#ดอยขุนตาลและเชียงใหม่ กับการแบ็กแพ็คครั้งแรกของโผ้ม 19 - 22 July 2020

กระทู้สนทนา
อ่า เราจะมาเริ่มกันจากตรงไหนดี งั้นเริ่มตั้งแต่แรกแบบสุดๆเลยก็แล้วกันเนอะ ก็คือการเที่ยวครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเพื่อนเราคนนึงไลน์เข้ากลุ่มมาว่า “มีใครสนใจเข้าป่าก่อนเปิดเทอมไหมครับ” ตอนนั้นในใจเราคือแบบ เชี่ยยยยย งานนี้ต้องไปให้ได้ แบ็กแพ็คแรกเลยนะเว้ย แต่อีกใจนึงก็แบบ เห้ย พ่อจะให้ไปมั้ยวะ5555555 ก็เลยใจตุ๊มๆต่อมๆลองไปขอพ่อดูเว้ย แล้วสุดท้ายพ่อก็ให้ไปแบบง่ายผิดคาด (ตอนนั้นคือแทบจะกระโดดดีใจเหยงๆ) แล้วทริปที่เสนอๆกันมาในกลุ่มก็จะมีกาญจน์กับดอยขุนตาล เราก็เลยโหวตๆกันแล้วสรุปได้ว่าจะไปดอยขุนตาลแล้วก็จะเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่กันต่อ พอสรุปกันได้เราก็เลือกวันเดินทางและวิธีเดินทางกันต่อ
 
----------> วื้ดดดดด วาร์ปมาที่วันเดินทางเลยละกัน ---------->
 
          อ้อ ลืมไปอย่าง ขอเขียนไว้ซักนิดนึงไว้เป็นความทรงจำละกันเนอะ ก็คือช่วงประมาณอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ก่อนที่เราจะเดินทางกันอะ อยู่ๆโควิด 19 ก็กลับมาระบาดอีกเว้ย ตอนนั้นคือลุ้นมากว่าแบบเชี่ยเอ้ย จะได้ไปมั้ยวะแบบนี้ แต่สุดท้ายโชคก็เข้าข้างเรานะครับ ก็ได้ไปกันจนได้55555 มา! เรากลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่า คือเราน่ะจองตั๋วรถไฟ (ตู้นอน) ทางออนไลน์กันไว้ก่อนแล้ว โดยรถไฟจะออกจากสถานีหัวลำโพงเวลา 19.35 น. เพื่อนเราก็เลยตกลงกันว่าจะนัดไปเจอกันที่หอเพื่อนคนนึงที่อยู่แถวพระราม 9 จะได้ไปซื้อของเผื่อไว้ไปทำกิน แล้วก็จะได้ไปสถานีพร้อมกัน พอเช้าวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ใจเรานี่แบบกระหายการท่องเที่ยวมาก ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกอีกจ้า ปล.ที่ตื่นก่อนเพราะว่ายังจัดกระเป๋าไม่เสร็จไง55555 พอตื่นมาเราก็รีบกินข้าวเช้า อาบน้ำ แล้วก็รีบมาจัดปาเก๋า เอ้ย! กระเป๋า! ต่อให้เสร็จ เพราะว่าเรานัดให้เพื่อนมารับที่ Mrt พระราม 9 เพื่อไปที่หอตอนเที่ยง พอเราจัดกระเป๋าเสร็จแล้วลองยกดูเท่านั้นแหละ อื้มหืม กูจะไม่ไปยิ้มละ กระเป๋าเชี่ยไรวะหนักยิ้ม (Ultralight ไม่ใช่แนวอะบอกเลย) พอลองเอาไปชั่งน้ำหนักดูก็เลยสรุปได้ว่ากระเป๋ามีน้ำหนักอยู่ที่ 9.5 กิโลกรัมนะฮะ แล้วเราก็วืดดดดดดดด ไปถึงหอเพื่อนเลยละกัน พอถึงหอเพื่อนเราก็วางข้าวของแล้วออกไปโลตัสเพื่อจะซื้อของไว้ไปกินกัน (บอกไว้ก่อนนะว่าเราไปพักที่บ้านพักของทางอุทยานซึ่งเขาไม่ให้ทำอาหาร แต่ถ้าไปกลางเต้นท์บนเขาสามารถที่จะพกอุปกรณ์ไปทำอาหารกินเองได้) พอถึงโลตัสปุ๊บ สิ่งแรกที่เราควานหากันให้ควักเลยก็คืออออออออ ปลากระป๋อง! (ก็เขาไม่ให้ทำอาหารนี่หน่า ก็คงจะมีแต่เจ้าสิ่งนี้แหละที่พอจะช่วยประทังชีวิตเราไปได้) สรุปก็คือไปโลตัสครั้งนี้เราก็จะได้ปลากระป๋องกันไป 2 กระป๋อง ปลาทูน่า 2 กระป๋อง แคร็กเกอร์ 1 กล่อง ขนมปังแผ่น 1 แถว แล้วก็เครื่องต้มยำ 1 ชุด (ไหนบอกว่าเขาไม่ให้ทำอาหารไง แล้วจะเอาเครื่องต้มยำไปให้คุณพ่อท่านทำต้มยำกินหรอ?) อย่างสุดท้ายนี่ขออุ๊บไว้ก่อนนะว่าจะเอาไปทำอะไร แต่มันก็ไม่ได้เซอร์ไพรส์มากนักหรอก แต่ก็เป็นตัวสร้างสร้างเรื่องราวได้ดีอยู่ พอซื้อของกันเสร็จเราก็กลับไปหยิบข้าวของกันจากหอเพื่อนแล้วก็ออกเดินทาง ซึ่งเราไปถึงสถานีรถไฟหัวลำโพงเวลาประมาณ 17.30 น. พอไปถึงเราก็ไปนั่งรอ หาข้าวเย็นกิน หาน้ำ หาขนม  ไว้ไปกินกันบนรถไฟ 

          พอเวลาประมาณ 18.30 น. ก็ได้เวลาที่เราจะไปเดินทัวร์รถไฟกัน แต่บอกเลยว่ากว่าจะเดินไปถึงตัวรถไฟคือนานมาก ทั้งแวะห้องน้ำ ทั้งถ่ายรูป โอ้ย คือนานแท้ กระเป๋ากูก็หนัก ยังจะพาแวะนู่นแวะนี่กันเก่งอีก555555 (แต่มันก็ทำให้ได้ภาพสวยๆออกมาอยู่น้า ก็ถือว่าคุ้มค่าแหละ)

เวลา 19.35 น. ก็ได้เวลาที่รถไฟจะออกอย่างตรงเวลา กิจกรรมสำหรับคนอื่นๆบนรถไฟคงมีแค่นอนออมแรงไว้ แต่ของพวกเรานี่คือ ทั้งถ่ายรูป ดูหนัง ฟังเพลง เล่นไพ่ สารพัดสารพันกิจกรรมกันจริงๆ กว่าจะได้นอนก็ 4 ทุ่มกว่าเกือบ 5 ทุ่ม ได้แล้วกระมัง

          วืดดดดดดดดด ข้ามไปตอนเช้าเลยละกัน เราตื่นประมาณตี 5 ซึ่งจริงๆแล้วเราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ประมาณตี 5 ครึ่ง – 6 โมงเช้า แต่ก็ตื่นก่อน (จริงๆนอนไม่ค่อยหลับด้วยแหละ คอยแต่จะหลับๆตื่นๆทั้งคืนเลย ก็แหงล่ะสิ รถไฟยิ้มส่ายเป็นเบย์เบลดเลยอะ ใครจะไปหลับลงกันวะ555555) พอประมาณ 6 โมงเช้าทุกคนก็มาจับกลุ่มนั่งรวมกัน แล้วก็มีเรื่องเซอร์ไพรส์เกิดขึ้นด้วยกัน 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือวันนั้นเป็นวันลงทะเบียนเรียนวิชาเสรี ซึ่งเขาเปิดให้ลงได้ตั้งแต่ตอนเที่ยงคืน แล้วคือทั้งกลุ่มเราที่ไปเที่ยวด้วยกันไม่มีใครรู้เลยเว้ยว่าเขาให้ลงวันนั้น มารู้กันก็ตอนเปิดสตอรี่ไอจีเพื่อนตอนเช้า แล้วไงล่ะครับงานนี้ ก็เจ๊งกันไปเป็นแถบสิครับ ไม่เหลือวิชาอะไรให้ลงเลยจ้า ส่วนเรื่องเซอร์ไพรส์อีกเรื่องนึงก็คือ อยู่ๆพี่ที่ดูแลตู้รถไฟก็เดินมาคุยกับพวกเราแล้วบอกว่า “ยิ้มมีคน มีอะไรกันอยู่ตรงเตียงนู้นเว้ย พอดีพี่เห็นเตียงมันสั่นๆแล้วม่านมันแง้มๆอยู่ก็เลยบังเอิญไปเห็น” เราได้แต่คิดในใจว่า “ไอ้เชี่ย กิจกรรมเอ้าท์ดอร์หรอวะ ล้ำสัส55555” 
          พอเวลาประมาณ 07.45 น. เราก็มาถึงสถานีรถไฟขุนตาล ซึ่งก่อนลงจากรถไฟพวกเราก็ได้ร่ำลาแล้วก็ขอบคุณพี่ที่ดูแลพวกเราบนตู้รถไฟ พอเรามาถึงปุ๊บก็จะมีแม่ค้าเดินเร่เข้ามาขายอาหารเช้าให้เราอย่างรวดเร็ว (เขาคงกลัวเราหิวแหละดูออก) พอซื้อของกันเสร็จแล้วพวกเราก็ทำกิจธุระส่วนตัว เข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย แล้วเดินไปสักการะศาลเจ้าพ่อขุนตาลเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล ซึ่งมีระยะทางประมาณ 1,300 เมตร 

          ก้าวแรกที่เราก้าวขึ้นไปยิ้มแฉ่งด้วยความตื่นเต้น ก้าวต่อไปก็อยากที่จะเห็นวิวที่สวยๆบนดอย แต่พอเดินไปได้ซัก 500 เมตร เท่านั้นแหละ ไม่ไหวกันแล้วค้าบ แทบร่วงไปกองกับพื้น ก็เลยหยุดพักกันซักประมาณ 1 นาทีได้ (หลายๆคนคงคิดในใจว่า แค่ 1 นาที จะหยุดเพื่อ!!! แต่เราก็พักกันแค่นั้นจริงๆนะฮะ) แล้วเราก็ก้าวเดินกันต่อไป ที่ 600 เมตร 700 เมตร 800 เมตร 900 เมตร แล้วก็ 1กิโล!!! เราก็จะเจอเส้นทางที่ตัดกับถนน ซึ่งขอบอกกงนี้เลยนะฮะ ว่าระยะทาง 1 กิโลที่เราเดินขึ้นมานี้ มันช่างยากย็น แสนสาหัสมากๆ แค่ตัวเปล่าๆยังจะเอากันไม่รอด แต่นี่ยังมีสัมภาระมากมายที่อยู่บนบ่าอีก ทุกคนต่างร่วงไปกองรวมกันอยู่ข้างถนน แล้วก็นั่งพักดื่มน้ำดื่มท่าก่อนจะออกเดินทางกันต่อไปอีก 300 เมตร จึงถึงบริเวณหน้าทางเข้าอุทยาน

          พอเราถึงบริเวณหน้าทางเข้าอุทยาน ก็จะต้องจ่ายค่าเข้าก่อนคนละ 10 บาท เช็คอุณหภูมิร่างกายจึงจะเข้าไปได้ พอเราเข้าไปเราก็ไปยังด่านต่อไปก็คือศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อที่จะไปคุยเรื่องบ้านพักที่จองไว้กับประทับตราอุทยานในสมุดพาสปอร์ตท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ แล้วก็คุยเรื่องเส้นทางในการเดินป่า ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่เราประทับใจมากเลยเว้ย พี่เจ้าหน้าที่อุทยานเขาแนะนำเราดีมากกกกกก (มากแบบ ก.ไก่ ล้านตัว) บอกเส้นทางอย่างนู้น อย่างนี้ บอกเล่าซะเราเห็นภาพเลยอะ พอคุยเรื่องเส้นทางในการเดินป่าเสร็จ ก็วกกลับมาที่การเดินทางเข้าบ้านพัก ซึ่งพี่เจ้าหน้าที่เขาบอกว่า ถ้าเดินไปตามถนนอะก็ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร แต่ถ้าใช้เส้นทางเดินป่าก็ 1,800 เมตร แต่ตอนนั้นเพื่อนเรามันถอดใจไปแล้วไง มันเลยถามว่า “เอ่อ มีรถขึ้นไปส่งมั้ยครับ” ซึ่งก็มีรถขึ้นไปส่งนะ ราคาก็คนละ 50 บาท แต่ตอนนั้น เราไปกัน 7 คนไง พี่เขาก็เลยคิดราคาเหมาให้เป็น 200 บาท ซึ่งก็ถือว่าโอเคอยู่นะกับการที่ต้องแบกของมากมายเดินขึ้นเขาในระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร พอเราคุยเรื่องการเดินทางเสร็จ พี่เขาก็แนะนำให้ไปคุยเรื่องอาหารในการจะเอาเข้าไปกินในป่าตอนกลางวันกับอาหารเย็นว่าจะให้เอาไปส่งที่บ้านพักหรือยังไงหรือยังไงที่ร้านค้าสวัสดิการ (คือพี่เจ้าหน้าที่เขาแนะนำทุกอย่างจริงๆ) พวกเราก็เลยเดินไปยังร้านสวัสดิการเพื่อกินข้าวเช้า แล้วก็สั่งข้าวกล่องเป็นอาหารกลางวันไว้เข้าไปกินกันในป่า (ขอบอกไว้กงนี้เลยนะครับว่าตอนที่กินข้าวเช้าน่ะ ทั้งกลุ่มยังไม่มีใครแปรงฟันมาตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าซักกระคนเดียว) พร้อมกับคุยเรื่องเส้นทางการเดินป่าว่าเราจะเดินไปทางไหนกันดี

          เมื่อเสร็จกิจธุระจากร้านค้าสวัสดิการเราจึงเดินไปบอกพี่เจ้าหน้าที่อุทยานว่าเราพร้อมที่จะขึ้นไปยังบ้านพักกันแล้ว พอถึงบ้านพักพวกเราก็วางข้าววางของแล้วเดินสำรวจบริเวณบ้านพัก คือบั่บบ้านพักคือดีมากอะ คุ้มเกินราคาจริงๆเว้ย คือเราจ่ายค่าบ้านพักกันแค่คนละ 150 บาท แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือมันคุ้มจนเกินคำบรรยายจริงๆ ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกแล้วก็วิวทิวทัศน์ คือสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า “บ้านพักราคาหลักร้อยแต่วิวที่ได้ราคาหลักล้าน” ซึ่งตอนนั้นทุกคนต่างพร้อมใจกันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายสตอรี่อวดโลกโซเชี่ยลกันใหญ่เลยเว้ย (เอาจริงๆนะ เป็นใครก็คงอยากอวดกันทั้งนั้นแหละ คือยิ้มสวยมากจริงๆ ภาพที่ถ่ายมาได้สวยที่สุดยังไม่สวยเท่าสิ่งที่ตาเรามองเห็นเลย เราเคยคิดนะว่าถ้ามีกล้องดีๆซักตัวไว้ถ่ายรูปสวยๆพวกนี้ก็คงจะดี แต่ตอนนั้นเรากลับคิดขึ้นมาได้ว่า “จริงๆแล้วภาพที่สวดที่สุดอาจไม่ได้ได้จากกล้องที่ราคาแพงและดีที่สุด แต่ภาพที่สวยที่สุดนั้นได้จากกล้องที่เรียกว่าดวงตาของเรา แล้วถูกบันทึกไว้ในเมมเมอรี่ที่เรียกว่าความทรงจำ”) พอสำรวจบ้านพักและถ่ายรูปกันเสร็จ พวกเราก็เตรียมตัวจัดกระเป๋า Daypack สำหรับเข้าป่ากันต่อ ซึ่งเป้าหมายของเราในวันนี้นั้นไม่ใช้การพิชิต ย.4 ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของดอยขุนตาล แต่กลับเป็นการไปพิชิตน้ำตกตาดเหมยเพื่อนั่งกินข้าวกลางวันกันริมน้ำตก   ซึ่งในการเดินทางนั้นเส้นทางคือโคตรโหด
          พวกเราเริ่มก้าวแรกของการผจญภัยครั้งนี้ด้วยการก้าวขาออกจากบ้านพักเพื่อไปยังทางเข้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยขุนตาล โดยเส้นทางในการขึ้นไป ย.1 นั้นก็ยังเป็นเพียงแค่การเดินขึ้นบันไดธรรมดาในระยะทางแค่ 300 เมตร ซึ่งการขึ้น ย.2 ก็ยังคงมีบันได แต่อาจจะต่างจาก ย.1 ตรงที่บันไดนั้นมีความชันที่มากกว่า และระยะทางที่เพิ่มขึ้นเป็น 1 กิโลเมตร แต่ความเหนื่อยและความยากลำบากนั้นก็ได้สลายหายไปเมื่อได้มาถึงจุดชมวิวที่ ย.2 ซึ่งมีความสวยงามและร่มเย็นเป็นอย่างมาก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่