นานะ สาวน้อยยอดนักสืบ ep 0.5 นานะกับคดีโจรกรรมบนรถไฟสายตะวันตก (2)

กระทู้สนทนา
เมื่อวานสัญญาว่าวันนี้จะมาลงเรื่องต่อ พอดีตอนเย็นต้องเดินทางไป ตจว ใกล้ๆ เลยกลับมาลงเรื่องดึกหน่อยนะครับ

ใครที่ยังไม่ได้อ่านช่วงแรกเชิญทางนี้ก่อน https://pantip.com/topic/40100859



นานะ สาวน้อยยอดนักสืบ ep 0.5 นานะกับคดีโจรกรรมบนรถไฟสายตะวันตก (2)

========================================================================================

- บ้านกาหลง -

แม่น้ำท่าจีนกับท่าฉลอมถูกทิ้งห่างออกไปทางด้านหลัง หนึ่งในรถไฟสายที่สั้นที่สุดในประเทศไทยกำลังวิ่งจากสมุทรสาครไปสมุทรสงคราม ไอแดดร้อนระอุขึ้นทุกขณะเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นสูง ยังไม่ทันไปถึงจุดหมายที่จะเริ่มกิจกรรมรับน้องก็ดูเหมือนว่านักศึกษาทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่เริ่มออกอาการอ่อนเพลียแล้ว ป้ายสถานีรถไฟบ้านกาหลงเพิ่งจะผ่านตาไปเมื่อครู่ ระยะทางที่ว่าไกลก็กลายเป็นใกล้เมื่อหลายคนเริ่มจับคู่คุยกันฆ่าเวลา ตอนแรกนานะก็คิดว่าจะคุยกับหนูหริ่งและนิที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่เฟรมที่ประกบติดเธอแจตั้งแต่กรุงเทพฯก็ชวนเธอคุยตลอด เรื่องหมาเรื่องแมวบ้าง เรื่องไปเที่ยวบ้าง เรื่องโรงเรียนเก่าหรือแม้แต่โรงเรียนกวดวิชาก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย  สำหรับเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็มีเรื่องคุยเท่านี้ แต่เฟรมก็ทำให้มันเป็นเรื่องยาวได้อย่างน่าประหลาด เป็นนานะเสียอีกที่พยักหน้ายิ้มๆ เป็นฝ่ายฟังมากกว่าพูด

“ตอนนี้ที่เฟรมกลุ้มใจอยู่อย่างก็คือหมาลาบราดอร์ที่บ้านนี่แหละ ออกลูกมาซะห้าตัว คือก็พอมีที่ทางในสนามหน้าบ้านให้มันวิ่งหรอก แต่ในอนาคตถ้าคิดว่ามีหมาบ้าพลังแม่ลูกอยู่ในบ้านพร้อมกันหกตัวก็คงไม่ไหวเหมือนกันนะ กำลังคิดว่าพอลูกหมาโตอีกหน่อยจะเริ่มหาบ้านใหม่ให้แล้วล่ะ นานะ เธอเลี้ยงหมารึเปล่า?”

“เราไม่ได้เลี้ยงหมา” นานะสั่นหัว เธอไม่เคยคิดจะเลี้ยงสัตว์อะไรมากไปกว่าปลาทองในบ่อที่บ้าน “แต่จะว่าไปก็มีแมวจรสีเทาตัวหนึ่งมันชอบมาที่บ้านบ่อยๆ นะ ไม่ได้เลี้ยงไว้แต่พอกลับไปถึงบ้านมันก็จะเดินมาหาแล้วเอาหัวมาถูขากางเกง ตอนเช้าออกจากบ้านก็เห็นมันนอนมองเราอยู่บนกำแพงหน้าบ้าน นานๆ ครั้งก็เลยเอาพวกเนื้อปลาเหลือๆ ในครัวไปให้มันกินบ้าง แต่ไม่ได้เลี้ยงนะ บางวันมันก็มา บางวันมันก็ไม่มา เดาใจยาก”

“ทาสแมวนี่นา” เฟรมหัวเราะ

“ไม่ใช่ซะหน่อย ก็แค่เห็นมันมาหาเลยเอาอะไรให้มันกินเท่านั้นเอง”

“แมวตัวนั้นชื่ออะไร?”

“สปีเว็ก”

“นั่นไง ถึงกับตั้งชื่อให้ด้วย ยอมรับมาเหอะว่าเป็นทาสแมว”

“ฉันเปล่า...”
 

รถไฟวิ่งทำความเร็วมากขึ้น เมฆหนาบนฟ้าช่วยบังแดดทำให้คลายร้อนลง เสียงคุยกันในหมู่นักศึกษาเริ่มดังขึ้นเหมือนทุกคนรู้จักกันแล้ว บรรยากาศในห้องโดยสารดูผ่อนคลายมากกว่าชั่วโมงก่อน นานะกำลังเออออห่อหมกไปกับเรื่องนักร้องเกาหลีที่เฟรมชวนคุย ก็ทำได้แต่พยักหน้าเพราะเธอไม่เคยฟังเลย เฟรมกำลังพูดถึงอะไรนะ? แบล็คพิ้งก์คืออะไร? วงชมพูดำ? วงอะไรชื่อประหลาด แล้วอะไรนะ วงบีทีเอส ตั้งวงกันในสถานีรถไฟฟ้าเหรอ? ทำไมเธอไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย

ระหว่างที่กำลังฟังเพื่อนไปเรื่อยๆ อยู่นั้นเอง นอกจากเสียงหวานๆ ของเฟรม เสียงคุยของเพื่อนๆ เสียงลมพัดและล้อเหล็กกระทบรางรถไฟ ยังมีเสียงหนึ่งที่เธอได้ยินแทรกอยู่แผ่วเบา เสียงชัตเตอร์ถ่ายรูปติดๆ กันหลายครั้ง

คราวนี้นานะหันไปมองรอบตัวอย่างตั้งใจ ไม่มีใครกำลังถือกล้องถ่ายรูปหรือโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายรูปได้ในมือ ทุกคนยังอยู่ในอิริยาบถของตัวเอง บางคนนั่งหลับ บางคนนั่งคุยกัน บางคนถ้าไม่นั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่างก็เพิ่งเดินกลับมาจากห้องน้ำ ไม่มีใครถ่ายรูปวิว ไม่มีใครเซลฟี่กันตอนนั้น ไม่ว่ายังไงก็มองไม่เห็นว่าใครจะเป็นเจ้าของเสียงชัตเตอร์ปริศนาเมื่อครู่เลย สาวแว่นเอามือจับต้นคอขณะกวาดสายตาแอบมองทุกคนอีกครั้ง เธอได้ยินจริงๆ นะ มันต้องมีใครสักคนสิ เพียงแต่ทำท่ากลบเลื่อนได้อย่างรวดเร็วมากแค่นั้นเอง

“มีอะไรเหรอนานะ?”

เพื่อนสาวผมหยิกเอียงคอสงสัยเมื่อเห็นท่าทางของเธอ นานะใช้นิ้วดันกรอบแว่นให้กระชับกับใบหน้า พยายามมองว่ายังมีใครแอบดูอยู่หรือเปล่า อย่างน้อยถ้าหันไปเจอใครแล้วเขาไม่กล้าสบตาก็จะได้ระวังตัวไว้ก่อน แต่ตอนนี้ยังไม่เจอ

“ไม่มีอะไร”

“แน่ใจนะ? เธอดูท่าทางแปลกๆ”

“มีก็ได้ เฟรม ตั้งแต่ตอนนั่งรถไฟออกจากวงเวียนใหญ่เธอเห็นอะไรแปลกๆ ในกลุ่มพวกเราบ้างไหม อะไรก็ได้ที่เธอคิดออก”

“ในกลุ่มพวกเรา? เธอหมายถึงอะไร? ในพวกเรามีใครแปลกเหรอ?”

“ฉันก็ไม่แน่ใจ เพียงแค่สงสัยตั้งแต่ตอนลงจากรถไฟขบวนแรกแล้ว รู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ ในหมู่พวกเรา แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรือจากใคร”

“บ้า เธอคิดมากไปรึเปล่า”

“ก็หวังว่านะ”

นานะเสยผมที่ถูกลมพัดปิดใบหน้าขึ้น คราวนี้เธอตั้งใจสังเกตเพื่อนและรุ่นพี่รอบตัวทีละคน บนรถไฟโบกี้นี้มีรุ่นพี่อยู่สามคน  นักศึกษาใหม่อีกสิบ พี่ใหม่เป็นพี่ปีสาม ร่างใหญ่บึกบึนและอาวุโสที่สุดในกลุ่มนี้ หนวดเคราเฟิ้มมองไม่เห็นปาก ผมไว้ยาวถึงกลางหลังมัดรวบไว้ง่ายๆ คล้ายตั้งใจจะไว้ให้ดูเป็นผู้ชายดุๆ ในช่วงรับน้อง พี่ใหม่ไม่ค่อยคุยกับรุ่นน้องมากนัก ส่วนใหญ่จะคุยกับรุ่นพี่ปีสองมากกว่า

พี่ปีสองคนแรก - พี่หน่อย สาวหมวยผมสั้นที่มักจะยิ้มจนตาหยี  อัธยาศัยดีกับน้องๆ ชวนรุ่นน้องคุยเรื่องต่างๆ ตลอดเวลา ส่วนอีกคนคือพี่เต้ สาวร่างผอมท่าทางเข้มงวดเหมือนผู้ชาย สายตาดุและน้ำเสียงเรียบต่ำมักจะทำให้ทุกคนต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษเวลาพี่เต้พูดแต่ละครั้ง  ส่วนหนึ่งเพราะกลัวว่าพี่เต้จะดุ และอีกส่วนคือกลัวว่าจะไม่ได้ยิน รุ่นพี่ที่มากับขบวนรถไฟมีเพียงสามคนนี้ ดูๆ แล้วก็ไม่น่ามีพิรุธอะไร

สำหรับรุ่นน้องทั้งสิบคนถ้าไม่รวมเธอกับเฟรมก็เหลือแค่แปด  หนูหริ่งกับนิเป็นสองสาวที่มัวแต่คุยกันจนไม่สนใจใคร แอบฟังพอจะจับใจความได้ว่าทั้งสองกำลังคุยเรื่องไปเรียนต่อต่างประเทศ ฟังดูก็แปลกดีเพราะพวกเธอเพิ่งจะเข้าเรียนปีหนึ่งเหมือนนานะเท่านั้น ภาษาไทยคำอังกฤษคำทำให้สาวแว่นต้องตั้งใจเป็นพิเศษเวลาฟัง อีกคนหนึ่งที่นั่งถัดไปคือฮ้อย หนุ่มตี๋ใส่แว่นกำลังนั่งอ่านหนังสือวิชาที่กำลังจะเรียนในเทอมหนึ่งล่วงหน้าทั้งๆ ที่อาจารย์ยังไม่ได้สอน เขานั่งคู่กับป้อมที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง เสื้อยืดสีเทาเก่าๆ ดูคับแน่นบนร่างอวบอ้วนนั้น ป้อมและฮ้อยไม่คุยกับใครตั้งแต่ขึ้นรถไฟที่ท่าฉลอม ตรงกันข้ามกับบอลและเจนที่คุยกันเรื่องฟุตบอลไม่หยุดที่เก้าอี้อีกแถว ดูเหมือนเรื่องกีฬาจะทำให้เด็กหนุ่มสองคนนี้สนิทกันเร็วมาก  คุยกันเพียงไม่กี่นาทีบอลซึ่งเป็นหนุ่มน้อยร่างสูงโย่งแต่งตัวเซอร์ๆ ก็ชวนเพื่อนใหม่หน้าตาคมคายผมระต้นคอชื่อเจนนั่งดูคลิปฟุตบอลเมื่อคืนในโทรศัพท์มือถือแล้ว
เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามบอลกับเจนคือชายหนุ่มหัวฟูกลมราวกับสุนัขพุดเดิ้ลห้อยป้ายชื่อว่าแทน นานะเพิ่งมารู้ภายหลังว่าทรงผมแบบนี้เรียกว่าทรงแอฟโฟร ไม่ใช่ทรงผมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของเขาแน่ๆ ไม่มีทางอื่นนอกจากไปทำที่ร้านทำผมมา ชายร่างผอมผิวสองสีกำลังนั่งหลับหน้าหงายไปข้างหลัง เสียงกรนดังจนทำให้เพื่อนหญิงตัวเล็กผมบ๊อบในชุดเสื้อแจ็คเก็ตสีแดงชื่อลูกตาลหันมามองบ่อยๆ ด้วยสายตาไม่สบอารมณ์นัก หนักๆ เข้าสาวน้อยตัวเล็กก็หยิบหูฟังมาสวมและฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือ นานะสะดุดตาตรงที่โทรศัพท์มือถือของหล่อนนี่แหละ ทันทีที่กดเปิดโทรศัพท์ปรากฏว่ามันกำลังเปิดโหมดกล้องถ่ายรูปค้างไว้

หรือว่าเสียงชัตเตอร์เมื่อครู่จะมาจากโทรศัพท์เครื่องนี้?
 
นานะพยายามจะสังเกตเพื่อนใหม่ที่ชื่อลูกตาลเป็นพิเศษ แต่ก็ติดตรงที่เฟรมทำให้เสียสมาธิอยู่เรื่อยๆ ด้วยการชวนคุยนั่นคุยนี่ มีอยู่จังหวะหนึ่งที่เพื่อนสาวผมหยิกแตะแขนเธอแรงกว่าทุกครั้ง

“ว่าไง?” หญิงสาวสวมแว่นเริ่มหงุดหงิด

“ตะกี้เธอถามฉันใช่ไหมว่าในหมู่พวกเราใครมีอะไรแปลกๆ  ฉันว่าตอนนี้ฉันเจอแล้วนะ”

“ไหน? ใครแปลกๆ?”

“ผู้ชายตรงมุมนั้นน่ะ รุ่นพี่ปีสามที่ชื่อใหม่น่ะ ดูเหมือนไม่ค่อยคุยกับใครแต่ฉันเห็นเขาแอบมองมาทางเราตลอดเลยนะ พอฉันหันไปเขาก็ทำท่าหลบหน้าไปทางอื่น มีเมื่อกี้ที่ฉันหันไปดูอีกที คราวนี้พี่ใหม่ไม่ยอมหลบตาแล้ว เขาจ้องตรงมาทางนี้เลย ไม่ได้จ้องธรรมดาด้วย มีการมองแล้วขมวดคิ้วเอียงคอทำท่าคิดอีก”

“เขามองเธอเหรอเฟรม? เธอแน่ใจนะ?”

“แน่ใจ มีตอนหนึ่งที่นานะเดินไปคุยกับพี่หน่อยฉันก็ยังเห็นเขามองมาที่ฉันอยู่”

สาวแว่นหันมามองเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ จะว่าไปเฟรมก็เป็น ผู้หญิงที่สวยน่ารักควรมองอยู่หรอก ตอนที่เจอกันครั้งแรกนานะก็รู้สึกเหมือนกันว่าใบหน้าของเธอเหมือนจะคุ้นๆ ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน  แต่ยังนึกไม่ออก ถึงเฟรมจะเป็นคนสวยที่มีความผู้หญิงๆ ในบางเรื่องมากจนน่ารำคาญ แต่การโดนผู้ชายแปลกหน้าจ้องโดยไม่รู้วัตถุประสงค์บนรถไฟก็เป็นเรื่องที่ต้องระวังเหมือนกัน

ล้อรถไฟสะเทือนเมื่อวิ่งข้ามสะพานเหล็กเหนือคลอง แต่เฟรมสะดุ้งเฮือกยิ่งกว่าเมื่อในที่สุดชายร่างใหญ่คนนั้นก็ลุกขึ้น เดินจากเก้าอี้อีกฟากเข้ามาหา ไม่ผิดแน่ เขามองมาที่เฟรมจริงๆ แม้แต่นานะยังงงเมื่อเห็นรุ่นพี่ที่พูดน้อยคนนั้นมายืนตรงหน้าเฟรม คิ้วบนใบหน้ายังคงขมวดจริงจัง เพื่อนๆ และรุ่นพี่คนอื่นเริ่มรู้สึกแปลกใจและหันมามองทางนี้ พี่ใหม่ปีสามต้องการจะเดินมาพูดอะไรกับเฟรม?

ในที่สุดรุ่นพี่ร่างใหญ่ผมยาวก็เป็นฝ่ายเอ่ยถาม

“เฟรม? ชื่อจริงของเธอคือลภานาถใช่ไหม?”

ในความเงียบของห้องโดยสารนั้น นานะมองเห็นเพื่อนสาวพยักหน้าช้าๆ ไม่กล้าแม้แต่จะพูดตอบว่าใช่

“เฟรม ลภานาถจริงๆ ด้วย! ไม่นึกมาก่อนเลย”

น้ำเสียงของพี่ใหม่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บอกไม่ถูกว่าเป็นน้ำเสียงแบบไหน แต่ดูเหมือนการไว้ท่าเมื่อครู่จะหายไปจนหมดสิ้น  ชายร่างใหญ่ราวกับตู้เย็นล้วงไปในกระเป๋ากางเกงตัวเองด้านขวา  หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ลังเลอยู่นิดหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาบอกหญิงสาวผมหยิกยาวสีวอลนัทที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“รบกวน.... พี่ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมครับ?”

นานะอ้าปากเหวอกับภาพตรงหน้า อะไร ยังไง ทำไมอยู่ๆ รุ่นพี่ที่เงียบขรึมพูดน้อยอย่างพี่ใหม่ถึงมาขอถ่ายรูปกับเฟรม ทั้งคู่รู้จักกันมาก่อนเหรอ?

“อ๋อ จำได้แล้ว ต้องเป็นเฟรม วงเซเว่นวิชเชสแน่ๆ เลย” ใครบางคนในกลุ่มนักศึกษาใหม่คุยกัน

“เซเว่นวิชเชส? คืออะไร?”

“ก็วงไอดอลนักร้องหญิงไง ที่คัดผู้สมัครวัยรุ่นหญิงทั่วประเทศกว่าสี่พันคนให้เหลือเจ็ดคนแล้วร้องเพลงด้วยกันแบบวงเกิร์ลกรุ๊ปน่ะ  ดังเหมือนกันนะ สมาชิกในวงก็น่ารักๆ ทั้งนั้น วงนี้ตั้งขึ้นมาได้สองปีแล้วมั้ง จำได้ว่าหนึ่งในสมาชิกวงมีคนชื่อเฟรม ลภานาถด้วย”

“ว่าไงนะ? แปลว่าคนนี้ก็ใช่น่ะสิ สุดยอด!!”

“ไปต่อคิวถ่ายรูปเหอะ โอกาสจะได้เจอกับนักร้องไอดอลแบบนี้ไม่ได้มีง่ายๆ นะ”

เรื่องราวของเฟรมทำให้ห้องโดยสารบนรถไฟขบวนนั้นคึกคักขึ้นทันที พี่ใหม่ในฐานะแฟนพันธุ์แท้ที่รู้คนแรกว่าเฟรมเป็นนักร้องได้โอกาสถ่ายรูปด้วยชุดใหญ่ ตามด้วยรุ่นพี่และเพื่อนร่วมชั้นปีเกือบทุกคนที่ต่อแถวรอถ่ายรูปด้วย นานะนั่งมองเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ข้างเธอมาตลอดอย่างทึ่งๆ ไม่รู้มาก่อนว่าแม่สาวผมยาวคนนี้เป็นนักร้อง เธอไม่ค่อยรู้เรื่องวงการดนตรีหรอก ถ้าจะฟังเพลงก็คือเพลงบรรเลงไม่มีคนร้อง แต่สังเกตว่ามีอยู่อย่างที่เฟรมระมัดระวังตัวเป็นพิเศษคือจะไม่ยอมให้ใครโดนตัวเด็ดขาดยกเว้นผู้หญิงด้วยกัน ไม่ว่าจะรูปคู่หรือรูปหมู่แบบหลายคนก็จะยืนเว้นระยะห่างกับคนข้างเคียงตลอด รวมถึงยกมือไหว้ขอร้องว่ารูปที่ถ่ายด้วยกันในวันนี้ขอให้เก็บไว้ดูกันเองเป็นการส่วนตัว อย่าโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย

“ทำไมล่ะ?” 

(อ่านต่อด้านล่าง)
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่