สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ดีที่ถามครับ
หลายคน ใช้โดยขาดความรู้
พอเกียร์มีปัญหาก็ไปโทษว่าเกียร์ออโต้ พังง่าย
ปกติ ในระบบเกียร์ออโต ผู้ออกแบบก็คิดไว้แล้วว่า
ในระหว่างขับขี่ อาจมีการขยับเกียร์โดยไม่ได้ตั้งใจ เช่นมีเด็กอยู่ในรถ
จึงได้ออกแบบให้มีความยุ่งยากในการเข้าเกียร์ไว้
เช่นจาก P > R ต้องเหยียบเบรค(รถหยุดสนิทด้วย)และกดปุ่มที่หัวคันเกียร์
แต่จาก N > D ไม่ต้องกดปุ่ม สามารถเลื่อนมา D ได้เลย
ทีนี้มาถึงตัวที่ถามมา S หมายถึงโหมด Sport ต้องการการขับขี่ที่เร้าใจมากยิ่งขึ้น
ถ้าคนขับ Manual ก็หมายถึงการลากเกียร์ แทนที่จะเปลี่ยนเกียร์ในรอบต่ำ
ก็เร่งไปให้รอบสูงกว่าเดิมแล้วจึงเปลี่ยนเกียร์ ทำให้รถมีอัตราเร่งดีกว่าเข้าที่ D
การขยับ D > S และ S > D จึงไม่ต้องกดปุ่ม(ถ้ามี)และเหยียบเบรคแต่อย่างใด
นึกอยากจะใช้ก็ผลักไปในตำแหน่งได้ทันที
ส่วน L หรือในบางคันจะใช้เป็นตัวเลข 2 ก็จะใช้สำหรับการขับลงเขา
เพื่อบังคับให้เกียร์ อยู่ในอัตราทดของเกียร์ 1 และ 2 เท่านั้น
(สามารถกดคันเกียร์เข้าโหมด L ได้โดยไม่ต้องเหยียบเบรคและรถไม่ต้องหยุดนิ่ง)
เพื่อใช้เครื่องยนต์เป็นตัวหน่วงไม่ให้ลงจากเขาในความเร็วที่สูงเกินไป
จะได้ไม่พึ่งพาเบรคมากเกิน จนผ้าเบรคร้อนจัดซึ่งจะทำให้เบรคลื่น เบรคไม่อยู่
ป.ล.(1) มีข้อห้ามที่คนขับรถเกียร์ออโตควรรู้ คือ
ในระหว่างการขับขี่ในท้องถนน เมื่อเวลาหยุดรถขณะรอไฟแดง
ห้ามเข้าที่ P ที่หมายถึง Parking เป็นอันขาด เพราะหากรถที่ตามหลังมาเบรคไม่อยู่
ขับมาชนท้ายโดยที่เราอยู่ในตำแหน่ง P ระบบเกียร์จะเสียหาย ถึงขั้นที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ทั้งลูก
ราคาของเกียร์แพงเกินแสนบาท(ของใหม่)
ในคำแนะนำคือให้เหยียบเบรคไว้ในตำแหน่งเกียร์ D หรือหากคิดว่าต้องรอนาน จะเข้าเกียร์ที่ N และดึงเบรคมือกันรถไหลไว้ก็ได้
การขยับจาก N > D ถ้าเป็นเกียร์ออโตรุ่นเก่าๆ จะเกิดแรงกระชากทำให้แท่นเครื่องรับภาระหนัก
เกิดการฉีกขาดได้ง่ายกว่าการเหยียบเบรคแช่ไว้ในระหว่างรอไฟเขียว
ป.ล.(2) ในระหว่างการขับเคลื่อนที่ D เมื่อเห็นว่าข้างหน้ามีการชะลอรถหรือจะต้องหยุดรถ
ห้ามผลักเกียร์มาที่ N เพื่อที่หวังจะประหยัดน้ำมันเหมือนขับรถเกียร์ธรรมดาปล่อยรถไหลด้วยการเข้าเกียร์ว่าง
เพราะในความเร็วที่สูง เข้าที่ N จะเกิดความร้อนในระบบเกียร์ เหมือนตอนรถเสียต้องลาก ก็จะห้ามลากรถในความเร็วสูง
และต้องลากไม่ไกลจนเกินไป ต้องมีการหยุดพัก ดูรายละเอียดได้ในคู่มือประจำรถครับ
หลายคน ใช้โดยขาดความรู้
พอเกียร์มีปัญหาก็ไปโทษว่าเกียร์ออโต้ พังง่าย
ปกติ ในระบบเกียร์ออโต ผู้ออกแบบก็คิดไว้แล้วว่า
ในระหว่างขับขี่ อาจมีการขยับเกียร์โดยไม่ได้ตั้งใจ เช่นมีเด็กอยู่ในรถ
จึงได้ออกแบบให้มีความยุ่งยากในการเข้าเกียร์ไว้
เช่นจาก P > R ต้องเหยียบเบรค(รถหยุดสนิทด้วย)และกดปุ่มที่หัวคันเกียร์
แต่จาก N > D ไม่ต้องกดปุ่ม สามารถเลื่อนมา D ได้เลย
ทีนี้มาถึงตัวที่ถามมา S หมายถึงโหมด Sport ต้องการการขับขี่ที่เร้าใจมากยิ่งขึ้น
ถ้าคนขับ Manual ก็หมายถึงการลากเกียร์ แทนที่จะเปลี่ยนเกียร์ในรอบต่ำ
ก็เร่งไปให้รอบสูงกว่าเดิมแล้วจึงเปลี่ยนเกียร์ ทำให้รถมีอัตราเร่งดีกว่าเข้าที่ D
การขยับ D > S และ S > D จึงไม่ต้องกดปุ่ม(ถ้ามี)และเหยียบเบรคแต่อย่างใด
นึกอยากจะใช้ก็ผลักไปในตำแหน่งได้ทันที
ส่วน L หรือในบางคันจะใช้เป็นตัวเลข 2 ก็จะใช้สำหรับการขับลงเขา
เพื่อบังคับให้เกียร์ อยู่ในอัตราทดของเกียร์ 1 และ 2 เท่านั้น
(สามารถกดคันเกียร์เข้าโหมด L ได้โดยไม่ต้องเหยียบเบรคและรถไม่ต้องหยุดนิ่ง)
เพื่อใช้เครื่องยนต์เป็นตัวหน่วงไม่ให้ลงจากเขาในความเร็วที่สูงเกินไป
จะได้ไม่พึ่งพาเบรคมากเกิน จนผ้าเบรคร้อนจัดซึ่งจะทำให้เบรคลื่น เบรคไม่อยู่
ป.ล.(1) มีข้อห้ามที่คนขับรถเกียร์ออโตควรรู้ คือ
ในระหว่างการขับขี่ในท้องถนน เมื่อเวลาหยุดรถขณะรอไฟแดง
ห้ามเข้าที่ P ที่หมายถึง Parking เป็นอันขาด เพราะหากรถที่ตามหลังมาเบรคไม่อยู่
ขับมาชนท้ายโดยที่เราอยู่ในตำแหน่ง P ระบบเกียร์จะเสียหาย ถึงขั้นที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ทั้งลูก
ราคาของเกียร์แพงเกินแสนบาท(ของใหม่)
ในคำแนะนำคือให้เหยียบเบรคไว้ในตำแหน่งเกียร์ D หรือหากคิดว่าต้องรอนาน จะเข้าเกียร์ที่ N และดึงเบรคมือกันรถไหลไว้ก็ได้
การขยับจาก N > D ถ้าเป็นเกียร์ออโตรุ่นเก่าๆ จะเกิดแรงกระชากทำให้แท่นเครื่องรับภาระหนัก
เกิดการฉีกขาดได้ง่ายกว่าการเหยียบเบรคแช่ไว้ในระหว่างรอไฟเขียว
ป.ล.(2) ในระหว่างการขับเคลื่อนที่ D เมื่อเห็นว่าข้างหน้ามีการชะลอรถหรือจะต้องหยุดรถ
ห้ามผลักเกียร์มาที่ N เพื่อที่หวังจะประหยัดน้ำมันเหมือนขับรถเกียร์ธรรมดาปล่อยรถไหลด้วยการเข้าเกียร์ว่าง
เพราะในความเร็วที่สูง เข้าที่ N จะเกิดความร้อนในระบบเกียร์ เหมือนตอนรถเสียต้องลาก ก็จะห้ามลากรถในความเร็วสูง
และต้องลากไม่ไกลจนเกินไป ต้องมีการหยุดพัก ดูรายละเอียดได้ในคู่มือประจำรถครับ
แสดงความคิดเห็น
ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนเกียร์รถเกียร์ออโต้ค่ะ