อยากจะถามความคิดเห็นทุกคนว่าครอบครัวแบบนี้มันยังเรียกว่าครอบครัวเหรอ เราไม่รู้จะพูดกับใครแล้ว จะพูดกับเพื่อนก็ไม่กล้า เวลาพูดกับแม่ แม่ก็บอกว่าเป็นปกติของครอบครัวแหละที่จะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง และแม่ก็จะบอกให้อดทน ทุกคนเลี้ยงมา มีบุญคุณ เราไม่ควรทำตัวแบบนี้ และแสดงออกอย่างก้าวร้าวว่าไม่ชอบนิสัยของคนในครอบครัว
ก่อนอื่น ขอเล่าให้ฟังก่อนว่าปัจจุบัน ครอบครัวเรามีด้วยกัน 4 คนคือ แม่ เรา ป้า และยาย และแม่เลิกกับพ่อตั้งแต่ตอนเราจะจำความได้ แต่ปัญหาก็คือ เรารู้สึกว่า ป้ากับยายเป็นคนที่อยู่ด้วยยาก และมันทำให้เราไม่ชอบที่จะอยู่กับเค้า และเจอหน้าเค้าเลย จะเล่าให้ฟังว่าทำไม
ขอท้าวความไปในอดีต เมื่อก่อนยายจะอยู่กับป้าที่บ้านของยาย ซึ่งป้าเพิ่งย้ายมาช่วงก่อนหน้านั้นประมาณสักไม่เกิน 5 ปี ถ้าจำไม่ผิด เพราะเรายังเด็ก เพราะป้าเลิกกับสามีของป้า ซึ่งตั้งแต่ป้าเลิกกับสามีคนนั้น ป้าก็เหมือนไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไรในชีวิตอีกแล้ว นอกจากต้องการดูแลยาย ซึ่งนั่นละคือปัญหา เหมือนป้าแค่อยู่ไปวันๆ ส่วนแม่เปิดร้านที่เป็นหุ้นส่วนกับยาย และป้า และพักอาศัยอยู่ที่ร้าน แต่ช่วงก่อนป้าย้ายมาอยู่บ้านยาย แม่ก็อยู่ดูแลยายที่บ้านยาย (ซึ่งขอแอบเปรยว่าตอนนั้นตอนแม่อยู่กับยายแค่นั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไรแบบที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นที่กำลังจะเล่าเลย)และป้ากับยายก็จะแวะไปที่ร้านทุกวัน
ช่วงนั้นแม่ได้คบแฟนคนหนึ่ง ตอนสัญญาเช่าร้านแรกที่เปิดใกล้หมด แม่ได้ไปเช่าที่อีกที่หนึ่ง และเปิดอีกร้าน ซึ่งตอนแรกจะหุ้นกับแฟนของแม่ และได้ชวนยายกับป้ามาหุ้นด้วย แต่ยายและป้าปฏิเสธอย่างชัดเจนตอนแรกว่าจะไม่ทำ เพราะทำเลของร้านที่ใหม่ไม่ค่อยจะดีนัก แต่พอยายนึกขึ้นได้ว่าสัญญาร้านแรกจะหมด แล้วป้าจะไม่มีงานให้ทำต่อไป ก็เลยบอกให้ป้าหุ้นต่อไป นอกจากนี้ แม่ยังมอบหุ้นให้ยายฟรีจำนวนหนึ่ง เพราะตอนแรกแม่ได้ลงทุนไปแล้วเป็นจำนวนเยอะ ก่อนยายกับป้าจะเปลี่ยนใจมาตกลงถือหุ้นด้วย แต่ก็ไม่ได้บอกยายให้ชัดเจนว่าให้หุ้นเกินไป ซึ่งยายก็ไม่ได้ appreciate ใด ๆ และแม่ก็บอกเราว่าห้ามบอกยาย ส่วนเรื่องที่ยายให้ป้ามาถือหุ้นที่ร้านใหม่ด้วยนั่นเป็นปัญหาอีกแล้ว เพราะป้าก็ทำตามความต้องการของยาย และก็คิดเพียงว่านี่คือร้านของแม่ ก็แค่ช่วย ๆ ไป และไม่ได้มีความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรขนาดนั้น ก็แค่แวะเข้ามาทีร้าน ดูแลร้าน แล้วก็ปิดแล้วก็กลับบ้านยาย ในขณะที่ ในขณะที่ แม่ทำงาน "ทุกขั้นตอนของการทำงานที่ร้าน" เนื่องจากจ้างพนักงานแค่คนเดียวในร้านใหม่นะคะ ร้านเดิมไม่ได้จ้างพนักงาน ทำกันเอง และช่วงนั้น ยังเปิดทั้ง 2 ร้าน ซึ่งป้ากับยายจะดูร้านหนึ่ง ส่วนแม่จะดู 2 ร้านควบคู่กัน โดยอีกร้านใหม่ให้พนักงานดูเป็นหลัก ยกตัวอย่างนะคะ แม่ทำทุกอย่างตั้งแต่ตอนเปิดร้าน ติดต่อทำสัญญาเช่าร้านเอง คิดรูปแบบร้าน ติดต่อช่างเข้ามาตกแต่งร้าน จัดหาชั้นวางสินค้าในร้าน และอุปกรณ์ทุกอย่างในร้าน แถมบางทีทำงานการช่างเองด้วย ซึ่งบางที่ก็ช่วยกันกับแฟนของแม่ ซึ่งแม่ไม่ได้ทำเป็นมาก่อนนะคะแม่ก็ศึกษาผ่านinternet และคอยจำจากพวกช่างที่แม่จ้างมาทำ ซึ่งเอาจริง ๆ แม่ทำงานช่างได้มากกว่าแฟนแม่ และแม่ต้องคอยบอกพวกรายละเอียดทุกอย่างกับแฟนแม่แล้วให้แฟนช่วยทำงานที่หนักหรือทำเองไม่ได้ แต่จริงๆคือแม่ทำเองได้ทุกอย่างเลย เช่น ตอกตะปู เจาะสว่าน ติดหลอดไฟที่เพดานอะไรแบบนี้ คือแม่เป็นคนมีความพยายามและตั้งใจทำมันให้ได้จริง ๆ หลังจากเปิดร้าน แล้วมีการสั่งสินค้ามาแต่ละรอบ แม่ยังเป็นคนหาสินค้าที่น่าสนใจมากขายที่ร้าน เป็นคนติดต่อสั่งสินค้าออนไลน์ หรือไม่ก็เป็นคนเข้ากรุงเทพเพื่อไปเดินที่ขายส่งเพื่อหาสินค้ามาขายเองกับแฟนของแม่ ซึ่งบางครั้งเราก็ไป ขอบอกว่ามันเหนื่อยมาก แต่ก็มีบางครั้งที่ป้าไปกับแม่ด้วยนะ แต่ประมาณไม่ถึง 3 ครั้ง เพราะมันร้อน เหนื่อย และแม่เห็นใจป้า รวมทั้งแม่ให้ป้าอยู่เฝ้าร้าน นอกจากนั้นแม่ยังเป็นคนเช็กสต็อคสินค้าที่นำมาขาย และทำระบบสต็อคสินค้าในร้าน ตั้งราคาสินค้า ติดป้ายราคาสินค้า
จัดวางของหน้าร้าน ซึ่งแม่ต้องเป็นคนที่ริเริ่มที่จะทำ แล้วค่อยให้ พนักงาน และป้าเป็นคนมาช่วย พวกแบบติดป้ายราคาอะไรแบบนี้
ส่วนในปกติทุกวัน แม่ยังต้อง เปิดร้าน กวาดขยะที่ร้าน เช็ด ปัดฝุ่นที่ร้าน ขายสินค้า แล้วยังต้องปิดร้าน จากนั้นยังไม่พอ! เนื่องจากที่ร้านเป็นร้านขายของ handmade ด้วย เพราะงั้น แม่จะยังต้องทำสินค้า handmade ซึ่งบางทีก็ไปศึกษาวิธีทำในinternet มาผ่านการดูรูป ดูคลิปต่าง ๆ แล้วมาทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่ชอบทำอยู่แล้วแหละ แต่ว่าบางทีแม่ก็ทำหนักเกินไป จนถึงดึกดื่น ดึกดื่นคือแบบถึงตี 2 ตี 3 ซึ่งจริง ๆ ร้านปิดประมาณ 3 - 5 ทุ่ม แล้วแต่ความหนาแน่นของลูกค้าในช่วงเวลานั้นนะคะ และพอร้านปิด ป้าก็กลับไปบ้าน ไปเล่นอะไรของป้า และนอนแล้ว แต่ยายก็ไม่ได้รู้สึกว่าแม่เราพยายามทำงาน และตั้งใจทำงานมากๆนะคะ ยายมองแค่ว่า แม่อยากนอนดึกเอง ซึ่งตรงนี้เรารู้สึกแย่แทนแม่จริงๆ นะ เพราะยายรักลูกไม่เท่ากันเลย
สิ่งที่ป้าเราชอบกลับไปและทำก่อนนอนก็คือ ชอบเล่นโทรศัพท์ หรือคอมนี่ละค่ะ ชอบดูหนัง ชอบเล่นเฟส ชอบเข้ากลุ่มกับคนที่เค้าชอบในสิ่งเดียวกับป้า เพื่อสืบเสาะเกี่ยวกับความเชื่อที่งมงายของป้า และสืบเสาะเรื่องการเมืองเพื่อมาคุยกับยาย เพราะอัพเดตยายอย่างเมามันและออกรส ซึ่งยายกับป้าคือคุยกันถูกคอ ในขณะที่แม่เราไม่ได้อิน 2 เรื่องที่ป้าเราชอบ และพายายไปงมงายด้วยคือ
1. เรื่องพวกคำนายว่าโลกจะแตก หรือว่าจะเกิดภัยภิบัติ โดยป้าจะติดตามเรื่องคำทำนาย และติดตามสถานการณ์ของภัยภิบัติตลอดเวลา จนจะให้ทุกคนเกือบต้องย้ายที่อยู่ไปอยู่ที่อีกภาคที่ไกลมากจากที่อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งยายก็เห็นดีเห็นงาม และพวกเราไปดูที่ดินกันแล้ว และเราเกือบต้องย้ายโรงเรียนไปที่ภาคอีสาน! เพราะแม่ก็ชอบที่จะ please ทุกคน ตามใจทุกคน ไม่เคยจะกล้าขัดคอใครที่เห็นต่าง ทั้งที่สุดท้ายมันไม่ได้เกิดขึ้น แต่ป้าก็เฉยๆ เนียนๆ ไปทั้งที่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนทำหลายๆสิ่งตามที่เค้าต้องการ นอกจากนั้น ที่บ้านมีสวนอยู่ และเนื่องจากกลัวภัยภิบัติแถวบ้านมาก ป้าเลยชวนยายไปสร้างบ้านที่สวนที่อยู่ไกลออกไประยะหนึ่ง ซึ่งยายต้องปรับหน้าดินที่สวนและทำทุกอย่างพร้อมสร้างบ้านตรงนั้น ซึ่งเสียทั้งเงินทุน เสียทั้งเวลา โดยไม่ได้ถามความคิดเห็นแม่ แม้แต่คำเดียว เพราะยายเข้าใจเพียงว่า ป้ากับยายรู้ใจกัน แม่คงไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายตอนนั้นยังไม่ได้สร้างนะคะ
2. เรื่องการเมือง ช่วงที่การเมืองเดือด ๆ เสื้อแดง เสื้อเหลือง ป้าเราเป็นตัวการสำคัญ อยากให้ยายมีอะไรทำ เลยแนะนำให้ยายเสพสื่อการเมือง ที่ฟังความข้างเดียว ขอไม่บอกว่าฝั่งไหน แต่มีช่วงที่เราไปนอนกับยายทุกๆคืน ยายก็จะเปิดหน้าเว็บไซต์ที่เป็นของฝั่งหนึ่งของการเมืองคุยกัน เหมือนเป็นหน้าบอร์ดกระทู้ นอกจากนั้น ยายยังดูทีวีของฝั่งนั้นฝั่งเดียว และฟังปราศัยตลอด ซึ่งยายอินมากๆ และด่าอีกฝั่งอย่างรุนแรง โดยไม่ได้ฟังความอีกฝั่งเลย คือหลับหูหลับตาเชื่อทุกอย่างที่เสพ เพราะป้าเอามาให้เสพ ซึ่งแม่เราไม่ค่อยชอบ และเอาจริงๆคือช่วงนั้นเรายังเด็ก เราก็อินไปกับยายบ้าง แล้วก็คิดว่าที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวคิดมันถูกเสมอ เราก็เชื่อมาตลอดว่านั่นคือถูกต้อง มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่เลย ยายคือหลับหูหลับตาเชื่อไปเลย และอินกับมันมาก โดยเกินเหตุ แต่แม่ก็เคยบอกเราว่าไม่เป็นไรหรอก ยายจะได้มีอะไรทำ ซึ่งสิ่งนี้แหละเราว่าเป็นเหมือนสิ่งที่ส่งผลกระทบให้ยายเราเป็นคนชอบด่าคนอื่นแรง ๆ และเป็นคนก้าวร้าวมากๆ
กับสิ่งที่ป้าสนใจ ป้าจะเร็วมากๆ และทันเหตุการณ์ตลอด เพราะเป็นสิ่งที่ชอบ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นป้าจะไม่ทำ เช่นหาของมาขายที่ร้าน หรืออะไรแบบนี้ เค้าทำไม่เป็น คืองงมาก เพราะแม่ก็ไม่ได้ทำเป็นมาตั้งแต่แรก แต่ก็เรียนรู้เอา
เมื่อก่อนตอนแม่ไม่ได้ปลงเหมือนตอนนี้ ตอนนี้หมายตอนนี้ที่เขียนอยู่ เหตุการณ์ที่เขียนนี้ผ่านมาหลายปีมากๆแล้ว แต่มันจะเรื้อรัง ช่วงตอนเปิดร้าน ตอนย้ายกลับมาอยู่บ้านยาย แม่ก็ไม่ใช่คนยอมอะไรขนาดนี้ แม่ก็ยังแขวะๆป้า แต่ยายจะเข้าข้างป้าเสมอ และเอาแต่กลัวว่าพี่น้องจะทะเลาะกัน แต่ไม่เคยคิดจะแก้ปัญหา พอทะเลาะกันเสร็จ ป้าก็ไม่เคยปรับปรุงตัว ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง นี่แสดงว่าไม่เคยเก็บคำพูดคนอื่นไปคิดแล้วมองดูตัวเองเลยว่าตัวเองเป็นอย่างที่คนอื่นพูดจริงๆ และตัวเองผิดอะไร เค้าคิดเสมอว่าตัวเองถูก ตัวอย่างเหตุการณ์คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่ก็คงทนไม่ไหว แม่เห็นว่าป้าชอบทำอะไร แม่เลยบอกเอาเวลาที่ดูอะไรที่มันไม่มีสาระในเวลาทำงาน ป้าน่าจะเอาเวลามาเรียนรู้วิธีทำสินค้า handmade เหมือนที่แม่นั่งทำ ทั้งตอนเปิดร้านเวลาไม่มีลูกค้า และตอนกลางคืนดึกๆ ดีกว่ามั๊ย จนทะเลาะกันใหญ่โต จนยายต้องปิดหน้าต่างกลัวข้างบ้านได้ยิน ซึ่งยายก็คงมองว่าแม่รังแกป้า
แต่สิ่งที่แม่ไม่ได้ทำ และป้าเป็นคนทำให้ยายคือ ป้าอยู่ที่บ้านกับยายตลอด เป็นคนซักผ้า ตากผ้า รีดผ้าให้ยาย พายายไปหาหมอ ดูแลตลอดเวลา นอกจากนี้ ยายมีพื้นที่ในสวนอยู่ ป้าก็เป็นคนพายายไปดูสวนตลอด และพายายเอายางพาราที่สวนไปขาย จุดนี้คงทำให้ยายคิดด้วยแหละค่ะว่าป้ารักยายมากๆ และแม่ไม่เห็นจะเคยทำอะไรแบบนี้ให้ยายเลย
ส่วนสิ่งที่ป้าเราทำที่ร้านคือ เข้ามาที่ร้านช่วงเย็น มีอยู่ช่วงนึงที่ลูกค้าเยอะช่วงกลางวัน ก็จะเปิดร้านกลางวัน แล้วป้าจะเข้ามาร้านตอนเปิดร้านด้วย สิ่งที่ป้าทำที่ร้านคือเปิดร้านกับแม่ ช่วยกวาดขยะ ปัดฝุ่นบ้าง จัดของบ้าง แล้วก็ขายของ พอคนเริ่มซา ก็กลับ บางทีก็กลับก่อนปิดร้าน เพราะแม่อยากให้ยายได้กลับไปนอนเร็วๆ ในช่วงที่ป้าทำอะไรที่ร้าน ป้าจะมีโลกส่วนตัวสูงมาก ชอบที่จะใส่หูฟังแล้วฟังเพลงไปด้วยระหว่างกวาดขยะ หรือเช็ดฝุ่นอะไรแบบนี้ ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าไม่ควรทำ แต่ว่าแค่แปลกเล็กน้อยที่เค้าทำแบบนั้น นอกจากนั้น เวลาว่างๆ เค้าก็เล่นโทรศัพท์หนักมากๆ ซึ่งไม่รู้ว่าดูอะไร แต่น่าจะเป็นสิ่งที่เค้าสนใจ ไม่ได้ให้ความใส่ใจอะไรกับร้านนะคะ
เดี๋ยวมาต่อข้างล่างนะคะ
ช่วยด้วย จะทำยังไงให้ไม่เกลียดคนในครอบครัวไปมากกว่านี้
ก่อนอื่น ขอเล่าให้ฟังก่อนว่าปัจจุบัน ครอบครัวเรามีด้วยกัน 4 คนคือ แม่ เรา ป้า และยาย และแม่เลิกกับพ่อตั้งแต่ตอนเราจะจำความได้ แต่ปัญหาก็คือ เรารู้สึกว่า ป้ากับยายเป็นคนที่อยู่ด้วยยาก และมันทำให้เราไม่ชอบที่จะอยู่กับเค้า และเจอหน้าเค้าเลย จะเล่าให้ฟังว่าทำไม
ขอท้าวความไปในอดีต เมื่อก่อนยายจะอยู่กับป้าที่บ้านของยาย ซึ่งป้าเพิ่งย้ายมาช่วงก่อนหน้านั้นประมาณสักไม่เกิน 5 ปี ถ้าจำไม่ผิด เพราะเรายังเด็ก เพราะป้าเลิกกับสามีของป้า ซึ่งตั้งแต่ป้าเลิกกับสามีคนนั้น ป้าก็เหมือนไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไรในชีวิตอีกแล้ว นอกจากต้องการดูแลยาย ซึ่งนั่นละคือปัญหา เหมือนป้าแค่อยู่ไปวันๆ ส่วนแม่เปิดร้านที่เป็นหุ้นส่วนกับยาย และป้า และพักอาศัยอยู่ที่ร้าน แต่ช่วงก่อนป้าย้ายมาอยู่บ้านยาย แม่ก็อยู่ดูแลยายที่บ้านยาย (ซึ่งขอแอบเปรยว่าตอนนั้นตอนแม่อยู่กับยายแค่นั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไรแบบที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นที่กำลังจะเล่าเลย)และป้ากับยายก็จะแวะไปที่ร้านทุกวัน
ช่วงนั้นแม่ได้คบแฟนคนหนึ่ง ตอนสัญญาเช่าร้านแรกที่เปิดใกล้หมด แม่ได้ไปเช่าที่อีกที่หนึ่ง และเปิดอีกร้าน ซึ่งตอนแรกจะหุ้นกับแฟนของแม่ และได้ชวนยายกับป้ามาหุ้นด้วย แต่ยายและป้าปฏิเสธอย่างชัดเจนตอนแรกว่าจะไม่ทำ เพราะทำเลของร้านที่ใหม่ไม่ค่อยจะดีนัก แต่พอยายนึกขึ้นได้ว่าสัญญาร้านแรกจะหมด แล้วป้าจะไม่มีงานให้ทำต่อไป ก็เลยบอกให้ป้าหุ้นต่อไป นอกจากนี้ แม่ยังมอบหุ้นให้ยายฟรีจำนวนหนึ่ง เพราะตอนแรกแม่ได้ลงทุนไปแล้วเป็นจำนวนเยอะ ก่อนยายกับป้าจะเปลี่ยนใจมาตกลงถือหุ้นด้วย แต่ก็ไม่ได้บอกยายให้ชัดเจนว่าให้หุ้นเกินไป ซึ่งยายก็ไม่ได้ appreciate ใด ๆ และแม่ก็บอกเราว่าห้ามบอกยาย ส่วนเรื่องที่ยายให้ป้ามาถือหุ้นที่ร้านใหม่ด้วยนั่นเป็นปัญหาอีกแล้ว เพราะป้าก็ทำตามความต้องการของยาย และก็คิดเพียงว่านี่คือร้านของแม่ ก็แค่ช่วย ๆ ไป และไม่ได้มีความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรขนาดนั้น ก็แค่แวะเข้ามาทีร้าน ดูแลร้าน แล้วก็ปิดแล้วก็กลับบ้านยาย ในขณะที่ ในขณะที่ แม่ทำงาน "ทุกขั้นตอนของการทำงานที่ร้าน" เนื่องจากจ้างพนักงานแค่คนเดียวในร้านใหม่นะคะ ร้านเดิมไม่ได้จ้างพนักงาน ทำกันเอง และช่วงนั้น ยังเปิดทั้ง 2 ร้าน ซึ่งป้ากับยายจะดูร้านหนึ่ง ส่วนแม่จะดู 2 ร้านควบคู่กัน โดยอีกร้านใหม่ให้พนักงานดูเป็นหลัก ยกตัวอย่างนะคะ แม่ทำทุกอย่างตั้งแต่ตอนเปิดร้าน ติดต่อทำสัญญาเช่าร้านเอง คิดรูปแบบร้าน ติดต่อช่างเข้ามาตกแต่งร้าน จัดหาชั้นวางสินค้าในร้าน และอุปกรณ์ทุกอย่างในร้าน แถมบางทีทำงานการช่างเองด้วย ซึ่งบางที่ก็ช่วยกันกับแฟนของแม่ ซึ่งแม่ไม่ได้ทำเป็นมาก่อนนะคะแม่ก็ศึกษาผ่านinternet และคอยจำจากพวกช่างที่แม่จ้างมาทำ ซึ่งเอาจริง ๆ แม่ทำงานช่างได้มากกว่าแฟนแม่ และแม่ต้องคอยบอกพวกรายละเอียดทุกอย่างกับแฟนแม่แล้วให้แฟนช่วยทำงานที่หนักหรือทำเองไม่ได้ แต่จริงๆคือแม่ทำเองได้ทุกอย่างเลย เช่น ตอกตะปู เจาะสว่าน ติดหลอดไฟที่เพดานอะไรแบบนี้ คือแม่เป็นคนมีความพยายามและตั้งใจทำมันให้ได้จริง ๆ หลังจากเปิดร้าน แล้วมีการสั่งสินค้ามาแต่ละรอบ แม่ยังเป็นคนหาสินค้าที่น่าสนใจมากขายที่ร้าน เป็นคนติดต่อสั่งสินค้าออนไลน์ หรือไม่ก็เป็นคนเข้ากรุงเทพเพื่อไปเดินที่ขายส่งเพื่อหาสินค้ามาขายเองกับแฟนของแม่ ซึ่งบางครั้งเราก็ไป ขอบอกว่ามันเหนื่อยมาก แต่ก็มีบางครั้งที่ป้าไปกับแม่ด้วยนะ แต่ประมาณไม่ถึง 3 ครั้ง เพราะมันร้อน เหนื่อย และแม่เห็นใจป้า รวมทั้งแม่ให้ป้าอยู่เฝ้าร้าน นอกจากนั้นแม่ยังเป็นคนเช็กสต็อคสินค้าที่นำมาขาย และทำระบบสต็อคสินค้าในร้าน ตั้งราคาสินค้า ติดป้ายราคาสินค้า
จัดวางของหน้าร้าน ซึ่งแม่ต้องเป็นคนที่ริเริ่มที่จะทำ แล้วค่อยให้ พนักงาน และป้าเป็นคนมาช่วย พวกแบบติดป้ายราคาอะไรแบบนี้
ส่วนในปกติทุกวัน แม่ยังต้อง เปิดร้าน กวาดขยะที่ร้าน เช็ด ปัดฝุ่นที่ร้าน ขายสินค้า แล้วยังต้องปิดร้าน จากนั้นยังไม่พอ! เนื่องจากที่ร้านเป็นร้านขายของ handmade ด้วย เพราะงั้น แม่จะยังต้องทำสินค้า handmade ซึ่งบางทีก็ไปศึกษาวิธีทำในinternet มาผ่านการดูรูป ดูคลิปต่าง ๆ แล้วมาทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่ชอบทำอยู่แล้วแหละ แต่ว่าบางทีแม่ก็ทำหนักเกินไป จนถึงดึกดื่น ดึกดื่นคือแบบถึงตี 2 ตี 3 ซึ่งจริง ๆ ร้านปิดประมาณ 3 - 5 ทุ่ม แล้วแต่ความหนาแน่นของลูกค้าในช่วงเวลานั้นนะคะ และพอร้านปิด ป้าก็กลับไปบ้าน ไปเล่นอะไรของป้า และนอนแล้ว แต่ยายก็ไม่ได้รู้สึกว่าแม่เราพยายามทำงาน และตั้งใจทำงานมากๆนะคะ ยายมองแค่ว่า แม่อยากนอนดึกเอง ซึ่งตรงนี้เรารู้สึกแย่แทนแม่จริงๆ นะ เพราะยายรักลูกไม่เท่ากันเลย
สิ่งที่ป้าเราชอบกลับไปและทำก่อนนอนก็คือ ชอบเล่นโทรศัพท์ หรือคอมนี่ละค่ะ ชอบดูหนัง ชอบเล่นเฟส ชอบเข้ากลุ่มกับคนที่เค้าชอบในสิ่งเดียวกับป้า เพื่อสืบเสาะเกี่ยวกับความเชื่อที่งมงายของป้า และสืบเสาะเรื่องการเมืองเพื่อมาคุยกับยาย เพราะอัพเดตยายอย่างเมามันและออกรส ซึ่งยายกับป้าคือคุยกันถูกคอ ในขณะที่แม่เราไม่ได้อิน 2 เรื่องที่ป้าเราชอบ และพายายไปงมงายด้วยคือ
1. เรื่องพวกคำนายว่าโลกจะแตก หรือว่าจะเกิดภัยภิบัติ โดยป้าจะติดตามเรื่องคำทำนาย และติดตามสถานการณ์ของภัยภิบัติตลอดเวลา จนจะให้ทุกคนเกือบต้องย้ายที่อยู่ไปอยู่ที่อีกภาคที่ไกลมากจากที่อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งยายก็เห็นดีเห็นงาม และพวกเราไปดูที่ดินกันแล้ว และเราเกือบต้องย้ายโรงเรียนไปที่ภาคอีสาน! เพราะแม่ก็ชอบที่จะ please ทุกคน ตามใจทุกคน ไม่เคยจะกล้าขัดคอใครที่เห็นต่าง ทั้งที่สุดท้ายมันไม่ได้เกิดขึ้น แต่ป้าก็เฉยๆ เนียนๆ ไปทั้งที่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนทำหลายๆสิ่งตามที่เค้าต้องการ นอกจากนั้น ที่บ้านมีสวนอยู่ และเนื่องจากกลัวภัยภิบัติแถวบ้านมาก ป้าเลยชวนยายไปสร้างบ้านที่สวนที่อยู่ไกลออกไประยะหนึ่ง ซึ่งยายต้องปรับหน้าดินที่สวนและทำทุกอย่างพร้อมสร้างบ้านตรงนั้น ซึ่งเสียทั้งเงินทุน เสียทั้งเวลา โดยไม่ได้ถามความคิดเห็นแม่ แม้แต่คำเดียว เพราะยายเข้าใจเพียงว่า ป้ากับยายรู้ใจกัน แม่คงไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายตอนนั้นยังไม่ได้สร้างนะคะ
2. เรื่องการเมือง ช่วงที่การเมืองเดือด ๆ เสื้อแดง เสื้อเหลือง ป้าเราเป็นตัวการสำคัญ อยากให้ยายมีอะไรทำ เลยแนะนำให้ยายเสพสื่อการเมือง ที่ฟังความข้างเดียว ขอไม่บอกว่าฝั่งไหน แต่มีช่วงที่เราไปนอนกับยายทุกๆคืน ยายก็จะเปิดหน้าเว็บไซต์ที่เป็นของฝั่งหนึ่งของการเมืองคุยกัน เหมือนเป็นหน้าบอร์ดกระทู้ นอกจากนั้น ยายยังดูทีวีของฝั่งนั้นฝั่งเดียว และฟังปราศัยตลอด ซึ่งยายอินมากๆ และด่าอีกฝั่งอย่างรุนแรง โดยไม่ได้ฟังความอีกฝั่งเลย คือหลับหูหลับตาเชื่อทุกอย่างที่เสพ เพราะป้าเอามาให้เสพ ซึ่งแม่เราไม่ค่อยชอบ และเอาจริงๆคือช่วงนั้นเรายังเด็ก เราก็อินไปกับยายบ้าง แล้วก็คิดว่าที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวคิดมันถูกเสมอ เราก็เชื่อมาตลอดว่านั่นคือถูกต้อง มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่เลย ยายคือหลับหูหลับตาเชื่อไปเลย และอินกับมันมาก โดยเกินเหตุ แต่แม่ก็เคยบอกเราว่าไม่เป็นไรหรอก ยายจะได้มีอะไรทำ ซึ่งสิ่งนี้แหละเราว่าเป็นเหมือนสิ่งที่ส่งผลกระทบให้ยายเราเป็นคนชอบด่าคนอื่นแรง ๆ และเป็นคนก้าวร้าวมากๆ
กับสิ่งที่ป้าสนใจ ป้าจะเร็วมากๆ และทันเหตุการณ์ตลอด เพราะเป็นสิ่งที่ชอบ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นป้าจะไม่ทำ เช่นหาของมาขายที่ร้าน หรืออะไรแบบนี้ เค้าทำไม่เป็น คืองงมาก เพราะแม่ก็ไม่ได้ทำเป็นมาตั้งแต่แรก แต่ก็เรียนรู้เอา
เมื่อก่อนตอนแม่ไม่ได้ปลงเหมือนตอนนี้ ตอนนี้หมายตอนนี้ที่เขียนอยู่ เหตุการณ์ที่เขียนนี้ผ่านมาหลายปีมากๆแล้ว แต่มันจะเรื้อรัง ช่วงตอนเปิดร้าน ตอนย้ายกลับมาอยู่บ้านยาย แม่ก็ไม่ใช่คนยอมอะไรขนาดนี้ แม่ก็ยังแขวะๆป้า แต่ยายจะเข้าข้างป้าเสมอ และเอาแต่กลัวว่าพี่น้องจะทะเลาะกัน แต่ไม่เคยคิดจะแก้ปัญหา พอทะเลาะกันเสร็จ ป้าก็ไม่เคยปรับปรุงตัว ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง นี่แสดงว่าไม่เคยเก็บคำพูดคนอื่นไปคิดแล้วมองดูตัวเองเลยว่าตัวเองเป็นอย่างที่คนอื่นพูดจริงๆ และตัวเองผิดอะไร เค้าคิดเสมอว่าตัวเองถูก ตัวอย่างเหตุการณ์คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่ก็คงทนไม่ไหว แม่เห็นว่าป้าชอบทำอะไร แม่เลยบอกเอาเวลาที่ดูอะไรที่มันไม่มีสาระในเวลาทำงาน ป้าน่าจะเอาเวลามาเรียนรู้วิธีทำสินค้า handmade เหมือนที่แม่นั่งทำ ทั้งตอนเปิดร้านเวลาไม่มีลูกค้า และตอนกลางคืนดึกๆ ดีกว่ามั๊ย จนทะเลาะกันใหญ่โต จนยายต้องปิดหน้าต่างกลัวข้างบ้านได้ยิน ซึ่งยายก็คงมองว่าแม่รังแกป้า
แต่สิ่งที่แม่ไม่ได้ทำ และป้าเป็นคนทำให้ยายคือ ป้าอยู่ที่บ้านกับยายตลอด เป็นคนซักผ้า ตากผ้า รีดผ้าให้ยาย พายายไปหาหมอ ดูแลตลอดเวลา นอกจากนี้ ยายมีพื้นที่ในสวนอยู่ ป้าก็เป็นคนพายายไปดูสวนตลอด และพายายเอายางพาราที่สวนไปขาย จุดนี้คงทำให้ยายคิดด้วยแหละค่ะว่าป้ารักยายมากๆ และแม่ไม่เห็นจะเคยทำอะไรแบบนี้ให้ยายเลย
ส่วนสิ่งที่ป้าเราทำที่ร้านคือ เข้ามาที่ร้านช่วงเย็น มีอยู่ช่วงนึงที่ลูกค้าเยอะช่วงกลางวัน ก็จะเปิดร้านกลางวัน แล้วป้าจะเข้ามาร้านตอนเปิดร้านด้วย สิ่งที่ป้าทำที่ร้านคือเปิดร้านกับแม่ ช่วยกวาดขยะ ปัดฝุ่นบ้าง จัดของบ้าง แล้วก็ขายของ พอคนเริ่มซา ก็กลับ บางทีก็กลับก่อนปิดร้าน เพราะแม่อยากให้ยายได้กลับไปนอนเร็วๆ ในช่วงที่ป้าทำอะไรที่ร้าน ป้าจะมีโลกส่วนตัวสูงมาก ชอบที่จะใส่หูฟังแล้วฟังเพลงไปด้วยระหว่างกวาดขยะ หรือเช็ดฝุ่นอะไรแบบนี้ ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าไม่ควรทำ แต่ว่าแค่แปลกเล็กน้อยที่เค้าทำแบบนั้น นอกจากนั้น เวลาว่างๆ เค้าก็เล่นโทรศัพท์หนักมากๆ ซึ่งไม่รู้ว่าดูอะไร แต่น่าจะเป็นสิ่งที่เค้าสนใจ ไม่ได้ให้ความใส่ใจอะไรกับร้านนะคะ
เดี๋ยวมาต่อข้างล่างนะคะ