กระทู้นี้อยากมาแชร์ การเคลมประกันอัคคีภัย ที่จริงๆ ก็ไม่ได้ไกลตัวแบบ บ้านไฟไหม้ ถึงได้ใช้อะไรขนาดนั้น
หลายคนก็มีกันอยู่แล้วเพราะโดนบังคับทำจากการขอสินเชื่อบ้าน วิธีการก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย หาช่างที่ไว้ใจได้เป็นขั้นตอนที่ยากกว่าเยอะ
ในกรมธรรม์อัคคีภัยส่วนใหญ่ จะมีหมวดคุ้มครอง "ภัยจากน้ำ/ภัยจากลมพายุ/ภัยจากน้ำท่วม" มาถึงจุดนี้ ใครมีประกันอยู่
ลองไปดูในกรมธรรม์ตัวเองก่อนเลยครับ ว่าครอบคลุมขนาดไหน วงเงินคุ้มครองภัยธรรมชาติพื้นฐานเท่าไหร่ (ของผม 20,000 บาท)
พออ่านปุ๊ป ส่วนตัวผมถึงบางอ้อเลยว่า ที่เคยซ่อมๆ ก่อนหน้านี้ ก็แจ้งเคลมได้นี่หว่า
ล่าสุดที่ลองไปคือ เหตุเกินจากพายุ หรือ ฝนตกหนัก ทำให้หลังคาพังไป 2 แผ่น เกิดผลต่อเนื่องจากนั้น คือ น้ำมาขังต่อที่ฝ้า ทำฝ้าถล่มต่อ
1) เมื่อเกิดเหตุ ก็โทรไปแจ้งเคลมกับทางประกัน โดย Call Center จะรับแจ้งเหตุ ก็จะต้องเล่าเหมือนเวลาเคลมรถชนประมาณนั้น
2) ทีนี้จะมีจนท.ติดต่อกลับมา ซึ่งผมสะดวกเป็นทางอีเมล์เพราะชัดเจนดีว่าเขาอยากได้ข้อมูลอะไร แล้วเราอยากแจ้งอะไร
3) จนท. จะขอเอกสารและรูปภาพดังต่อไปนี้ (*ตัวอย่างที่ถูกขอจากผู้ให้บริการประกันภัยรายนึงเท่านั้น แต่ละรายอาจจะขอไม่เหมือนกัน)
a. สำเนาบัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย /สำเนาทะเบียนบ้านบ้านหลังที่เกิดเหตุ
b. รูปถ่ายความเสียหายของสถานที่และทรัพย์สินที่ชัดเจน
- ภาพถ่ายบ้านเลขที่
- ภาพถ่ายหน้าบ้าน
- ภาพถ่ายทรัพย์สินที่เสียหาย (ปรากฏร่องรอยการช็อตไหม้)
- ภาพถ่ายอาคารที่เสียหาย เช่น ผนัง กำแพง ฝ้า (มุมกว้าง ครอบคลุมพื้นที่ทั้งห้อง ทั้งผนัง ทั้งฝ้า)
- ภาพถ่ายอาคารที่เสียหาย เช่น ผนัง กำแพง ฝ้า (มุมใกล้ เพื่อดูร่องรอยความเสียหาย)
c.ใบเสนอราคาค่าซ่อม/ใบเสร็จ โปรดระบุรายละเอียดการทำ, พื้นที่ และ ราคา พร้อมชื่อและเบอร์โทรช่าง (สามารถให้ช่างเขียนใส่กระดาษ A4 ได้)
เอกสารเหล่านี้ต้องส่งทั้งทางเมล์และไปรษณีย์ลงทะเบียนตามไปด้วยครับ
4) เมื่อส่งหลักฐาน ทางประกันจะใช้เวลาพิจารณาระยะนึง ของเคสผมประมาณเกือบ 10 วันทำการ
5) เคสผมประกันอนุมัติตามยอดในใบเสนอราคาไม่รวม VAT แล้วทางประกันจะเอาเอกสารให้เซ็นยอมรับค่าสินไหม กับขอเอกสารเพิ่มเติมเพื่อจะโอนเงินให้ เมื่อเซ็นกลับไปก็รอสักพักได้รับแจ้งว่าเงินจะเข้าวันไหน ไม่นานมาก
สรุปที่เคลมไป มูลค่าสูงกว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไปแล้วซะอีก
และก็สำหรับช่าง ถ้าเจ้าของบ้านยังไม่รู้อะไรตรงนี้ ก็ควรจะแนะนำเจ้าของบ้านให้เขาลองแจ้งเคลมดูนะครับ
เพราะมันจะ Win-Win คือ ช่างก็ได้คิดราคาแบบไม่โดนกดโดนต่อจนงานไม่ดี ตกคุณภาพ ส่วนเจ้าของบ้านก็เคลมได้
ประกันอัคคีภัย มีดีกว่า โอกาสเคลมใกล้ตัวกว่าที่คิด เช่น หลังคาฟังน้ำซึมน้ำรั่วฝ้าพังจากฝนตกพายุเข้า น้ำท่วมจากภายนอก ฯลฯ
หลายคนก็มีกันอยู่แล้วเพราะโดนบังคับทำจากการขอสินเชื่อบ้าน วิธีการก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย หาช่างที่ไว้ใจได้เป็นขั้นตอนที่ยากกว่าเยอะ
ในกรมธรรม์อัคคีภัยส่วนใหญ่ จะมีหมวดคุ้มครอง "ภัยจากน้ำ/ภัยจากลมพายุ/ภัยจากน้ำท่วม" มาถึงจุดนี้ ใครมีประกันอยู่
ลองไปดูในกรมธรรม์ตัวเองก่อนเลยครับ ว่าครอบคลุมขนาดไหน วงเงินคุ้มครองภัยธรรมชาติพื้นฐานเท่าไหร่ (ของผม 20,000 บาท)
พออ่านปุ๊ป ส่วนตัวผมถึงบางอ้อเลยว่า ที่เคยซ่อมๆ ก่อนหน้านี้ ก็แจ้งเคลมได้นี่หว่า
ล่าสุดที่ลองไปคือ เหตุเกินจากพายุ หรือ ฝนตกหนัก ทำให้หลังคาพังไป 2 แผ่น เกิดผลต่อเนื่องจากนั้น คือ น้ำมาขังต่อที่ฝ้า ทำฝ้าถล่มต่อ
1) เมื่อเกิดเหตุ ก็โทรไปแจ้งเคลมกับทางประกัน โดย Call Center จะรับแจ้งเหตุ ก็จะต้องเล่าเหมือนเวลาเคลมรถชนประมาณนั้น
2) ทีนี้จะมีจนท.ติดต่อกลับมา ซึ่งผมสะดวกเป็นทางอีเมล์เพราะชัดเจนดีว่าเขาอยากได้ข้อมูลอะไร แล้วเราอยากแจ้งอะไร
3) จนท. จะขอเอกสารและรูปภาพดังต่อไปนี้ (*ตัวอย่างที่ถูกขอจากผู้ให้บริการประกันภัยรายนึงเท่านั้น แต่ละรายอาจจะขอไม่เหมือนกัน)
- ภาพถ่ายบ้านเลขที่
- ภาพถ่ายหน้าบ้าน
- ภาพถ่ายทรัพย์สินที่เสียหาย (ปรากฏร่องรอยการช็อตไหม้)
- ภาพถ่ายอาคารที่เสียหาย เช่น ผนัง กำแพง ฝ้า (มุมกว้าง ครอบคลุมพื้นที่ทั้งห้อง ทั้งผนัง ทั้งฝ้า)
- ภาพถ่ายอาคารที่เสียหาย เช่น ผนัง กำแพง ฝ้า (มุมใกล้ เพื่อดูร่องรอยความเสียหาย)
c.ใบเสนอราคาค่าซ่อม/ใบเสร็จ โปรดระบุรายละเอียดการทำ, พื้นที่ และ ราคา พร้อมชื่อและเบอร์โทรช่าง (สามารถให้ช่างเขียนใส่กระดาษ A4 ได้)
เอกสารเหล่านี้ต้องส่งทั้งทางเมล์และไปรษณีย์ลงทะเบียนตามไปด้วยครับ
4) เมื่อส่งหลักฐาน ทางประกันจะใช้เวลาพิจารณาระยะนึง ของเคสผมประมาณเกือบ 10 วันทำการ
5) เคสผมประกันอนุมัติตามยอดในใบเสนอราคาไม่รวม VAT แล้วทางประกันจะเอาเอกสารให้เซ็นยอมรับค่าสินไหม กับขอเอกสารเพิ่มเติมเพื่อจะโอนเงินให้ เมื่อเซ็นกลับไปก็รอสักพักได้รับแจ้งว่าเงินจะเข้าวันไหน ไม่นานมาก
สรุปที่เคลมไป มูลค่าสูงกว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไปแล้วซะอีก
และก็สำหรับช่าง ถ้าเจ้าของบ้านยังไม่รู้อะไรตรงนี้ ก็ควรจะแนะนำเจ้าของบ้านให้เขาลองแจ้งเคลมดูนะครับ
เพราะมันจะ Win-Win คือ ช่างก็ได้คิดราคาแบบไม่โดนกดโดนต่อจนงานไม่ดี ตกคุณภาพ ส่วนเจ้าของบ้านก็เคลมได้