ภูมิปัญญาโบราณ

กับดักปลา นูกุนนูฮู


เรื่องราวของหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดโดยน้ำมือของมนุษย์จากภูมิปัญญาของชนเผ่านียัมปา หนึ่งในชนเผ่าอะบอริจินที่อาศัยอยู่ในทวีปออสเตรเลีย โดยนักโบราณคดียกย่องให้เป็นนวัตกรรมอะบอริจินที่น่าเชิดชู

นวัตกรรมดังกล่าวหากมองผ่านๆ แล้วนั้นมีรูปร่างเหมือนแนวโขดหินที่กระจัดกระจายอยู่ตามลำธาร สามารถพบเห็นได้ตามลำน้ำเมืองบรีวาร์รีนา ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ แต่แท้จริงแล้วเป็นกับดักปลาที่ว่ายทวนน้ำขึ้นมา คาดว่าสร้างไว้ตั้งแต่เมื่อราว 40,000 ก่อน

ลักษณะของโขดหินดังกล่าวนั้นเรียงตัวเป็นแนวรูปร่างเหมือนหยดน้ำ โดยเมื่อปลาว่ายเข้ามาแล้วบรรดาชนเผ่าก็จะนำหินก้อนสุดท้ายปิดทางเข้าไว้แล้วเริ่มจับพวกมันมาปรุงอาหาร โดยชาวเผ่านียัมปา เรียกบ่อดักปลาเหล่านี้ว่า นูกุนนูฮู

ดร.ดันแคน ไรท์ นักโบราณคดี กล่าวว่า อารยธรรมของชนเผ่าอะบอริจินเหล่านี้นั้นมีความเจริญและสลับซับซ้อนมากกว่าที่คาดไว้ ตั้งแต่ก่อนที่คนผิวขาวจะเข้ามายึดครองทวีปออสเตรเลีย โดยบ่อดักปลาดังกล่าวเป็นภูมิปัญญาที่เฉียบแหลมมาก

ดร.ไรท์ กล่าวชื่นชมว่า บ่อดักปลาเหล่านี้ไม่ขวาง หรือเปลี่ยนเส้นทางน้ำ สามารถปรับระดับได้ตามระดับน้ำแต่ละฤดู และสามารถถูกทิ้งไว้ได้อย่างถาวรไม่ต้องดูแลรักษา โดยบ่อดักปลาเหล่านี้คาดว่าเป็นบ่อเก่าแก่ ไม่เหมือนกับที่ค้นพบหลายๆ แห่งที่มีอายุเพียง 1-3,000 ปีก่อนเท่านั้น



รายงานระบุว่า บ่อดักปลาเก่าแก่แห่งนี้เริ่มถูกรื้อถอนทำลายไปในช่วงปีค.ศ. 1860-1920 หลังผู้ย้ายถิ่นฐานจากยุโรปขนย้ายโขดหินดังกล่าวไปสร้างที่อยู่อาศัยของตัวเอง ส่งผลให้บรรดาชนเผ่าอะบอริจินพยายามซ่อมแซมและรักษามรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าวไว้

ล่าสุด สภารัฐนิวเซาท์เวลส์มีมติให้บ่อดักปลาโบราณเหล่านี้ถือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ต้องได้รับการคุ้มครองระหว่างปีค.ศ. 1986-2009 และขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมของออสเตรเลียคั้งแต่ปีค.ศ. 2005
Cr.https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_4407357/ 

กังหันลมโบราณแห่ง Nashtifan


มนุษย์ใช้พลังงานลมมาตั้งแต่สมัยโบราณ มหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ถูกข้ามไปสำรวจดินแดนที่ไม่รู้จักด้วยการวางใบเรือไว้กับสายลม  บ้านที่ใช้พลังลมขับเครื่องจักรเพื่อผลิตแป้งและสูบน้ำจากแม่น้ำและบ่อน้ำ กังหันลมที่ใช้งานได้แห่งแรกมีขึ้นในเปอร์เซียในช่วงต้นศตวรรษที่ 5

ทั้งหมดเหล่านี้เป็นกังหันลมแนวนอนที่มีเพลาขับยาวแนวตั้งที่มีใบรูปสี่เหลี่ยมหกถึงสิบสองใบ ปกคลุมด้วยผ้าหรือเสื่อกก  การใช้กังหันลมเป็นที่แพร่หลายทั่วทั้งตะวันออกกลางและเอเชียกลาง และต่อมาได้แพร่กระจายไปยังประเทศจีนอินเดียและยุโรปส่วนที่เหลือ ตัวอย่างแรกสุดของกังหันลมเหล่านี้สามารถเห็นได้ในเมือง Nashtifan ซึ่งยังคงใช้งานอยู่

Nashtifan เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัด Khorasan Razavi ในอิหร่านห่างจาก Khaf 20 กม. และห่างจากชายแดนกับอัฟกานิสถาน 30 กม. หนึ่งในคุณสมบัติหลักของพื้นที่คือลมแรงที่พัดผ่าน จึงถูกเรียกว่า Nish Toofan หรือ "sting ของพายุ" อันเป็นผลมาจากองค์ประกอบตามธรรมชาติ
ในพื้นที่กังหันลมเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของภูมิภาคและมีการใช้งานมานานหลายศตวรรษ

มีกังหันลมประมาณ 30 แห่งกระจายอยู่ทั่วบริเวณเมืองนี้ โดยกังหันมีความสูงประมาณ 15-20 เมตร เชื่อกันว่ากังหันลมถูกสร้างขึ้นในช่วงราชวงศ์ซาฟาวิดโดยทั่วไปจะสร้างจากดินฟางและไม้ ใบพัดไม้ของกังหันลมเหล่านี้หมุนหินเจียรในห้องที่ทำจากดินเหนียว

กังหันลมแต่ละแห่งประกอบด้วยห้องหมุนได้ 8 ห้อง แต่ละห้องมีใบมีดแนวตั้ง 6 ใบ (เป็นกำแพงที่มีช่อง) เมื่อห้องเริ่มหมุนโดยแรงของลมมันจะส่งผลให้เกิดการหมุนของเพลาหลักของกังหันลม ซึ่งจะเชื่อมต่อกับเครื่องบดเมล็ด แรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากการหมุนดังกล่าวจะค่อยๆเลื่อนธัญพืชออกจากภาชนะที่บรรจุไปยังเครื่องบดธัญพืช ผลลัพธ์ที่ได้คือเมล็ดธัญพืชบดเป็นแป้ง



กังหันลมที่ Nashtifan มีการออกแบบในแนวนอนนั่นคือ driveshaft เป็นแนวตั้งและแผงลมหมุนในแนวนอน นี่เป็นการออกแบบเอกสารที่เป็นที่รู้จักครั้งแรก  แต่ไม่ได้มีประสิทธิภาพมากเมื่อเทียบกับกังหันลมแนวตั้งในปัจจุบันที่ใบพัดลมหมุนในแนวตั้ง ข้อเสียของกังหันลมแนวนอนคือ เนื่องจากแผงลมหมุนในแนวนอนมีเพียงด้านเดียวที่ดูดซับพลังงานลม ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งของอุปกรณ์จะต้องไปกับกระแสลม  ทำให้สิ้นเปลืองพลังงาน ด้วยเหตุนี้ใบพัดจึงไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแม้ว่าความเร็วของลมจะแรงขึ้น

ข้อเสียเปรียบในการออกแบบถูกชดเชยโดยพลังงานลมที่มีอยู่ในบริเวณนี้ โดยที่ Nashtifan ความเร็วลมมักจะสูงถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ต่อมาในปี 2002 กังหันลมของ Nashtifan ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกแห่งชาติโดยกรมมรดกทางวัฒนธรรมของอิหร่าน
แหล่งที่มา ประวัติศาสตร์อิหร่าน 
Cr.https://www.amusingplanet.com/2014/07/the-ancient-windmills-of-nashtifan.html / โดยKaushik Patowary

Bavljenac Island


 Baljenac เป็นเกาะเล็กๆเมื่อมองจากด้านบน จะพบว่ามันมีลักษณะที่คล้ายกับ "ลายนิ้วมือยักษ์"  
เกาะเล็กๆนี้ ชื่อ Baljenac  ตั้งอยู่ในทะเล Adriatic Sea นอกชายฝั่งโครเอเชีย ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา  ตั้งอยู่ในหมู่เกาะ Sibenik   มีพื้นที่ 1.4 ตารางกิโลเมตร ปกคลุมด้วยผืนหินแห้งทั่วทั้งเกาะ  ช่วงเวลาที่ก่อสร้างสิ่งเหล่านี้อาจต้องย้อนกลับไปนับเป็นศตวรรษ  ในอดีตที่แห่งนี้ถูกใช้ประโยชน์เพื่อทำเครื่องหมายอาณาเขตระหว่างพื้นที่การเกษตรที่อยู่ติดกัน

กำแพงเหล่านี้ ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ต้องใช้ปูน แต่ผู้สร้างได้เลือกก้อนหินอย่างประณีตและกองซ้อนๆ กันเช่นเดียวกับชิ้นจิ๊กซอว์  แนวชายฝั่งของโครเอเชีย หลายแห่งมีลักษณะเป็นภูมิประเทศที่ราบสูงแบบนี้คือเป็นหิน  ดังนั้นในการเพาะปลูกในสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยหินแบบนี้  เกษตรกรจะบรรจงหยิบก้อนหินออกจากดินที่จะใช้เพาะปลูก  จากนั้นก็ใช้สร้างผนังรอบๆ  บางทีก็สร้างเป็นตารางยาวออกไปเป็นกิโล



เกาะ Baljenac แห่งนี้มีความยาวเพียงครึ่งกิโลเมตร แต่กำแพงหินยาวทั้งหมด 23 กม. เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลโครเอเชียได้ผลักดัน UNESCO ให้รวมเกาะ และกำแพงหินแห่งนี้ไว้ในรายการมรดกโลกอีกด้วย.
ขอบคุณที่มา:https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10214542950105982&set=pcb.986330198181617&type=3&theater&ifg=1
Cr. amusingplanet
Cr.https://board.postjung.com/1050506 / โพสท์โดย กะทิ

Windcatchers


ประเทศในตะวันออกกลางมีลักษณะภูมิอากาศร้อนและแห้งและอาคารและที่อยู่อาศัยถูกสร้างขึ้นแบบดั้งเดิมจากเซรามิกหนาที่มีค่าฉนวนสูงเพื่อเอาชนะความร้อน บ้านจะเต็มไปด้วยกำแพงและเพดานสูงให้ร่มเงาสูงสุดในระดับพื้นดิน ความร้อนของแสงแดดโดยตรงลดลงด้วยหน้าต่างเล็ก ๆ ที่หันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ องค์ประกอบอื่นที่สถาปนิกชาวเปอร์เซียรวมไว้ในโครงสร้างของพวกเขาคือ windcatchers

กังหันลมเป็นหอคอยสูงที่สร้างขึ้นบนหลังคาซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ภายในอาคารเย็นลงโดยการปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศ
Windcatchers มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซีย  จากนั้นการออกแบบที่ชาญฉลาดนี้แพร่กระจายไปทั่วตะวันออกกลางปากีสถานและอัฟกานิสถาน พวกมันถูกใช้งานมาหลายพันปีแล้ว  ตัวอย่างของกังหันลมพบในสถาปัตยกรรมอียิปต์โบราณเหมือนสมัยฟาโรห์เมื่อ 1300 ปีก่อนคริสต์

Windcatchers ทำหน้าที่เหมือนระบบปรับอากาศที่ทันสมัย ที่ด้านบนของ windcatcher มีช่องหลายทิศทางตามแนวตั้งเรียงกัน เมื่อช่องหันหน้าไปทางลมที่เปิดอยู่อากาศจะถูกดันลงไปที่เพลาและเข้าไปในอาคาร ที่ฐานของหอคอยเป็นสระน้ำที่ทำหน้าที่ลำเลียงอากาศเรียกว่า qanat  เมื่ออากาศอุ่นผ่านพื้นผิวของน้ำ อากาศจะเย็นลงผ่านการระบายความร้อนแบบระเหย ในเวลากลางคืนอากาศเย็นก็จะถูกดูดเข้าไปในบ้าน
 



 
นอกจากนี้ Windcatchers ยังใช้เป็นอุปกรณ์ทำความเย็นเป็นประจำในรูปแบบของโรงเรือนน้ำแข็งในหลายส่วนในอิหร่าน อ่างเก็บน้ำแบบดั้งเดิมหลายแห่ง (ab anbars) ถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องดักจับลมซึ่งสามารถเก็บน้ำได้ในอุณหภูมิใกล้จุดเยือกแข็งเป็นเวลาหลายเดือนในฤดูร้อน

แหล่งที่มา Wikipedia / Historical Iran / Weebly
Cr.https://www.amusingplanet.com/ 
Cr.https://www.amusingplanet.com/2015/02/the-wind-catchers-of-iran.html

Hanjia Granary 

 

ยุ้งฉางเก็บข้าวใต้ดินนี้ตั้งอยู่ในเมืองฮั่นเจี๋ย จึงเรียกว่า Hanjia Granary ซึ่งเป็นเมืองที่เป็นกำแพงหลักทางตะวันออกของนครลั่วหยาง อดีตนครหลวงในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก จากร่องรอยการค้นพบจารึกและอักษรที่อยู่ในยุ้งฉางแห่งนี้ ทำให้ทราบว่าผู้ที่สั่งให้สร้างก็คือ พระนางบูเช็กเทียน ในสมัยราชวงศ์ถัง  ยุ้งฉางใต้ดินแห่งนี้เป็น “หลุม” ขนาดใหญ่ 700 หลุม ซึ่งสามารถเก็บธัญพืชได้มากถึง 1,925 ล้าน ก.ก.  มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-12 เมตร ลึก 6-9 เมตร 
หวังจวี นักโบราณคดีระบุว่าสมัยนั้นเทคโนโลยีการเก็บธัญพืชก้าวหน้ามาก จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่าแต่ละหลุมได้รับการออกแบบและดูแลรักษาอย่างรอบคอบ โดยมีทั้งการอบกำแพงดินด้วยไฟ ทั้งด้านในและด้านนอกของยุ้งฉางมีแผ่นไม้กั้นไว้อีกชั้น

ส่วนสาเหตุที่จัดสร้างยุ้งฉางแห่งนี้ขึ้นในสมัยนั้น เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ภัยธรรมชาติมีมาก ทั้งจากสภาพการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และศัตรูพืช แม้ว่าจะมีการเพาะปลูกไปทั่วอาณาจักร แต่ก็จะมีหลายครั้งที่การเพาะปลูกล้มเหลว จนเกิดความอดอยากยากแค้นไปทั่ว 
พระนางบูเช็กเทียนจึงให้แก้ปัญหาด้วยการสร้างยุ้งฉางสำหรับเก็บข้าว โดยให้ขุดเป็นหลุมใหญ่อยู่ที่นครลั่วหยาง เพื่อเก็บไว้เป็นเสบียงในยามฉุกเฉิน 

มีการระบุว่า ยุ้งฉางนี้มีพื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 420,000 ตารางเมตร สามารถเก็บข้าวได้มากถึง 12 ล้านกิโลกรัม แล้วยังมีระบบการขนส่งทั้งทางบกและทางเรือล่องไปจนถึงนครหลวงฉางอานทางตะวันตกในสมัยนั้น นับว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกจากจีนยุคโบราณ
Cr.https://www.khaosod.co.th/chinawatch/news_2787743
Cr.https://th-th.facebook.com/TheEmpressofChina2560/posts/d41d8cd9/1800731420225318/

Uguisubari


 (เหล็ก mekasugai ที่อยู่ด้านใต้จะทำหน้าที่คอยส่งสัญญาณเพื่อเตือนว่ามีผู้บุกรุกในปราสาท) 

uguisubari หรือพื้นไนติงเกล หรือ Nightingale floors พื้นนิรภัยกันผู้บุกรุกในยุคซามุไร  ภูมิปัญญาพื้นบ้านของชาวญี่ปุ่นที่ถูกคิดค้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 โดยช่างฝีมือชาวญี่ปุ่น โดยวัตถุประสงค์หลักของพื้นไม้นี้คือ เพื่อให้เจ้าของปราสาททราบเมื่อมีคนแอบเข้ามา  ซึ่งเมื่อเดินบนพื้นไม้นี้แล้วจะทำให้เกิดเสียงดัง 
ลักษณะของ Uguisubari ก็คือจะเป็นการปูแผ่นไม้ไว้ด้านบน ส่วนด้านใต้ของพื้นไม้จะมีการเจาะรู และยึดด้วยอุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่า mekasugai  ไม่ให้แน่นและหลวมจนเกินไป เมื่อเวลามีคนเดิน แผ่นไม้ด้านบนจดเสียดสีกับหมุดที่ยึดอยู่ตรงคานทำให้มันมีเสียงดังคล้ายกับนกไนติงเกล

ปัจจุบันสัญญาณกันขโมยแบบโบราณนี้ยังคงมีให้เห็นได้ตามโบราณสถานต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น อย่างเช่นอาคาร Daihojo ที่วัด Chionin และปราสาทนิโจของตระกูล Tokugawa 
ที่มา micro, jgbthai, spokedark, wikipedia
Cr.https://www.catdumb.com/uguisubari-japan-007/By เหมียวเวจจี้

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่