▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
สิ่งลี้ลับ (mystery)
นักท่องเที่ยว
จังหวัดบึงกาฬ
บันทึกนักเดินทาง
เที่ยวภูเขา
[CR] บึงกาฬ นอกจากถ้ำนาคา มีอะไรที่น่าสนใจอีกมาก (ภาค 2)
ระหว่างที่เราค่อย ๆ เดินลงไป ก็คิดว่าเราตัดสินใจถูกไม๊เนี่ย เดินลงก็เหนื่อยไม่ต้องคิดถึงเดินขึ้นเลย ช่วงที่เจอที่นั่งระหว่างทางพวกเราก็นั่งปรึกษาหารือกันว่าเราทิ้งแพลนที่เหลือแล้วไปดูหัวพญานาคดีกว่าเนอะ มาถึงขนาดนี้แล้ว ในขณะที่คนอื่นเค้าเห็นหัวแต่เราเห็นแค่ลำตัวก็ถือว่ามาไม่ถึงซินะ เอาวะ ฮึ้บบบบบ !!! สู้ ๆ สิ่งที่เราต้องไตร่ตรองมากเป็นพิเศษคือ พวกเราเหลือน้ำดื่มน้อยมาก ทันใดนั้นเหลือบไปเห็นครอบครัวอีสานอีกครอบครัวหนึ่ง เราก็บอกว่าขอซื้อน้ำขวดนึงได้ไม๊ เสียงตอบกลับมา "ผมไม่ขายครับ ผมให้" โอ้โห!!!! มีน้ำใจโคตร ๆ มันไม่ใช่แค่ราคาค่าน้ำหรอกนะ แต่มันแสดงถึงน้ำใจที่เค้ามีสุด ๆ (กราบ)
เอาล่ะ น้ำพร้อมถึงแม้เรี่ยวแรงไม่พร้อม แต่มาแล้วก็ทำตามเจตนารมณ์เถอะ เพราะคนอื่นๆ เค้าเห็นกันหมดแล้ว เค้าบอกว่าต้องไปดูให้ได้นะ มันใช่เลย เหมือนมาก ๆ พูดกันขนาดนี้แล้ว ก็ต้องไปแล้วล่ะ ระหว่างทางก็เจอกับครอบครัวอีสานครอบครัวแรกที่ชวนพวกเราไปร่วมหา เค้าย้งบ่นถึงพวกเราว่า พวกเราไม่มีบุญได้เห็น เสียดายแทน เราเลยบอกว่านี่ไงถึงได้กลับขึ้นมา คนอื่นเค้าเดินกันรอบเดียว พวกเรารอบครึ่ง บุญหนักศักดิ์ใหญ่มากกว่าใครเลย (เพลีย) ตัดสินใจผิด ชีวิตเปลี่ยนเลยจร้า กว่าจะปีนป่ายขึ้นมาด้วยสภาพที่ถดถอยมาก หมดพลังจริง ๆ เพื่อนเราก็พยายามถามว่ามันมีทางลัดนี่ เพื่อนร่วมทางเค้าบอกมา ว่าพวกพี่อย่าไปกันทางนี้นะ มันอ้อมมาก และแล้วพวกเราก็มาถึง
โอ้โห !!!! กราบเลยค่ะ อย่าหาว่างมงายเลยนะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ตา จมูกมาครบ และบริเวณนี้ก็เป็นบ่อน้ำ คือใช่เลย ครบองค์ประกอบทุกอย่างที่พญานาคเค้าอยู่กัน ยืนดู ยืนอึ้งอยู่ซักพัก ก็เดินเข้าไปภายใต้ถ้ำเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
สรุปว่าพวกเราโชคดีที่ตัดสินใจกลับขึ้นมาอีกรอบ และโชคดีมากกว่านั้นคือเค้าเพิ่งค้นพบหัวพญานาคเมื่อประมาณวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมานี้เอง แต่ก็อยากจะรบกวนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องช่วยทำป้ายบอกให้นักท่องเที่ยวทราบหน่อยค่ะว่าทางไปดูไปยังไง ซึ่งแทบจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย แต่ละคนต้องงม ต้องคลำทางหากันเอง ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะบอกว่าให้สังเกตผ้าสีเหลืองบนต้นไม้ อยากบอกว่าผ้าสีเหลืองที่ให้นักท่องเที่ยวสังเกตก็เล็กเกิ๊น และสำหรับคนที่เดินทางขึ้นมาขนาดนี้เหนื่อยจนเหงื่อไหลไคลย้อยเข้าทั้งตาออกทั้งลำตัว แต่ก็ยังต้องเพ่งสายตาหาผ้าสีเหลืองผืนกระจ้อยร่อยอีก เฮ้อ!! แอบบ่น
เอาล่ะถึงเวลาเดินลงรางรถไฟเหาะอีกรอบ เฮ้อ !!!!! ตอนลงก็ไม่ใช่ง่าย ต้องใช้ความระมัดระวังมากเช่นกัน
ป.ล. คนอื่นเค้าเดินกันคล่องดีนะ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ หรือว่าไอ้ที่เหนื่อยแค่เราคนเดียวหว่า
ไม่อยากบอกเลยว่า ระหว่างทางที่ลงก็แทบหมดสภาพสุด ๆ เพื่อนเรายังอุตส่าห์นับบันไดไหวอีก ได้เกือบ 1400 ขั้นจริง ๆ ด้วย จำได้ว่าตอนขึ้นมาเห็นพญานาคตรงทางขึ้นอยู่ ระหว่างที่เดินลงเมื่อไรจะถึงซักที เมื่อไรจะได้เห็นบันไดพญานาคตัวนั้นซักที ที่เห็นข้างบนเมื่อกี๊คือสุดยอด แต่ถ้าเห็นตัวตรงทางขึ้น ณ เวลานี้ น่าจะสุดยอดที่สุด ไม่ไหวแล้ว
และแล้วเราก็ลากสังขารมาถึงทางราบ เหลือบไปเห็นรถตัวเอง ดีใจสุด ๆ แม่ค้าก็น่ารักมากซื้อน้ำเสร็จแกรีบเอาเก้าอี้มาให้นั่ง แสดงว่าไม่ใช่เราคนเดียวแล้วล่ะ โล่งอก นั่งพักร้านแม่ค้าขายน้ำนานพอดู นานจนมีโอกาสได้เห็นภูนาคา ภูที่เราได้ขึ้นและก็ลงมา จริงเหรอเนี่ยเราขึ้นและลงเขาลูกนี้มาแล้วเหรอเนี่ย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่ด้วยกำลังขาที่เผชิญอยู่คือหมดแรง หมดจริง ๆ หลังจากนั้นกลับขึ้นรถกลับที่พัก ไม่อยากเชื่อเกิดมาไม่เคยขับรถช้าขนาดนี้ เอาเป็นว่าช้ากว่าวันที่หัดขับรถวันแรก
ถึงที่พักสลบเหมือด เพื่อนต้องไปขอยาจากเจ้าของที่พักให้ วันนี้พอแค่นี้นะเราขอประกอบร่างก่อน พรุ่งนี้เช้าเจอกันบึงกาฬ
Day 4 เป้าหมายคือภูสิงห์ และ ภูทอก
ความจริงเช้านี้พวกเราต้องออกจากที่พักตี 5 เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูสิงห์ให้ทันตอนเช้า แต่ใครจะไหวล่ะ เฮ้ยยยย !!! มาเที่ยวนะ (บอกตัวเอง) ทำไมดูทรมานจัง พวกเราเลยเปลี่ยนเวลาตื่นสายหน่อยเอาแบบไม่ทรมาน มาถึงภูสิงห์ก็ 10 โมงแล้ว มาถึงก็ไปตรวจวัดไข้ ลงทะเบียน ขึ้นรถเจ้าหน้าที่ไปคันละ 500.- พวกเราได้พี่คนขับชื่อพี่ทราย พี่พวกนี้เค้าจะบอกเล่าคือไกด์ให้เราด้วย ใช้เวลาในภูสิงห์ก็ประมาณ 3 ชม.เห็นจะได้ เพราะจริง ๆ มีทั้งหมด 10 จุดท่องเที่ยว แต่เนื่องจากบางสถานที่ยังไม่เปิดให้เข้า จึงเหลือประมาณแค่ 7 จุด แต่ก็โอเคแหล่ะ
จุดแรกพี่ทรายพาไปแวะ คือลานธรรม จุดที่สอง หินสามวาฬ ถ้ำฤาษี หินหัวช้าง กำแพงสิงห์ ประตูภูสิงห์ และจุดสุดท้ายคือส้างร้อยบ่อ
จุดลงทะเบียนและชำระเงิน 500.- ต่อคัน จะมีรถให้บริการตลอดเวลาตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงประมาณ 5 หรือ 6 โมงเย็นเนี่ยแหล่ะ มีที่จอดรถสะดวกสบาย
จุดแรกคือ ลานธรรม
ระหว่างทางก็จะเป็นถนนออฟโรด ไปเรือย ๆ แต่ก็คุ้มค่า
หินวาฬพ่อ ช่วงนี้ (Covid-19) ขึ้นได้ไม่เกิน 50 คน
ทางไปหินวาฬแม่ หินทั้งสามก้อนนี้มีขนาดมหึมา แต่เราสามารถขึ้นได้แค่หินวาฬพ่อ และวาฬแม่เท่านั้น ส่วนวาฬลูกไม่มีทางไปและหลังเค้าเล็ก
ได้เวลาไปชมจุดที่น่าสนใจอื่น ๆ บ้าง เพราะพวกเรามีแพลนเดินทางไปวัดภูทอกต่อ หลังจากนี้ (มาไกลต้องไปให้ครบที่สุด)
กำแพงภูสิงห์
เขาหัวช้าง
ประตูภูสิงห์
ส้างร้อยบ่อ
ได้เวลาเดินทางไปวัดภูทอกต่อ คำนวณเวลาแล้วพอได้อยู่ ใครที่ผ่านถ้ำนาคามาแล้ว บอกเลยวัดภูทอกเด็ก ๆ แต่อาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่กลัวความสูง จริง ๆ ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวมากนะ วิวสวยดี ลมเย็นสบาย และแล้วพวกเราก็มาถึงภูทอกบ่ายสองครึ่ง
ชั้น 5 นี้สำคัญมาก เป็นที่ตั้งของพุทธวิหาร เป็นที่ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเสด็จมาดับขันธ์นิพพาน หลวงปู่ขาว อนาลโย บอก หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ เล่า เมื่อก่อนจะมีแผ่นไม้ด้านหน้าวิหารนี้ติดบอกเรื่องราวไว้เช่นนี้ ปัจจุบันตัวหนังสือหลุดหายหมดเลย คงเหลือแต่แผ่นไม้เปล่า ๆ
มองจากพุทธวิหาร ก็จะเห็นภูที่เมื่อกี๊เราเดินกันอยู่ ได้เวลาสมควรต้องสมควรซิ จะ 5 โมงเย็นละ ชักหนาว ๆ รีบลงดีกว่า วันนี้ก็หมดแค่นี้ พรุ่งนี้เช้าเริ่มต้นชีวิตใหม่ จะต้องกลับไปจัดแพลนสำหรับวันพรุ่งนี้ที่ตกหล่นมาจากวันก่อน ๆ จะได้ไม่เสียเที่ยว
Day 5 วัดอาฮงศิลาวาส แก่งอาฮง สะดือแม่น้ำโขง จุดที่ลึกที่สุดคือหน้าวัดอาองศิลาวาส กรมเจ้าท่าวัดความลึกได้ประมาณ 200 เมตร
จากข้อมูลแม่น้ำโขงมีความยาวประมาณสี่พันกว่ากิโลเมตร มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน และไหลผ่านพรมแดนต่าง ๆ ถึง 6 ประเทศ และจุดที่ลึกที่สุดก็อยู่บริเวณนี้ ยิ่งในช่วงฤดูฝนกระแสน้ำจะไหลเชี่ยวมาก จะหมุนวนจนเห็นเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่จนสามารถดูดท่อนซุงขนาดใหญ่ให้หายไปกับตาได้เลย
ท่อนซุงใหญ่บ้างเล็กบ้างที่เห็นอยู่นี่ เจ้าหน้าที่บอกว่าพระกับเณรช่วยกันเอาขึ้นมาจากแม่น้ำโขง แล้วก็มาเลื่อย ตัด ประดับวัดอย่างที่เห็น
ตรงข้ามคือแขวงบอลิคำไซ เมืองปากซัน ประเทศลาว
มาแล้วก็แวะกราบท่าน ศาลเจ้าแม่สองนาง ตั้งอยู่หน้าโรงพยาบาลบึงกาฬ
วันนี้ได้แค่นี้ ไม่อยากเหนื่อยเกินไปนัก เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ แต่เช้า
M i E คนอยากเล่า (July 2563)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้