เมื่อเป็นนักศึกษาและเรียกตัวเองว่าปัญญาชน : ดาวดำผู้เป็นคนธรรมดา

กระทู้คำถาม
ในอดีตการเรียกร้องทางการเมือง โดยมีแกนนำเป็นนิสิตนักศึกษานั้น ถูกเรียกว่าเป็นการชุมนุมของปัญญาชน และสร้างแรงสั่นสะเทือนได้มากมาย แต่ทำไมทุกวันนี้การเรียกร้องของกลุ่มปัญญาชน จึงถูกมองเป็นเสียงของเด็กๆ และไม่ได้ถูกให้น้ำหนักความสำคัญเท่าใดนัก

วันนี้ผมขอสรุปเป็นข้อๆ ตามมุมมองส่วนตัว พอสังเขป 3 ข้อ ดังนี้นะครับผม

1. นักศึกษาสมัยก่อน ส่วนใหญ่ต้องใช้ความพยายามดิ้นรนในการเรียนค่อนข้างสูงกว่าสมัยนี้ เช่น อยู่ต่างจังหวัดต้องเดินทางจากภูมิลำเนา ไปอยู่กรุงเทพหรือจังหวัดใหญ่ๆ เพื่อสู้เอาใบปริญญา การเดินทางไม่สะดวกสบาย รวมถึงค่าใช้จ่ายจากทางบ้านก็ไม่ได้ส่งให้ลูกหลานได้ง่ายๆ เหมือนสมัยนี้ นักศึกษาสมัยนั้นจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดในสังคม พร้อมๆ ไปกับการศึกษาเล่าเรียน

2. เมื่อก่อนประชาชนธรรมดาทั่วไปได้ร่ำได้เรียนสูงๆ ยังมีน้อย นักศึกษาสมัยนั้นจึงถูกมองว่ามีความรู้มากกว่าคนทั่วไป ต่างกับสมัยนี้ที่มองไปทางไหน ใครๆ ก็จบปริญญากันแทบทั้งนั้น เสียงของคนยังเรียนไม่จบ จึงแทบไม่มีน้ำหนักกับความคิดอ่านของคนทั่วไป ที่มีทั้งประสบการณ์ชีวิตและใบปริญญา

3. นักศึกษาที่ออกมาเรียกร้องมีน้อยเกินไป ถ้าเทียบกับต้นสังกัดตัวเอง หรือเทียบกับจำนวนนักศึกษาทั่วประเทศ ถูกมองเป็นชนกลุ่มน้อยมากกว่าจะเป็นตัวแทนของประชาชน

เอาแค่นี้แหละ

อมยิ้ม36
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ใช้สถานะนักศึกษาที่ก็ไม่ได้ดูขลังทรงพลังอะไรเลย
สำคัญตนผิดไปแค่นั้น
อยู่ดีๆ มาเป็นเหยื่อให้นักการเมือง
ดูจากการชุมนุมก็ชัดเจนนะว่าไม่ได้ใช้มันสมองของปัญญาชนซักนิด
เรียกร้องแต่ละอย่างก็เพ้อเจ้อ  เหตุผลไม่ต้องใช้กันเลย
แล้วจะศึกษาร่ำเรียนกันไปทำไมล่ะนั่น

เพี้ยนมองบน
ความคิดเห็นที่ 2
เห็นด้วยกับข้อ  2  ค่ะ

"2. เมื่อก่อนประชาชนธรรมดาทั่วไปได้ร่ำได้เรียนสูงๆ ยังมีน้อย นักศึกษาสมัยนั้นจึงถูกมองว่ามีความรู้มากกว่าคนทั่วไป ต่างกับสมัยนี้ที่มองไปทางไหน ใครๆ ก็จบปริญญากันแทบทั้งนั้น เสียงของคนยังเรียนไม่จบ จึงแทบไม่มีน้ำหนักกับความคิดอ่านของคนทั่วไป ที่มีทั้งประสบการณ์ชีวิตและใบปริญญา"

เห็นการชุมนุมของนักศึกษาสมัยนี้​ ก็อดเอาไปเทียบกับสมัยตัวเองไม่ได้
สมัยนั้น​ แกนนำแทบไม่มีผลอะไรต่อความคิดนักศึกษาเลย
ถ้าแกนนำงี่เง่า​ ก็โดนนักศึกษาโห่ได้เหมือนกัน

ไม่เหมือนสมัยนี้​ เค้าเอาป้ายอะไรให้ถือ​ ก็ถือไปตามเค้า​ ว่าง่ายมาก...
ความคิดเห็นที่ 23
จะว่าอย่างไรดีล่ะ

การแสดงออกของพวกนักศึกษาเหมือนกำลังแค่ไม่ชอบเขา ก็ออกมาไล่เขา เลยหาแนวร่วมเกินไปกว่านี้ไม่ได้

จะชอบหรือไม่ชอบ แต่พวกบนๆ เขาก็ยังมีผลงานให้ประจักษ์ ขนาดบ่นด่าให้ร้ายกันขนาดนี้ พวกเขาก็ยังคงทำงานตามหน้าที่ของเขา จะดีบ้างแย่บ้างเขาก็ยังทำให้ดูจนเห็นเป็นรูปธรรม มวลชนข้างเขาจึงมีมาก

นักศึกษาในสมัยก่อนนั้น พวกเด็กที่วันๆ เสพแต่ข่าวด้านร้ายสู้ไม่ได้เลย พวกเขาเหล่านั้นลงไปถึงชาวบ้าน ออกค่าย ยอมลงไปลำบากกับมวลชนที่ได้รัยผลกระทบจากรัฐ ยอมนอนกับดินกินกับทราย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมวลชน สละตนและฐานะทางสังคมที่ได้จากรัฐเพื่อเป้าหมายอุดมการ

นักศึกษาทุกวันนี้ทำอะไรบ้าง ?

ตื่นเช้ามาก็ต้องอาศัยรากฐานที่พวกคนที่ตัวเองเกลียดสร้างเอาไว้เพื่อการดำเนินชีวิต

ตั้งแต่ถนนหนทาง มหาวิทยาลัย รถประจำทาง สาธารณูประโภค เครือข่ายสังคมออนไลน์ ตลอดจนความสงบสุขของรัฐที่พวกข้างบนเขาได้วางระบบเอาไว้

จากนั้นก็เข้าเน็ต เสพข่าวแล้วพิมพ์ด่า

มีโอกาสได้อยู่ได้กินจนอ้วนท้วนสมบูรณ์ก็ยังไปด่าหลวง ว่าที่แล้วมาหลวงทำไม่ดี

มีโอกาสได้เลยหนังสือ ไม่ต้องไปจับจอบจับเสียมทำนา จนมือไม้อ่อนนิ่มสายตาสั้นก็เลยหันมาว่ารัฐนี้ช่างเลวร้ายมากจนต้องมีเปลี่ยนแปลง

มันคืออะไร?

เหงื่อไม่ออกสักหยดไปด่าเขาว่าไม่ทำงาน มันใช้ได้หรือ

เห็นคนแก่บางคนห้าม ก็ด่าว่าสลิ่ม

เขาวางเฉยเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่นักศึกษาทำมันเกินไปก็ไปด่าว่าเขาไม่ช่วย เป็นสลิ่ม

การไปลากเขามาด่าเหมือนเขาเป็นแม่มด มันต่างกับสิ่งที่พวกอนุรักษ์เกินนิยมทำกันตรงไหน

ผลงานไม่มีสักอย่างแต่อยากจะคว่ำฟ้าพลิกแผ่นดิน ใครมองมาเขาก็อยากให้กลับบ้านไปกินนม

ถ้ามองมวลชนด้วยสายตาที่เหนือกว่า หรือคิดไปเองว่าตัวเองคือผู้ที่ช่วยปลดปล่อยมวลชนออกจากความโง่เขลา อย่าไปลงถนนเลย

ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ของเก่าดีกว่าของใหม่ตรงไหน ก็ขอเชิญกลับมานั่งประจำที่ ให้พวกคนที่นักศึกษาเกลียดได้ทำงานกันต่อไปเถอะ

เพราะถึงมันจะดูแย่ไปบ้าง น่าหงุดหงิดไปบ้าง ช้าจนไม่ถูกใจไปบ้าง แต่เขาก็ทำให้เห็น ไม่ใช่สักแต่ใช้แป้นพิมพ์พิมพ์ด่าคน เรียกคนไปโหวกเหวกใส่กัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่