาก คุยกับเขาแล้วสนุก เราคุยกันได้ทั้งวัน เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งที่รู้สึกคุยด้วยแล้วสบายใจ จนวันหนึ่งเราจะไปเกาหลีก็เลยบอกเขาว่าหน้าร้อนนี้เราจะไปเกาหลีนะ จะไปพักอยู่ที่อินชอน พักใกล้ๆบ้านเพื่อน เขาบอกว่าช่วงที่เราจะไปเกาหลีเป็นช่วงหนึ่งอาทิตย์สุดท้ายที่เขาจะอยู่เกาหลีก่อนไปออสเตรเลีย... เราเลยบอกเขาว่า "ไม่เป็นไร ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเถอะ ถ้ามีโอกาสสักวันหนึ่งเราคงได้พบกัน..." แต่เขาบอกไม่เป็นไร เขาจะหาเวลามากินข้าวกับเราสักมื้อ...
ช่วงอาทิตย์สุดท้ายในเกาหลีของเขา เขานัดเราไปกินข้าวที่โซล 3 ครั้ง บ้านของเขาอยู่ที่เมืองวอนจู เขาต้องนั่งรถทัวร์มาต่อรถไฟใต้ดินมาหาเรา เขาใช้เวลาไปกลับครั้งละ 5 ชั่วโมงเพื่อมากินข้าวกับเรา
เรากินข้าวกัน คุยเล่น และเดินเล่นกัน ช่วงเวลาที่เราได้เจอกันหนึ่งวันผ่านไปเร็วเหมือนโกหก เหมือนกับที่มีคนเคยบอกว่าเวลาที่คุณมีความสุข คุณจะรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วมาก...
ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะอยู่ที่เกาหลี เรายืนคุยกันที่สถานีรถไฟใต้ดินอยู่สักพักก่อนจะลาจากกัน ฉันอวยพรขอให้เขามีความสุขและโชคดีในออสเตรเลีย เขาตอบขอบคุณด้วยเสียงสั่นๆ และยิ้ม... เราเดินจากกันและต่างไปขึ้นรถไฟใต้ดินขบวนของตัวเอง...
ขณะที่อยู่บนรถไฟใต้ดินฉันได้รับข้อความจากเขา
เขา : ขอบคุณนะ วันนี้สนุกมาก
เรา : ขอบคุณมากเช่นกัน ไปออสเตรเลียแล้วอย่าลืมกันนะ 555
เขา : จะลืมได้ยังไง...
เรา : ไปอยู่ที่นู้น เป็นยังไงบ้าง มีอะไรเล่าให้เราฟังบ้างนะ
เขา : แน่นอน...
.
.
.
เขา : เราชอบเธอนะ
.
.
.
เมื่อได้อ่านประโยคนี้เราอึ้งเล็กน้อย ตกใจด้วย งงด้วย เขินด้วย ดีใจด้วย ความรู้สึกหลายๆอย่างปนๆกัน
.
.
.
เขา : มันเป็นความรู้สึกระหว่างชอบและรัก วันหนึ่งมันอาจจะกลายเป็นความรักก็ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน... แต่คุณไม่ต้องชอบผมกลับก็ได้นะ ผมรู้ว่าผมต้องไปออสเตรเลียแล้ว
เรา : ทำไมถึงอย่าชอบคุณกลับล่ะ
เขา : คุณไม่เคยมีแฟน ผมไม่อยากให้ความรักครั้งแรกของคุณเป็นความทรงจำที่ไม่ดี รักระยะไกลมันเหนื่อยมาก
เรา : ถ้าไม่อยากให้ฉันชอบคุณ แล้วทำไมคุณสารภาพรักกับฉัน
เขา : ผมแค่อยากบอกกับคุณ เผื่อวันหนึ่งผมไม่มีโอกาสได้เจอคุณอีก เผื่อวันหนึ่งในวันที่ผมแก่แล้วหาคุณไม่เจอผมจะได้ไม่เสียใจภายหลังที่ครั้งหนึ่งในชีวิตผมได้เจอคนที่ชอบมากๆจริงๆแล้วไม่ได้บอกเขาไป
เรา : อย่าพูดแบบนั้นซิ เราต้องได้เจอกันอีกซิ ไม่ว่าจะเป็นที่เกาหลี ออสเตรเลีย หรือไทย หรือที่ไหนก็แล้วแต่...
เขา : ผมแค่กลัววันหนึ่งผมจะไม่ได้พบคุณอีก...
เรา : ไม่ต้องกลัวหรอก... ว่าแต่คุณชอบฉันตรงไหน ฉันธรรมดามากเลยนะ
เขา : สำหรับผมคุณพิเศษมาก คุณร่าเริงสดใส น่ารัก และตลกมาก 555 พวกเราคิดอะไรหลายๆอย่างคล้ายๆกัน ผมคิดว่าคนที่มีความคิดและรู้สึกอะไรคล้ายๆกันหายาก ผมคิดว่าตอนผมแก่เป็นคุณตาอายุ 90 ปี พูดไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น ถ้ามีคุณอยู่ข้างๆแค่มองตากัน ไม่ต้องพูดอะไรก็รู้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่คงมีความสุขดี
เรา : คุณชอบฉันจริงๆหรอ ฉันไม่เห็นรู้สึกเลยว่าคุณชอบฉัน คนชอบกันต้องจับมือกัน กอดกัน คุณไม่เคยแม้แต่จะแตะมือฉัน (ดูหนังมากไปหน่อย 5555)
เขา : 555 คุณจำมาจากหนังอีกแล้วใช่ไหม จริงๆผมก็อยากจับมือคุณตอนเราเดินข้ามถนน อยากกอดคุณตอนเราต้องโบกมือบายๆ แต่ผมกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิด ผมกลัวว่าคุณจะคิดว่าผมแค่เล่นกับความรู้สึกคุณหรืออยากได้แค่ร่างกายของคุณ ผมกลัวว่าคุณจะมองผมผิดไป ผมชอบคุณจริงๆ ผมอยากให้เรารู้จักตัวตนและหัวใจของกันและกันมากขึ้นก่อน
เรา : แล้วทำไมคุณไม่บอกฉันต่อหน้าตรงๆ ทำไมถึงพิมพ์มาบอกแบบนี้
เขา : ผมก็เขินนะ 555 และอีกอย่างถ้าผมบอกคุณต่อหน้าคุณอาจจะตกใจและอาจคิดว่าผมพูดเล่นๆเพื่อจะได้ร่างกายของคุณก็ได้... ผมเอาหัวใจของผมออกมาให้คุณดูไม่ได้ คุณจึงไม่มีทางรู้ว่าผมชอบคุณจริงไหม ผมจริงใจและจริงจังกับคุณมากแค่ไหน ผมจึงไม่อยากบอกต่อหน้าคุณ ผมกลัวว่าผมจะพูดอะไรผิดไป การพิมพ์แบบนี้ผมมีเวลานึกและเลือกคำที่ตรงกับความรู้สึกของผมได้มากที่สุด
เรา : ขอบคุณนะ 😭😭
เขา : ผมคิดว่าคุณน่ารักมาก ผมคิดว่าไม่จริงหรอกที่ไม่เคยมีใครแอบชอบคุณเลยทำให้คุณไม่เคยมีแฟน คุณแค่ไม่เคยสังเกตวิธีการแสดงออกของคนอื่นเพราะคุณไม่เคยมีแฟน คุณไม่เคยคิดถึงวิธีการแสดงความรักแบบแฟนกับคนอื่น คุณจึงไม่รู้สึกเวลามีคนพยายามเข้าหาคุณ คุณจึงเห็นเขาเป็นแค่เพื่อน
เรา : แต่ถ้าพวกเขาชอบฉันจริง พวกเขาก็ต้องบอกฉันซิ เหมือนที่คุณทำไง
เขา : คนส่วนใหญ่ไม่กล้าขนาดนี้หรอก ผมกล้าบอกคุณเพราะผมกำลังจะไปต่างประเทศ และเราอาจไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก... วันหนึ่งคุณจะเข้าใจถ้าคุณชอบใครสักคนแล้วอยากจะบอกรักเขา คุณจะรู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอก...
ตอนที่ 1 จบแล้วนะคะ เดี๋ยวจะมาอัพตอนที่ 2 เพิ่มค่ะ
ถ้าอยากอ่านเรื่องราวอื่นๆของเรา ตามไปอ่านกันได้ที่ yalliyalli.com/th/
เรื่องราวความรักของหนุ่มเกาหลีและสาวไทย - ตอนที่ 1
"แฟนคนเกาหลีที่รู้จักกันผ่านแอพแลกเปลี่ยนภาษา"
สวัสดีค่ะทุกคนอยากมาแบ่งปันประสบการณ์ความรักของเรากับแฟนคนเกาหลีให้ฟังกันค่ะ 😊 และอยากจะมาเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ยังโสดอยู่อย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะคะ ❤
หลายคนพูดว่าเทคโนโลยีทำให้โลกเล็กลง ทำให้คนเราใกล้กันมากขึ้น เดินทางหากันได้เร็วและสะดวกขึ้น รวมทั้งทำให้คนที่อยู่ต่างที่ต่างถิ่นมารู้จักกันได้ง่ายขึ้น...
เราเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ตั้งแต่เด็กจนโตมักทุ่มเวลาให้กับการเรียน, การทำกิจกรรม และการอยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิทเป็นส่วนใหญ่ เราไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวตั้งแต่สมัยมัธยม เรื่องการเรียน การใช้ชีวิตเราตัดสินใจเองทั้งหมด (แต่ก็คอยรายงานที่บ้านตลอด ซึ่งก็อาจจะมีเห็นด้วยบ้าง ไม่เห็นด้วยบ้าง) เราจึงมีนิสัยที่ค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง, ดูแลตัวเองได้ และอยู่กับตัวเองคนเดียวได้
วันหนึ่งเราใช้เวลาอ่านหนังสือเรียนวันละหลายชั่วโมง มีเวลาว่างก็ออกไปทำงานอาสาหรือเข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนบ้าง ทำงานพิเศษด้านการสอนภาษาบ้าง
ชีวิตเราเป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตชิลๆ เฮฮา แบบสาวโสดคนไม่เคยมีแฟน ลัลล้าปาร์ตี้กับเพื่อนตามภาษา รู้สึกแฮปปี้ รู้สึกว่าฉันเป็นสาวโสด สาวสตรอง ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่มีแฟนก็ไม่เห็นเป็นไร
แต่ในบางครั้งวันที่รู้สึกดาวน์ รู้สึกแย่ก็จะมีคิดบ้างว่าเพราะเราไม่สวยพอหรือเปล่าเพราะด้วยความที่เราเป็นคนไม่ค่อยแต่งตัว ไม่ค่อยแต่งหน้า หรือเป็นเพราะว่าเรามีข้อเสียตรงไหนหรือเปล่า นิสัยไม่ดีหรือเปล่า ทำไมไม่เคยมีแฟนเหมือนคนอื่นบ้าง...
เราคิดเสมอว่าการที่คนสองคนได้มาเจอกันแล้วรักกันนั้นมันช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ สองคนนั้นต้องโชคดีมากๆ ซึ่งเราเป็นคนที่ไม่ค่อยมีดวงเรื่องการเสี่ยงโชคเท่าไหร่นัก ขนาดเล่นเป่ายิงฉุบยังแพ้ตลอด 555
เราจึงปลงเรื่องรัก และตั้งใจจะมุ่งเรื่องงาน
หลังจากที่เรียนคณะแพทย์มา 5 ปีและตัดสินใจจะไม่เป็นหมอแต่อยากจะเป็นครูสอนภาษา ก็เริ่มลงมือหานักเรียนอย่างจริงจัง เปิดคอร์สออนไลน์ต่างๆ เรามีนักเรียนเก่าที่เรียนกับเราอยู่ก่อนตั้งแต่สมัยเราเป็นนักศึกษาแล้ว และที่ไต้หวันในมหาวิทยาลัยที่เราเรียน เราก็สอนภาษาไทยและอังกฤษที่ศูนย์ภาษาด้วย เพราะฉะนั้นที่เมืองไถจงคลาสภาษาไทยของเราจึงค่อนข้างมีชื่อเสียง มีนักเรียนเต็มห้องตลอด นักเรียนจากทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยมาเรียนกันจนล้นห้อง ต้องยืนเรียนสองชั่วโมงก็มี!
ปกติเราได้นักเรียนจากการโพสต์วีดีโอ YouTube สอนภาษาของตัวเองลงต่างกลุ่ม Facebook ต่างๆ บางส่วนมาจากนักเรียนบอกกันปากต่อปาก แนะนำเพื่อนตัวเองมาเรียนกับเราอีกที
มีอยู่วันหนึ่งมีนักเรียนชาวฮ่องกงที่เรียนภาษาไทยกับเรามาเที่ยวกับครอบครัว เราเลยอาสาพาพวกเขาไปเที่ยว ระหว่างทางก็ชวนนักเรียนคุยบ้าง เราถามเล่นๆว่าทำไมเก่งภาษาไทยจัง เขาบอกว่าเขาใช้ "แอพแลกเปลี่ยนภาษา"
ด้วยความที่ไม่เคยใช้แอพหาเพื่อน หาคู่ อะไรทั้งนั้นเลยถามต่อว่า แอพแลกเปลี่ยนภาษาเป็นอย่างไร มีเพื่อนเยอะไหม
นางก็เล่าให้ฟังว่าได้รู้จักเพื่อนคนไทยที่อยากเรียนภาษาจีนและอังกฤษหลายคน หลายๆคนเคยเจอกัน หลายๆคนเคยโทรคุยกันบ่อยจนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว ที่สำคัญมีคนประกาศหาครูบ้าง มีคนเป็นครูโฆษณาการสอนบ้าง แล้วบอกต่อว่า "ครูก็ลองดูด้วยซิ เผื่อได้นักเรียนเพิ่ม"
เราก็แบบ อู้ววว "เผื่อได้นักเรียนเพิ่ม" ดีจังๆ อยากลองบ้าง เลยลองดาวน์โหลดมาใช้บ้าง แรกๆเราก็ยังไม่ค่อยรู้จะใช้ยังไงแต่ด้วยความที่อยากได้นักเรียนเพิ่ม (อยากได้ตังเพิ่ม 555) ก็ลองดูจากโปรไฟล์ใครเขียนว่าสนใจเรียนภาษาไทย, อังกฤษ, จีนหรือเกาหลี (เราพูดได้ 4 ภาษา) ก็จะลองทักไป "สวัสดีค่ะ ฉันเป็นครูสอนภาษา ถ้าอยากเรียนภาษามีอะไรให้ช่วยบอกได้นะคะ ขอบคุณค่ะ" ก็มีคนตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆเราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่คิดว่าเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับตัวเองในการหานักเรียน และการใช้แอพพวกนี้ก็ฟรี เราสอนภาษาแบบ freelance และเราก็ไม่อยากจ่ายค่าโฆษณาตามเวปไซต์ต่างๆ
หลังจากที่เริ่มสอนเต็มตัวได้ 1 ปีหลายๆอย่างลงตัวมากขึ้น จึงเตรียมตัวกลับไทย กะจะไปสอนที่ไทย เพราะอยากมีศูนย์ภาษาเล็กๆเป็นของตัวเอง เราก็พยายามหานักเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะคนต่างชาติที่อยากเรียนภาษาไทย ต้องย้ายไปอยู่หรือต้องไปทำงานที่ไทย เราใช้แอพแลกเปลี่ยนภาษามาเรื่อยๆ ได้เพื่อนใหม่หลายคนโดยเฉพาะคนเกาหลี เราเคยไปแลกเปลี่ยนที่เกาหลีตอนปี 3 เลยมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่น พอปิดเทอมทีก็เลยไปเที่ยวเกาหลีที เพื่อนจากในแอพก็เลยกลายมาเป็นในชีวิตจริงหลายคน
จนกระทั่งวันหนึ่งเราได้มาเจอหนุ่มเกาหลีคนหนึ่งอยากฝึกภาษาอังกฤษ เพราะกำลังเตรียมตัวไปทำงานที่ออสเตรเลีย เราคุยกันได้ถูกคอมาก คุยกับเขาแล้วสนุก เราคุยกันได้ทั้งวัน เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งที่รู้สึกคุยด้วยแล้วสบายใจ จนวันหนึ่งเราจะไปเกาหลีก็เลยบอกเขาว่าหน้าร้อนนี้เราจะไปเกาหลีนะ จะไปพักอยู่ที่อินชอน พักใกล้ๆบ้านเพื่อน เขาบอกว่าช่วงที่เราจะไปเกาหลีเป็นช่วงหนึ่งอาทิตย์สุดท้ายที่เขาจะอยู่เกาหลีก่อนไปออสเตรเลีย... เราเลยบอกเขาว่า "ไม่เป็นไร ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเถอะ ถ้ามีโอกาสสักวันหนึ่งเราคงได้พบกัน..." แต่เขาบอกไม่เป็นไร เขาจะหาเวลามากินข้าวกับเราสักมื้อ...
ช่วงอาทิตย์สุดท้ายในเกาหลีของเขา เขานัดเราไปกินข้าวที่โซล 3 ครั้ง บ้านของเขาอยู่ที่เมืองวอนจู เขาต้องนั่งรถทัวร์มาต่อรถไฟใต้ดินมาหาเรา เขาใช้เวลาไปกลับครั้งละ 5 ชั่วโมงเพื่อมากินข้าวกับเรา
เรากินข้าวกัน คุยเล่น และเดินเล่นกัน ช่วงเวลาที่เราได้เจอกันหนึ่งวันผ่านไปเร็วเหมือนโกหก เหมือนกับที่มีคนเคยบอกว่าเวลาที่คุณมีความสุข คุณจะรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วมาก...
ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะอยู่ที่เกาหลี เรายืนคุยกันที่สถานีรถไฟใต้ดินอยู่สักพักก่อนจะลาจากกัน ฉันอวยพรขอให้เขามีความสุขและโชคดีในออสเตรเลีย เขาตอบขอบคุณด้วยเสียงสั่นๆ และยิ้ม... เราเดินจากกันและต่างไปขึ้นรถไฟใต้ดินขบวนของตัวเอง...
ขณะที่อยู่บนรถไฟใต้ดินฉันได้รับข้อความจากเขา
เขา : ขอบคุณนะ วันนี้สนุกมาก
เรา : ขอบคุณมากเช่นกัน ไปออสเตรเลียแล้วอย่าลืมกันนะ 555
เขา : จะลืมได้ยังไง...
เรา : ไปอยู่ที่นู้น เป็นยังไงบ้าง มีอะไรเล่าให้เราฟังบ้างนะ
เขา : แน่นอน...
.
.
.
เขา : เราชอบเธอนะ
.
.
.
เมื่อได้อ่านประโยคนี้เราอึ้งเล็กน้อย ตกใจด้วย งงด้วย เขินด้วย ดีใจด้วย ความรู้สึกหลายๆอย่างปนๆกัน
.
.
.
เขา : มันเป็นความรู้สึกระหว่างชอบและรัก วันหนึ่งมันอาจจะกลายเป็นความรักก็ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน... แต่คุณไม่ต้องชอบผมกลับก็ได้นะ ผมรู้ว่าผมต้องไปออสเตรเลียแล้ว
เรา : ทำไมถึงอย่าชอบคุณกลับล่ะ
เขา : คุณไม่เคยมีแฟน ผมไม่อยากให้ความรักครั้งแรกของคุณเป็นความทรงจำที่ไม่ดี รักระยะไกลมันเหนื่อยมาก
เรา : ถ้าไม่อยากให้ฉันชอบคุณ แล้วทำไมคุณสารภาพรักกับฉัน
เขา : ผมแค่อยากบอกกับคุณ เผื่อวันหนึ่งผมไม่มีโอกาสได้เจอคุณอีก เผื่อวันหนึ่งในวันที่ผมแก่แล้วหาคุณไม่เจอผมจะได้ไม่เสียใจภายหลังที่ครั้งหนึ่งในชีวิตผมได้เจอคนที่ชอบมากๆจริงๆแล้วไม่ได้บอกเขาไป
เรา : อย่าพูดแบบนั้นซิ เราต้องได้เจอกันอีกซิ ไม่ว่าจะเป็นที่เกาหลี ออสเตรเลีย หรือไทย หรือที่ไหนก็แล้วแต่...
เขา : ผมแค่กลัววันหนึ่งผมจะไม่ได้พบคุณอีก...
เรา : ไม่ต้องกลัวหรอก... ว่าแต่คุณชอบฉันตรงไหน ฉันธรรมดามากเลยนะ
เขา : สำหรับผมคุณพิเศษมาก คุณร่าเริงสดใส น่ารัก และตลกมาก 555 พวกเราคิดอะไรหลายๆอย่างคล้ายๆกัน ผมคิดว่าคนที่มีความคิดและรู้สึกอะไรคล้ายๆกันหายาก ผมคิดว่าตอนผมแก่เป็นคุณตาอายุ 90 ปี พูดไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น ถ้ามีคุณอยู่ข้างๆแค่มองตากัน ไม่ต้องพูดอะไรก็รู้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่คงมีความสุขดี
เรา : คุณชอบฉันจริงๆหรอ ฉันไม่เห็นรู้สึกเลยว่าคุณชอบฉัน คนชอบกันต้องจับมือกัน กอดกัน คุณไม่เคยแม้แต่จะแตะมือฉัน (ดูหนังมากไปหน่อย 5555)
เขา : 555 คุณจำมาจากหนังอีกแล้วใช่ไหม จริงๆผมก็อยากจับมือคุณตอนเราเดินข้ามถนน อยากกอดคุณตอนเราต้องโบกมือบายๆ แต่ผมกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิด ผมกลัวว่าคุณจะคิดว่าผมแค่เล่นกับความรู้สึกคุณหรืออยากได้แค่ร่างกายของคุณ ผมกลัวว่าคุณจะมองผมผิดไป ผมชอบคุณจริงๆ ผมอยากให้เรารู้จักตัวตนและหัวใจของกันและกันมากขึ้นก่อน
เรา : แล้วทำไมคุณไม่บอกฉันต่อหน้าตรงๆ ทำไมถึงพิมพ์มาบอกแบบนี้
เขา : ผมก็เขินนะ 555 และอีกอย่างถ้าผมบอกคุณต่อหน้าคุณอาจจะตกใจและอาจคิดว่าผมพูดเล่นๆเพื่อจะได้ร่างกายของคุณก็ได้... ผมเอาหัวใจของผมออกมาให้คุณดูไม่ได้ คุณจึงไม่มีทางรู้ว่าผมชอบคุณจริงไหม ผมจริงใจและจริงจังกับคุณมากแค่ไหน ผมจึงไม่อยากบอกต่อหน้าคุณ ผมกลัวว่าผมจะพูดอะไรผิดไป การพิมพ์แบบนี้ผมมีเวลานึกและเลือกคำที่ตรงกับความรู้สึกของผมได้มากที่สุด
เรา : ขอบคุณนะ 😭😭
เขา : ผมคิดว่าคุณน่ารักมาก ผมคิดว่าไม่จริงหรอกที่ไม่เคยมีใครแอบชอบคุณเลยทำให้คุณไม่เคยมีแฟน คุณแค่ไม่เคยสังเกตวิธีการแสดงออกของคนอื่นเพราะคุณไม่เคยมีแฟน คุณไม่เคยคิดถึงวิธีการแสดงความรักแบบแฟนกับคนอื่น คุณจึงไม่รู้สึกเวลามีคนพยายามเข้าหาคุณ คุณจึงเห็นเขาเป็นแค่เพื่อน
เรา : แต่ถ้าพวกเขาชอบฉันจริง พวกเขาก็ต้องบอกฉันซิ เหมือนที่คุณทำไง
เขา : คนส่วนใหญ่ไม่กล้าขนาดนี้หรอก ผมกล้าบอกคุณเพราะผมกำลังจะไปต่างประเทศ และเราอาจไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก... วันหนึ่งคุณจะเข้าใจถ้าคุณชอบใครสักคนแล้วอยากจะบอกรักเขา คุณจะรู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอก...
ตอนที่ 1 จบแล้วนะคะ เดี๋ยวจะมาอัพตอนที่ 2 เพิ่มค่ะ
ถ้าอยากอ่านเรื่องราวอื่นๆของเรา ตามไปอ่านกันได้ที่ yalliyalli.com/th/