สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
เห็นด้วยกับข้อ 2 ค่ะ
"2. เมื่อก่อนประชาชนธรรมดาทั่วไปได้ร่ำได้เรียนสูงๆ ยังมีน้อย นักศึกษาสมัยนั้นจึงถูกมองว่ามีความรู้มากกว่าคนทั่วไป ต่างกับสมัยนี้ที่มองไปทางไหน ใครๆ ก็จบปริญญากันแทบทั้งนั้น เสียงของคนยังเรียนไม่จบ จึงแทบไม่มีน้ำหนักกับความคิดอ่านของคนทั่วไป ที่มีทั้งประสบการณ์ชีวิตและใบปริญญา"
เห็นการชุมนุมของนักศึกษาสมัยนี้ ก็อดเอาไปเทียบกับสมัยตัวเองไม่ได้
สมัยนั้น แกนนำแทบไม่มีผลอะไรต่อความคิดนักศึกษาเลย
ถ้าแกนนำงี่เง่า ก็โดนนักศึกษาโห่ได้เหมือนกัน
ไม่เหมือนสมัยนี้ เค้าเอาป้ายอะไรให้ถือ ก็ถือไปตามเค้า ว่าง่ายมาก...
"2. เมื่อก่อนประชาชนธรรมดาทั่วไปได้ร่ำได้เรียนสูงๆ ยังมีน้อย นักศึกษาสมัยนั้นจึงถูกมองว่ามีความรู้มากกว่าคนทั่วไป ต่างกับสมัยนี้ที่มองไปทางไหน ใครๆ ก็จบปริญญากันแทบทั้งนั้น เสียงของคนยังเรียนไม่จบ จึงแทบไม่มีน้ำหนักกับความคิดอ่านของคนทั่วไป ที่มีทั้งประสบการณ์ชีวิตและใบปริญญา"
เห็นการชุมนุมของนักศึกษาสมัยนี้ ก็อดเอาไปเทียบกับสมัยตัวเองไม่ได้
สมัยนั้น แกนนำแทบไม่มีผลอะไรต่อความคิดนักศึกษาเลย
ถ้าแกนนำงี่เง่า ก็โดนนักศึกษาโห่ได้เหมือนกัน
ไม่เหมือนสมัยนี้ เค้าเอาป้ายอะไรให้ถือ ก็ถือไปตามเค้า ว่าง่ายมาก...
ความคิดเห็นที่ 23
จะว่าอย่างไรดีล่ะ
การแสดงออกของพวกนักศึกษาเหมือนกำลังแค่ไม่ชอบเขา ก็ออกมาไล่เขา เลยหาแนวร่วมเกินไปกว่านี้ไม่ได้
จะชอบหรือไม่ชอบ แต่พวกบนๆ เขาก็ยังมีผลงานให้ประจักษ์ ขนาดบ่นด่าให้ร้ายกันขนาดนี้ พวกเขาก็ยังคงทำงานตามหน้าที่ของเขา จะดีบ้างแย่บ้างเขาก็ยังทำให้ดูจนเห็นเป็นรูปธรรม มวลชนข้างเขาจึงมีมาก
นักศึกษาในสมัยก่อนนั้น พวกเด็กที่วันๆ เสพแต่ข่าวด้านร้ายสู้ไม่ได้เลย พวกเขาเหล่านั้นลงไปถึงชาวบ้าน ออกค่าย ยอมลงไปลำบากกับมวลชนที่ได้รัยผลกระทบจากรัฐ ยอมนอนกับดินกินกับทราย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมวลชน สละตนและฐานะทางสังคมที่ได้จากรัฐเพื่อเป้าหมายอุดมการ
นักศึกษาทุกวันนี้ทำอะไรบ้าง ?
ตื่นเช้ามาก็ต้องอาศัยรากฐานที่พวกคนที่ตัวเองเกลียดสร้างเอาไว้เพื่อการดำเนินชีวิต
ตั้งแต่ถนนหนทาง มหาวิทยาลัย รถประจำทาง สาธารณูประโภค เครือข่ายสังคมออนไลน์ ตลอดจนความสงบสุขของรัฐที่พวกข้างบนเขาได้วางระบบเอาไว้
จากนั้นก็เข้าเน็ต เสพข่าวแล้วพิมพ์ด่า
มีโอกาสได้อยู่ได้กินจนอ้วนท้วนสมบูรณ์ก็ยังไปด่าหลวง ว่าที่แล้วมาหลวงทำไม่ดี
มีโอกาสได้เลยหนังสือ ไม่ต้องไปจับจอบจับเสียมทำนา จนมือไม้อ่อนนิ่มสายตาสั้นก็เลยหันมาว่ารัฐนี้ช่างเลวร้ายมากจนต้องมีเปลี่ยนแปลง
มันคืออะไร?
เหงื่อไม่ออกสักหยดไปด่าเขาว่าไม่ทำงาน มันใช้ได้หรือ
เห็นคนแก่บางคนห้าม ก็ด่าว่าสลิ่ม
เขาวางเฉยเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่นักศึกษาทำมันเกินไปก็ไปด่าว่าเขาไม่ช่วย เป็นสลิ่ม
การไปลากเขามาด่าเหมือนเขาเป็นแม่มด มันต่างกับสิ่งที่พวกอนุรักษ์เกินนิยมทำกันตรงไหน
ผลงานไม่มีสักอย่างแต่อยากจะคว่ำฟ้าพลิกแผ่นดิน ใครมองมาเขาก็อยากให้กลับบ้านไปกินนม
ถ้ามองมวลชนด้วยสายตาที่เหนือกว่า หรือคิดไปเองว่าตัวเองคือผู้ที่ช่วยปลดปล่อยมวลชนออกจากความโง่เขลา อย่าไปลงถนนเลย
ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ของเก่าดีกว่าของใหม่ตรงไหน ก็ขอเชิญกลับมานั่งประจำที่ ให้พวกคนที่นักศึกษาเกลียดได้ทำงานกันต่อไปเถอะ
เพราะถึงมันจะดูแย่ไปบ้าง น่าหงุดหงิดไปบ้าง ช้าจนไม่ถูกใจไปบ้าง แต่เขาก็ทำให้เห็น ไม่ใช่สักแต่ใช้แป้นพิมพ์พิมพ์ด่าคน เรียกคนไปโหวกเหวกใส่กัน
การแสดงออกของพวกนักศึกษาเหมือนกำลังแค่ไม่ชอบเขา ก็ออกมาไล่เขา เลยหาแนวร่วมเกินไปกว่านี้ไม่ได้
จะชอบหรือไม่ชอบ แต่พวกบนๆ เขาก็ยังมีผลงานให้ประจักษ์ ขนาดบ่นด่าให้ร้ายกันขนาดนี้ พวกเขาก็ยังคงทำงานตามหน้าที่ของเขา จะดีบ้างแย่บ้างเขาก็ยังทำให้ดูจนเห็นเป็นรูปธรรม มวลชนข้างเขาจึงมีมาก
นักศึกษาในสมัยก่อนนั้น พวกเด็กที่วันๆ เสพแต่ข่าวด้านร้ายสู้ไม่ได้เลย พวกเขาเหล่านั้นลงไปถึงชาวบ้าน ออกค่าย ยอมลงไปลำบากกับมวลชนที่ได้รัยผลกระทบจากรัฐ ยอมนอนกับดินกินกับทราย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมวลชน สละตนและฐานะทางสังคมที่ได้จากรัฐเพื่อเป้าหมายอุดมการ
นักศึกษาทุกวันนี้ทำอะไรบ้าง ?
ตื่นเช้ามาก็ต้องอาศัยรากฐานที่พวกคนที่ตัวเองเกลียดสร้างเอาไว้เพื่อการดำเนินชีวิต
ตั้งแต่ถนนหนทาง มหาวิทยาลัย รถประจำทาง สาธารณูประโภค เครือข่ายสังคมออนไลน์ ตลอดจนความสงบสุขของรัฐที่พวกข้างบนเขาได้วางระบบเอาไว้
จากนั้นก็เข้าเน็ต เสพข่าวแล้วพิมพ์ด่า
มีโอกาสได้อยู่ได้กินจนอ้วนท้วนสมบูรณ์ก็ยังไปด่าหลวง ว่าที่แล้วมาหลวงทำไม่ดี
มีโอกาสได้เลยหนังสือ ไม่ต้องไปจับจอบจับเสียมทำนา จนมือไม้อ่อนนิ่มสายตาสั้นก็เลยหันมาว่ารัฐนี้ช่างเลวร้ายมากจนต้องมีเปลี่ยนแปลง
มันคืออะไร?
เหงื่อไม่ออกสักหยดไปด่าเขาว่าไม่ทำงาน มันใช้ได้หรือ
เห็นคนแก่บางคนห้าม ก็ด่าว่าสลิ่ม
เขาวางเฉยเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่นักศึกษาทำมันเกินไปก็ไปด่าว่าเขาไม่ช่วย เป็นสลิ่ม
การไปลากเขามาด่าเหมือนเขาเป็นแม่มด มันต่างกับสิ่งที่พวกอนุรักษ์เกินนิยมทำกันตรงไหน
ผลงานไม่มีสักอย่างแต่อยากจะคว่ำฟ้าพลิกแผ่นดิน ใครมองมาเขาก็อยากให้กลับบ้านไปกินนม
ถ้ามองมวลชนด้วยสายตาที่เหนือกว่า หรือคิดไปเองว่าตัวเองคือผู้ที่ช่วยปลดปล่อยมวลชนออกจากความโง่เขลา อย่าไปลงถนนเลย
ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ของเก่าดีกว่าของใหม่ตรงไหน ก็ขอเชิญกลับมานั่งประจำที่ ให้พวกคนที่นักศึกษาเกลียดได้ทำงานกันต่อไปเถอะ
เพราะถึงมันจะดูแย่ไปบ้าง น่าหงุดหงิดไปบ้าง ช้าจนไม่ถูกใจไปบ้าง แต่เขาก็ทำให้เห็น ไม่ใช่สักแต่ใช้แป้นพิมพ์พิมพ์ด่าคน เรียกคนไปโหวกเหวกใส่กัน
แสดงความคิดเห็น
เมื่อเป็นนักศึกษาและเรียกตัวเองว่าปัญญาชน : ดาวดำผู้เป็นคนธรรมดา
วันนี้ผมขอสรุปเป็นข้อๆ ตามมุมมองส่วนตัว พอสังเขป 3 ข้อ ดังนี้นะครับผม
1. นักศึกษาสมัยก่อน ส่วนใหญ่ต้องใช้ความพยายามดิ้นรนในการเรียนค่อนข้างสูงกว่าสมัยนี้ เช่น อยู่ต่างจังหวัดต้องเดินทางจากภูมิลำเนา ไปอยู่กรุงเทพหรือจังหวัดใหญ่ๆ เพื่อสู้เอาใบปริญญา การเดินทางไม่สะดวกสบาย รวมถึงค่าใช้จ่ายจากทางบ้านก็ไม่ได้ส่งให้ลูกหลานได้ง่ายๆ เหมือนสมัยนี้ นักศึกษาสมัยนั้นจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดในสังคม พร้อมๆ ไปกับการศึกษาเล่าเรียน
2. เมื่อก่อนประชาชนธรรมดาทั่วไปได้ร่ำได้เรียนสูงๆ ยังมีน้อย นักศึกษาสมัยนั้นจึงถูกมองว่ามีความรู้มากกว่าคนทั่วไป ต่างกับสมัยนี้ที่มองไปทางไหน ใครๆ ก็จบปริญญากันแทบทั้งนั้น เสียงของคนยังเรียนไม่จบ จึงแทบไม่มีน้ำหนักกับความคิดอ่านของคนทั่วไป ที่มีทั้งประสบการณ์ชีวิตและใบปริญญา
3. นักศึกษาที่ออกมาเรียกร้องมีน้อยเกินไป ถ้าเทียบกับต้นสังกัดตัวเอง หรือเทียบกับจำนวนนักศึกษาทั่วประเทศ ถูกมองเป็นชนกลุ่มน้อยมากกว่าจะเป็นตัวแทนของประชาชน
เอาแค่นี้แหละ