Western Hognose
งูฮ็อกโนสหรืองูจมูกหมู มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่แถบอเมริกาเหนือ ที่มาของชื่อมาจากจมูกที่เหินขึ้นไม่เหมือนกับงูชนิดอื่นๆ เป็นงูในธรรมชาติที่มีกลไกการป้องกันตัวสุดแปลกแหวกแนวและผิดธรรมชาติของงู ยกตัวอย่างเช่น งูชนิดนี้สามารถแกล้งแผ่แม้เบี้ยได้ จึงทำให้สัตว์ชนิดอื่นๆคิดว่ามันมีพิษและไม่ไปยุ่งกับมัน
นอกจากนั้น ยังสามารถให้หางสั่นตามพื้นได้ ด้วยเกล็ดที่ค่อนข้างหยาบ พอเวลาเอาหางไปถูกกับพื้นเร็วๆก็จะเกิดเสียงที่คล้ายกับงูหางกระดิ่งขึ้นมา จึงทำให้นักล่าร่นถอยไปอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายคือ การแกล้งตาย งูจมูกหมูสามารถแกล้งตายได้โดยการหงายท้องขึ้นให้เห็นลายท้องที่มีสีดำเสมือนเหยื่อที่เน่าไปแล้ว และยังเปิดปากเอาลิ้นห้อยออกมาข้างนอก กับสามารถปล่อยกลิ่นเหม็นได้ ทำให้นักล่าหลายๆชนิดคิดว่ามันตายแล้ว (นักล่าในธรรมชาติส่วนใหญ่ไม่กินของเน่าเสีย) และกลเม็ดนี้เองที่ทำให้มันรอดพ้นจากศัตรูได้ดีที่สุด
งูจมูกหมูเป็นงูพิษอ่อนเขี้ยวหลัง ซึ่งในการเลี้ยงนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะโดนมันฝังเขี้ยวพิษลงไป เพราะการที่มันจะฝังเขี้ยวพิษลงไปได้นั้น หมายความว่ามันต้องกลืนนิ้วของคุณลงไปทั้งนิ้วเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นถ้าแค่เกิดการฉกกัดปกติก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เนื่องจากพิษของงูจมูกหมูนั้นอ่อนมากและไม่เป็นอันตรายกับคน จึงถูกมนุษย์นำมาพัฒนาสายพันธุ์และเลี้ยงดูจนเกิดสีสันและลวดลายมากมาย
ที่มา AtZooNU
Cr.ภาพ
https://www.picuki.com/
Cr.
https://www.thaijoy.com/read-blog/3_ง-ฮ-อกโนสหร-อง-จม-กหม-hognose-snake.html
Gouldian finch chick
ภาพสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนเอเลี่ยนชนิดนี้คือ “ลูกนกฟินช์” (Gouldian finch chick) เป็นสัตว์ที่มีความพิเศษหลายอย่าง แต่ที่พิเศษสุดคือ พวกมันมีตุ่มข้างปากที่สามารถเรืองแสงได้ เรียกว่า “papillae” (ปาปิลา – ตุ่มช่วยดันอาหารเข้าไปในปาก) เนื่องจากรังของนกฟินช์นั้นมืดสนิท เจ้าตุ่มที่ว่านี้จึงทำหน้าที่ทั้งดันอาหารและช่วยส่องแสงเพื่อให้แม่นกมองเห็นและทำการป้อนอาหารได้
ลักษณะพิเศษของลูกนกฟินช์นั้น ภายในปากของลูกนกแต่ละตัวจะมีลายจุดดำ ๆ ซึ่งแต่ละตัวนั้นจะมีลายไม่ซ้ำกัน เพื่อช่วยทำหน้าที่ระบุตัวตน
แยกระหว่างลูกนกในรังกับลูกนกกาฝาก เนื่องจากนกฟินส์บางสายพันธุ์มักนำไข่ของตัวเองไปฝากไว้รังอื่นเพื่อให้คนอื่นช่วยเลี้ยง ซึ่งจุดเด่นที่ว่านี้ก็คล้ายกับลายนิ้วมือของมนุษย์นั่นเอง
พวกมันถูกพบครั้งแรกเมื่อปี 1839 โดย จอห์น โกลด์ (John Gould) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ระหว่างกำลังท่องเที่ยวอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย
กับ อลิซาเบธ โกลด์ (Elizabeth Gould) ภรรยาของเขา แต่ระหว่างการเดินทางกลับ ภรรยาของเขากลับล้มป่วยและเสียชีวิต เขาเลยตั้งชื่อนกที่สวยงามชนิดนี้เพื่อระลึกถึงภรรยาที่เขารักว่า “Lady Gouldian finch – มันเป็นนกที่สวยรองจากภรรยาของผม”
โดยลักษณะพิเศษทั้ง 2 ส่วนที่กล่าวถึงข้างต้น จะค่อย ๆ เลือนหายไปตามขนาดตัวที่โตขึ้น จะใช้เวลาในการเติบโตจนสามารถบินออกจากรังได้ประมาณ 22-25 วัน (จะแข็งแรงเต็มที่ 60 วัน) และแม้จุดเด่นจะหายไปแต่ก็ถูกแทนที่ด้วยความสวยงาม
นกฟินช์ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์นกกระจิบอาศัยอยู่ในเขตสะวันนา บริเวณตอนเหนือของออสเตรเลีย พวกมันถูกยกให้เป็น “นกที่สวยที่สุดในออสเตรเลีย” เพราะมีสีสันสดใสสะดุดตา กระทั่งในปี 2012 นกฟินช์ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการบุกรุกที่อยู่อาศัยและไฟป่า
จากการสำรวจพบว่า ปัจจุบันประชากรของนกฟินช์ธรรมชาติเหลืออยู่เพียง 3,000 ตัวเท่านั้น และล่าสุดเหตุการณ์ไฟป่าออสเตรเลียเมื่อต้นปี 2020 ก็ส่งผลให้สัตว์ป่าตายไปมากกว่า 480 ล้านตัว ซึ่งรวมถึงเหล่านกฟินส์ตามธรรมชาติด้วย
แท้จริงแล้ว นกตระกูลฟินช์ (Finches) มีสายพันธุ์แยกย่อยอีกเกือบ 100 ชนิด ซึ่งจะมีสีแตกต่างกันไป แต่สีที่โดดเด่นที่สุดคือ นกฟินซ์ 7 สี (Rainbow Finch) โดยราคาซื้อขายสำหรับประเทศไทยอยู่ที่ ตัวละ 2,500-5,000 บาท ครับผม
Cr.
https://www.flagfrog.com/finch-chick-look-weird/ โดย ManoshFiz
Pesquet’s parrot
มาทำความรู้จักกับนกแก้ว Dracula ที่มีสีสันเป็นเอกลักษณ์ด้วยจะงอยปากสีดำ กับแถบสีแดงกลางลำตัว ชื่อเรียกเป็นทางการว่า Pesquet’s parrot
หรือที่คนนิยมเรียกกันว่า นกแก้วแดรกคิวล่า มีชื่อวิทยาศาสตร์ Psittrichas fulgidus มีหางสั้น และมีความยาวลำตัวประมาณ 50 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 680–800 กรัม โดยเพศผู้และเพศเมียจะมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่จะมีความแตกต่างคือเพศผู้จีมีจุดสีแดงอยู่หลังดวงตา นอกจากนี้มันยังถือเป็น
1 ใน 3 ของสายพันธุ์นกแก้วที่ไม่มีขนบนใบหน้า
นกแก้วสายพันธุ์นี้ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในหมู่คนรักนก เนื่องจากรูปลักษณ์ของมันมีความคล้ายคลึงกับแดร็กคูล่า ภายนอกดูคล้ายกับนกแร้ง กินพืชและผมไม้เป็นหลัก มีถิ่นกำเนิดในป่าฝนในนิวกีนี
พวกมันจะเคลื่อนที่ไปตามกิ่งไม้ด้วยการกระโดดแทนการก้าวเดินเหมือนนกแก้วสายพันธุ์อื่นๆ และสามารถพบได้บนภูเขาของนิวกินีเท่านั้น น่าเศร้าที่พวกมันมักตกเป็นเหยื่อของนักลักลอบล่าสัตว์ในท้องถิ่นและการสูญเสียถิ่นที่อยู่ เนื่องจากขนของมันได้รับความนิยมในการนำไปประดับชุดเพื่อทำพิธีกรรมของชนพื้นเมือง รวมถึงการรับประทานเนื้อ และนำไปเป็นสัตว์เลี้ยง มันจึงถูกขึ้นบัญชี IUCN ให้เป็นสัตว์ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
Cr.
http://realmetro.com/dracula-parrots/
Puffin
Puffin เป็นหนึ่งในสามสปีชีส์เล็กๆของนกทะเลชนิดหนึ่ง ในจำพวก Fratercula ซึ่งมีจงอยปากสีสดใสในช่วงฤดูผสมพันธุ์ เป็นนกทะเลผิวน้ำที่หาอาหารด้วยการดำน้ำเป็นหลัก พวกมันสืบสายพันธุ์ในฝูงขนาดใหญ่บนหน้าผาชายฝั่งทะเลหรือเกาะ โดยการทำรังในรอยแยกในหมู่หินหรือในโพรงดิน
นกพัฟฟิน เป็นนกเตี้ยสั้นปีกและหางสั้น มีส่วนบนเป็นสีดำและสีขาวอันเดอร์พาร์หรือน้ำตาลเทา หัวมีสีดำใบหน้าเป็นสีขาวสะส่วนใหญ่และเท้าเป็นสีส้มสีแดงเป็นพังผืดคล้ายกับเท้าเป็ด เป็นนกอีกชนิดหนึ่งที่เป็นสัตว์สำคัญของระบบนิเวศริมทะเล ริมฝั่ง ริมหน้าผา
แม้ว่านกพัฟฟินมักส่งเสียงร้องในฝูงสืบสายพันธุ์ แต่พวกมันก็ไม่ส่งเสียงร้องในทะเล พวกมันบินเหนือน้ำในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งมักอยู่ที่ระดับ 10 เมตร
นกพัฟฟินถูกนักล่าหาไข่และเนื้อ ทำให้นกพัฟฟินลดลงต่อเนื่องจากการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยและการใช้ประโยชน์ในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20
Cr.ภาพ picpost.postjung.com
Cr.
https://50814aoy.wordpress.com/puffin-นกพัพฟิน/
Snub-nosed monkey
เพจ Book Café Original ได้โพสต์ภาพลิงสุดประหลาดที่มีริมฝีปากราวกับมนุษย์ ซึ่งที่จริงแล้วลิงสายพันธุ์ดังกล่าว ตามการอ้างอิงของ tibetnature และ Noom Warayut เรียกว่า Snub-nosed monkey ลิงจมูกเชิด หรือ ค่างจมูกเชิด เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสกุลหนึ่งในอันดับวานร (Primates) ในวงศ์ลิงโลกเก่า
กระจายพันธุ์ในป่าทึบบนภูเขา สูงกว่าระดับน้ำทะเลหลายพันเมตร ในแถบตอนเหนือของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน จนถึงตอนล่างของจีนที่ติดต่อกับพรมแดนประเทศอื่น ๆ เช่น รัฐคะฉิ่นของพม่าและเวียดนาม ลิงจมูกเชิด มีลักษณะเด่นโดยทั่วไปคือ ไม่มีกระดูกดั้งจมูกและรูจมูกเชิดขึ้นด้านบน อันเป็นที่มาของชื่อเรียก
จัดเป็นลิงที่มีขนาดใหญ่พอสมควร เพราะโตเต็มที่อาจมีขนาดใหญ่ได้ถึง 51-83 เซนติเมตร ความยาวหาง 55-97 เซนติเมตรตัวผู้และตัวเมีย มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่ตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่ากันถึงครึ่งเท่าตัว
มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ กินใบไม้และดอกไม้ต่าง ๆ เป็นอาหาร โดยสามารถที่จะกินพืชชนิดต่าง ๆ ได้ถึง 60 ชนิดมีนิสัยเจ้าสำอาง รักความสะอาด ลูกลิงขนาดเล็ก จะมีสีขนที่อ่อนขาวออกครีมไม่เหมือนตัวเต็มวัย ที่จะออกเข้มน้ำตาลโดยจะอาศัยอยู่กับแม่ จนกว่าจะโต เมื่ออายุได้ราว 6-7 ปี มีระยะเวลา การตั้งท้องนาน 200 วัน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เท่านั้น
เป็นสัตว์หายาก ไม่ค่อยมีผู้พบเห็นและยังเป็นสัตว์ที่อยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์และใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤตโดยเฉพาะ ชนิดที่พบในประเทศจีน มีจำนวนประชากร ในธรรมชาติไม่เกิน 2,000 ตัว
Cr.
https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_621467
นกซีบร้าฟินช์
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Taeniopygia guttata นกซีบร้าฟินซ์เป็นนกฟินซ์ที่มีขนาดตัวที่เล็ก มีสีสันสวยงามสีขาวสลับดำคล้ายม้าลาย สีของตัวผู้และตัวเมียจะแบ่งแยกชัดเจน เป็นนกที่ร้องเพลงเพราะชนิดหนึ่ง พบในบริเวณพื้นที่ติมอร์ตะวันออก อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย
ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์มีงานวิจัยใหม่ว่า นกซีบร้าฟินช์รู้วิธีการเตรียมลูกน้อยสำหรับโลกที่การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกได้
โดยการเปล่งเสียงพิเศษเฉพาะให้กับตัวอ่อนที่อยู่ภายในไข่ ซึ่งสามารถได้ยินและเรียนรู้เสียงจากภายนอก นี่เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าสัตว์มีการใช้เสียงที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการ พฤติกรรม และความสำเร็จในการสืบพันธุ์
ความคิดที่ว่าพ่อแม่นกซีบร้าฟินช์พูดคุยกับไข่ของพวกมันเกิดขึ้นกับ Mylene Mariette นักนิเวศวิทยาเชิงพฤติกรรมจาก มหาวิทยาลัยดีกิ้น ในเมือง Waurn Ponds ประเทศออสเตรเลีย ในขณะที่กำลังบันทึกเสียงนกที่กรงนกขนาดใหญ่กลางแจ้ง เธอสังเกตเห็นว่าบางครั้งเมื่อพ่อแม่อยู่ตัวเดียวจะส่งเสียงร้องแหลมๆรัวๆเป็นชุดๆขณะที่นั่งอยู่บนไข่
Mariette และเพื่อนร่วมงานของเธอ Katherine Buchanan บันทึกการร้องส่งสัญญาณในระหว่างการฟักตัวของนกซีบร้าฟินช์ตัวเมีย 61 ตัวและตัวผู้ 61 ตัวภายในสวนนก พวกเขาพบว่าทั้งพ่อและแม่จะส่งเสียงเฉพาะในช่วงท้ายของระยะฟักตัว และเป็นวันที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 26 °C
เพื่อหาว่าการส่งเสียงดังกล่าวจะช่วยในการเตรียมตัวของลูกนกสำหรับอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการฟักไข่เทียม 166 ฟองที่อุณหภูมิมาตรฐาน 37.7 °C และในช่วง 5 วันสุดท้ายของการฟักพวกเขาเปิดเสียงร้องระหว่างการฟักไข่ที่บันทึกไว้ให้ลูกนกฟัง เมื่อลูกนกฟักออกมาพบว่าพวกที่ได้ฟังเสียงร้องระหว่างการฟักไข่จะส่งเสียงร้องได้ดีกว่าและที่สำคัญคือมีน้ำหนักน้อยกว่ากลุ่มควบคุม (พวกที่ไม่ได้ฟังเสียง)
นักวิทยาศาสตร์บอกว่านั่นอาจจะเป็นการปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่ร้อน “ด้วยขนาดตัวที่เล็กกว่าทำให้พวกมันสูญเสียความร้อนน้อยกว่า” Mariette กล่าว เธอชี้ให้เห็นว่าขนาดตัวที่เล็กลงของพวกมันยังอาจช่วยลดความเสียหายจากสารตกค้างที่เป็นอันตรายของโมเลกุลที่ไม่เสถียรในโปรตีน ไขมัน และดีเอ็นเอที่อาจมีผลต่อการสืบพันธุ์
เมื่อให้พวกมันอยู่ในสภาพอากาศร้อน พวกนกที่มีน้ำหนักน้อยจะเติบโตและขยายพันธุ์ในฤดูผสมพันธุ์แรกได้มากกว่ากลุ่มนกควบคุม แต่กลุ่มนกควบคุมทำได้ดีกว่าในสภาพอากาศเย็น และเสียงร้องระหว่างการฟักไข่อาจมีผลต่อเนื่องอย่างอื่นอีก คือ นกตัวผู้ที่ได้ฟังเสียงร้องจะทำรังในที่ที่ร้อน ส่วนนกตัวผู้ในกลุ่มนกควบคุมเลือกทำรังในที่ที่เย็นกว่า
Mariette คิดว่าความสามารถของนกซีบร้าฟินช์ในการเตรียมความพร้อมลูกหลานของมันสำหรับสภาพแวดล้อมในอนาคตสมเหตุสมผลเพราะพวกมันอาศัยอยู่ในแหล่งที่แห้งแล้ง และจะขยายพันธุ์เมื่อใดก็ตามที่มีเงื่อนไขที่ดีโดยไม่คำนึงถึงฤดูกาล เธอเสริมว่านกซีบร้าฟินช์แสดงให้เห็นว่าสัตว์บางชนิดอาจจะสามารถปรับตัวเข้ากับโลกที่ร้อนขึ้นได้ดีกว่าที่เราคิด
ข้อมูลและภาพจาก sciencemag, newscientist, hedfinch.blogspot.
Cr.
http://camel-republic.com/th/animals/52/นกซีบร้าฟินส์
Cr.
https://www.takieng.com/stories/1524
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ความสวยงามเฉพาะตัวที่โดดเด่น
งูฮ็อกโนสหรืองูจมูกหมู มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่แถบอเมริกาเหนือ ที่มาของชื่อมาจากจมูกที่เหินขึ้นไม่เหมือนกับงูชนิดอื่นๆ เป็นงูในธรรมชาติที่มีกลไกการป้องกันตัวสุดแปลกแหวกแนวและผิดธรรมชาติของงู ยกตัวอย่างเช่น งูชนิดนี้สามารถแกล้งแผ่แม้เบี้ยได้ จึงทำให้สัตว์ชนิดอื่นๆคิดว่ามันมีพิษและไม่ไปยุ่งกับมัน
นอกจากนั้น ยังสามารถให้หางสั่นตามพื้นได้ ด้วยเกล็ดที่ค่อนข้างหยาบ พอเวลาเอาหางไปถูกกับพื้นเร็วๆก็จะเกิดเสียงที่คล้ายกับงูหางกระดิ่งขึ้นมา จึงทำให้นักล่าร่นถอยไปอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายคือ การแกล้งตาย งูจมูกหมูสามารถแกล้งตายได้โดยการหงายท้องขึ้นให้เห็นลายท้องที่มีสีดำเสมือนเหยื่อที่เน่าไปแล้ว และยังเปิดปากเอาลิ้นห้อยออกมาข้างนอก กับสามารถปล่อยกลิ่นเหม็นได้ ทำให้นักล่าหลายๆชนิดคิดว่ามันตายแล้ว (นักล่าในธรรมชาติส่วนใหญ่ไม่กินของเน่าเสีย) และกลเม็ดนี้เองที่ทำให้มันรอดพ้นจากศัตรูได้ดีที่สุด
งูจมูกหมูเป็นงูพิษอ่อนเขี้ยวหลัง ซึ่งในการเลี้ยงนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะโดนมันฝังเขี้ยวพิษลงไป เพราะการที่มันจะฝังเขี้ยวพิษลงไปได้นั้น หมายความว่ามันต้องกลืนนิ้วของคุณลงไปทั้งนิ้วเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นถ้าแค่เกิดการฉกกัดปกติก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เนื่องจากพิษของงูจมูกหมูนั้นอ่อนมากและไม่เป็นอันตรายกับคน จึงถูกมนุษย์นำมาพัฒนาสายพันธุ์และเลี้ยงดูจนเกิดสีสันและลวดลายมากมาย
ที่มา AtZooNU
Cr.ภาพ https://www.picuki.com/
Cr.https://www.thaijoy.com/read-blog/3_ง-ฮ-อกโนสหร-อง-จม-กหม-hognose-snake.html
Gouldian finch chick
ภาพสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนเอเลี่ยนชนิดนี้คือ “ลูกนกฟินช์” (Gouldian finch chick) เป็นสัตว์ที่มีความพิเศษหลายอย่าง แต่ที่พิเศษสุดคือ พวกมันมีตุ่มข้างปากที่สามารถเรืองแสงได้ เรียกว่า “papillae” (ปาปิลา – ตุ่มช่วยดันอาหารเข้าไปในปาก) เนื่องจากรังของนกฟินช์นั้นมืดสนิท เจ้าตุ่มที่ว่านี้จึงทำหน้าที่ทั้งดันอาหารและช่วยส่องแสงเพื่อให้แม่นกมองเห็นและทำการป้อนอาหารได้
ลักษณะพิเศษของลูกนกฟินช์นั้น ภายในปากของลูกนกแต่ละตัวจะมีลายจุดดำ ๆ ซึ่งแต่ละตัวนั้นจะมีลายไม่ซ้ำกัน เพื่อช่วยทำหน้าที่ระบุตัวตน
แยกระหว่างลูกนกในรังกับลูกนกกาฝาก เนื่องจากนกฟินส์บางสายพันธุ์มักนำไข่ของตัวเองไปฝากไว้รังอื่นเพื่อให้คนอื่นช่วยเลี้ยง ซึ่งจุดเด่นที่ว่านี้ก็คล้ายกับลายนิ้วมือของมนุษย์นั่นเอง
พวกมันถูกพบครั้งแรกเมื่อปี 1839 โดย จอห์น โกลด์ (John Gould) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ระหว่างกำลังท่องเที่ยวอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย
กับ อลิซาเบธ โกลด์ (Elizabeth Gould) ภรรยาของเขา แต่ระหว่างการเดินทางกลับ ภรรยาของเขากลับล้มป่วยและเสียชีวิต เขาเลยตั้งชื่อนกที่สวยงามชนิดนี้เพื่อระลึกถึงภรรยาที่เขารักว่า “Lady Gouldian finch – มันเป็นนกที่สวยรองจากภรรยาของผม”
โดยลักษณะพิเศษทั้ง 2 ส่วนที่กล่าวถึงข้างต้น จะค่อย ๆ เลือนหายไปตามขนาดตัวที่โตขึ้น จะใช้เวลาในการเติบโตจนสามารถบินออกจากรังได้ประมาณ 22-25 วัน (จะแข็งแรงเต็มที่ 60 วัน) และแม้จุดเด่นจะหายไปแต่ก็ถูกแทนที่ด้วยความสวยงาม
นกฟินช์ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์นกกระจิบอาศัยอยู่ในเขตสะวันนา บริเวณตอนเหนือของออสเตรเลีย พวกมันถูกยกให้เป็น “นกที่สวยที่สุดในออสเตรเลีย” เพราะมีสีสันสดใสสะดุดตา กระทั่งในปี 2012 นกฟินช์ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการบุกรุกที่อยู่อาศัยและไฟป่า
จากการสำรวจพบว่า ปัจจุบันประชากรของนกฟินช์ธรรมชาติเหลืออยู่เพียง 3,000 ตัวเท่านั้น และล่าสุดเหตุการณ์ไฟป่าออสเตรเลียเมื่อต้นปี 2020 ก็ส่งผลให้สัตว์ป่าตายไปมากกว่า 480 ล้านตัว ซึ่งรวมถึงเหล่านกฟินส์ตามธรรมชาติด้วย
แท้จริงแล้ว นกตระกูลฟินช์ (Finches) มีสายพันธุ์แยกย่อยอีกเกือบ 100 ชนิด ซึ่งจะมีสีแตกต่างกันไป แต่สีที่โดดเด่นที่สุดคือ นกฟินซ์ 7 สี (Rainbow Finch) โดยราคาซื้อขายสำหรับประเทศไทยอยู่ที่ ตัวละ 2,500-5,000 บาท ครับผม
Cr.https://www.flagfrog.com/finch-chick-look-weird/ โดย ManoshFiz
Pesquet’s parrot
มาทำความรู้จักกับนกแก้ว Dracula ที่มีสีสันเป็นเอกลักษณ์ด้วยจะงอยปากสีดำ กับแถบสีแดงกลางลำตัว ชื่อเรียกเป็นทางการว่า Pesquet’s parrot
หรือที่คนนิยมเรียกกันว่า นกแก้วแดรกคิวล่า มีชื่อวิทยาศาสตร์ Psittrichas fulgidus มีหางสั้น และมีความยาวลำตัวประมาณ 50 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 680–800 กรัม โดยเพศผู้และเพศเมียจะมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่จะมีความแตกต่างคือเพศผู้จีมีจุดสีแดงอยู่หลังดวงตา นอกจากนี้มันยังถือเป็น
1 ใน 3 ของสายพันธุ์นกแก้วที่ไม่มีขนบนใบหน้า
นกแก้วสายพันธุ์นี้ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในหมู่คนรักนก เนื่องจากรูปลักษณ์ของมันมีความคล้ายคลึงกับแดร็กคูล่า ภายนอกดูคล้ายกับนกแร้ง กินพืชและผมไม้เป็นหลัก มีถิ่นกำเนิดในป่าฝนในนิวกีนี
พวกมันจะเคลื่อนที่ไปตามกิ่งไม้ด้วยการกระโดดแทนการก้าวเดินเหมือนนกแก้วสายพันธุ์อื่นๆ และสามารถพบได้บนภูเขาของนิวกินีเท่านั้น น่าเศร้าที่พวกมันมักตกเป็นเหยื่อของนักลักลอบล่าสัตว์ในท้องถิ่นและการสูญเสียถิ่นที่อยู่ เนื่องจากขนของมันได้รับความนิยมในการนำไปประดับชุดเพื่อทำพิธีกรรมของชนพื้นเมือง รวมถึงการรับประทานเนื้อ และนำไปเป็นสัตว์เลี้ยง มันจึงถูกขึ้นบัญชี IUCN ให้เป็นสัตว์ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
Cr.http://realmetro.com/dracula-parrots/
Puffin
Puffin เป็นหนึ่งในสามสปีชีส์เล็กๆของนกทะเลชนิดหนึ่ง ในจำพวก Fratercula ซึ่งมีจงอยปากสีสดใสในช่วงฤดูผสมพันธุ์ เป็นนกทะเลผิวน้ำที่หาอาหารด้วยการดำน้ำเป็นหลัก พวกมันสืบสายพันธุ์ในฝูงขนาดใหญ่บนหน้าผาชายฝั่งทะเลหรือเกาะ โดยการทำรังในรอยแยกในหมู่หินหรือในโพรงดิน
นกพัฟฟิน เป็นนกเตี้ยสั้นปีกและหางสั้น มีส่วนบนเป็นสีดำและสีขาวอันเดอร์พาร์หรือน้ำตาลเทา หัวมีสีดำใบหน้าเป็นสีขาวสะส่วนใหญ่และเท้าเป็นสีส้มสีแดงเป็นพังผืดคล้ายกับเท้าเป็ด เป็นนกอีกชนิดหนึ่งที่เป็นสัตว์สำคัญของระบบนิเวศริมทะเล ริมฝั่ง ริมหน้าผา
แม้ว่านกพัฟฟินมักส่งเสียงร้องในฝูงสืบสายพันธุ์ แต่พวกมันก็ไม่ส่งเสียงร้องในทะเล พวกมันบินเหนือน้ำในระดับที่ค่อนข้างสูง ซึ่งมักอยู่ที่ระดับ 10 เมตร
นกพัฟฟินถูกนักล่าหาไข่และเนื้อ ทำให้นกพัฟฟินลดลงต่อเนื่องจากการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยและการใช้ประโยชน์ในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20
Cr.ภาพ picpost.postjung.com
Cr.https://50814aoy.wordpress.com/puffin-นกพัพฟิน/
Snub-nosed monkey
เพจ Book Café Original ได้โพสต์ภาพลิงสุดประหลาดที่มีริมฝีปากราวกับมนุษย์ ซึ่งที่จริงแล้วลิงสายพันธุ์ดังกล่าว ตามการอ้างอิงของ tibetnature และ Noom Warayut เรียกว่า Snub-nosed monkey ลิงจมูกเชิด หรือ ค่างจมูกเชิด เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสกุลหนึ่งในอันดับวานร (Primates) ในวงศ์ลิงโลกเก่า
กระจายพันธุ์ในป่าทึบบนภูเขา สูงกว่าระดับน้ำทะเลหลายพันเมตร ในแถบตอนเหนือของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน จนถึงตอนล่างของจีนที่ติดต่อกับพรมแดนประเทศอื่น ๆ เช่น รัฐคะฉิ่นของพม่าและเวียดนาม ลิงจมูกเชิด มีลักษณะเด่นโดยทั่วไปคือ ไม่มีกระดูกดั้งจมูกและรูจมูกเชิดขึ้นด้านบน อันเป็นที่มาของชื่อเรียก
จัดเป็นลิงที่มีขนาดใหญ่พอสมควร เพราะโตเต็มที่อาจมีขนาดใหญ่ได้ถึง 51-83 เซนติเมตร ความยาวหาง 55-97 เซนติเมตรตัวผู้และตัวเมีย มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่ตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่ากันถึงครึ่งเท่าตัว
มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ กินใบไม้และดอกไม้ต่าง ๆ เป็นอาหาร โดยสามารถที่จะกินพืชชนิดต่าง ๆ ได้ถึง 60 ชนิดมีนิสัยเจ้าสำอาง รักความสะอาด ลูกลิงขนาดเล็ก จะมีสีขนที่อ่อนขาวออกครีมไม่เหมือนตัวเต็มวัย ที่จะออกเข้มน้ำตาลโดยจะอาศัยอยู่กับแม่ จนกว่าจะโต เมื่ออายุได้ราว 6-7 ปี มีระยะเวลา การตั้งท้องนาน 200 วัน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เท่านั้น
เป็นสัตว์หายาก ไม่ค่อยมีผู้พบเห็นและยังเป็นสัตว์ที่อยู่ในสภาพใกล้สูญพันธุ์และใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤตโดยเฉพาะ ชนิดที่พบในประเทศจีน มีจำนวนประชากร ในธรรมชาติไม่เกิน 2,000 ตัว
Cr.https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_621467
นกซีบร้าฟินช์
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Taeniopygia guttata นกซีบร้าฟินซ์เป็นนกฟินซ์ที่มีขนาดตัวที่เล็ก มีสีสันสวยงามสีขาวสลับดำคล้ายม้าลาย สีของตัวผู้และตัวเมียจะแบ่งแยกชัดเจน เป็นนกที่ร้องเพลงเพราะชนิดหนึ่ง พบในบริเวณพื้นที่ติมอร์ตะวันออก อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย
ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์มีงานวิจัยใหม่ว่า นกซีบร้าฟินช์รู้วิธีการเตรียมลูกน้อยสำหรับโลกที่การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกได้
โดยการเปล่งเสียงพิเศษเฉพาะให้กับตัวอ่อนที่อยู่ภายในไข่ ซึ่งสามารถได้ยินและเรียนรู้เสียงจากภายนอก นี่เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าสัตว์มีการใช้เสียงที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการ พฤติกรรม และความสำเร็จในการสืบพันธุ์
ความคิดที่ว่าพ่อแม่นกซีบร้าฟินช์พูดคุยกับไข่ของพวกมันเกิดขึ้นกับ Mylene Mariette นักนิเวศวิทยาเชิงพฤติกรรมจาก มหาวิทยาลัยดีกิ้น ในเมือง Waurn Ponds ประเทศออสเตรเลีย ในขณะที่กำลังบันทึกเสียงนกที่กรงนกขนาดใหญ่กลางแจ้ง เธอสังเกตเห็นว่าบางครั้งเมื่อพ่อแม่อยู่ตัวเดียวจะส่งเสียงร้องแหลมๆรัวๆเป็นชุดๆขณะที่นั่งอยู่บนไข่
Mariette และเพื่อนร่วมงานของเธอ Katherine Buchanan บันทึกการร้องส่งสัญญาณในระหว่างการฟักตัวของนกซีบร้าฟินช์ตัวเมีย 61 ตัวและตัวผู้ 61 ตัวภายในสวนนก พวกเขาพบว่าทั้งพ่อและแม่จะส่งเสียงเฉพาะในช่วงท้ายของระยะฟักตัว และเป็นวันที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 26 °C
เพื่อหาว่าการส่งเสียงดังกล่าวจะช่วยในการเตรียมตัวของลูกนกสำหรับอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการฟักไข่เทียม 166 ฟองที่อุณหภูมิมาตรฐาน 37.7 °C และในช่วง 5 วันสุดท้ายของการฟักพวกเขาเปิดเสียงร้องระหว่างการฟักไข่ที่บันทึกไว้ให้ลูกนกฟัง เมื่อลูกนกฟักออกมาพบว่าพวกที่ได้ฟังเสียงร้องระหว่างการฟักไข่จะส่งเสียงร้องได้ดีกว่าและที่สำคัญคือมีน้ำหนักน้อยกว่ากลุ่มควบคุม (พวกที่ไม่ได้ฟังเสียง)
นักวิทยาศาสตร์บอกว่านั่นอาจจะเป็นการปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่ร้อน “ด้วยขนาดตัวที่เล็กกว่าทำให้พวกมันสูญเสียความร้อนน้อยกว่า” Mariette กล่าว เธอชี้ให้เห็นว่าขนาดตัวที่เล็กลงของพวกมันยังอาจช่วยลดความเสียหายจากสารตกค้างที่เป็นอันตรายของโมเลกุลที่ไม่เสถียรในโปรตีน ไขมัน และดีเอ็นเอที่อาจมีผลต่อการสืบพันธุ์
เมื่อให้พวกมันอยู่ในสภาพอากาศร้อน พวกนกที่มีน้ำหนักน้อยจะเติบโตและขยายพันธุ์ในฤดูผสมพันธุ์แรกได้มากกว่ากลุ่มนกควบคุม แต่กลุ่มนกควบคุมทำได้ดีกว่าในสภาพอากาศเย็น และเสียงร้องระหว่างการฟักไข่อาจมีผลต่อเนื่องอย่างอื่นอีก คือ นกตัวผู้ที่ได้ฟังเสียงร้องจะทำรังในที่ที่ร้อน ส่วนนกตัวผู้ในกลุ่มนกควบคุมเลือกทำรังในที่ที่เย็นกว่า
Mariette คิดว่าความสามารถของนกซีบร้าฟินช์ในการเตรียมความพร้อมลูกหลานของมันสำหรับสภาพแวดล้อมในอนาคตสมเหตุสมผลเพราะพวกมันอาศัยอยู่ในแหล่งที่แห้งแล้ง และจะขยายพันธุ์เมื่อใดก็ตามที่มีเงื่อนไขที่ดีโดยไม่คำนึงถึงฤดูกาล เธอเสริมว่านกซีบร้าฟินช์แสดงให้เห็นว่าสัตว์บางชนิดอาจจะสามารถปรับตัวเข้ากับโลกที่ร้อนขึ้นได้ดีกว่าที่เราคิด
ข้อมูลและภาพจาก sciencemag, newscientist, hedfinch.blogspot.
Cr.http://camel-republic.com/th/animals/52/นกซีบร้าฟินส์
Cr.https://www.takieng.com/stories/1524
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)