ทำเสร็จวันเปิดตัว Corolla Cross พอดีอย่างไม่ได้ตั้งใจ
อันนี้เป็นการดู Kicks ตัวจริงและพูดถึงจุดต่างๆ ที่ผมคิดว่า Kicks มีทั้งดีและไม่ดี จากมุมมองของผมครับ
Nissan Kicks รุ่นนี้ จริงๆแล้วมี ระบบ propilot เป็นตัวชูโรงที่สำคัญ แต่จำกัดไว้ให้เฉพาะเสป็กส่งออกญี่ปุ่นได้
ซึ่งระบบนี้เป็นระบบที่จะช่วยทำให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่น มองว่ารถคันนี้มีราคาไม่แพงจนเกินไป เพราะด้วยราคาระดับนี้ในตลาดญี่ปุ่น
ต้องได้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแล้ว โดยสามารถซื้อ C-HR 4WD ในราคาที่ถูกกว่ากัน 5 หมื่นบาทแต่ไม่มีระบบ hybrid
และสามารถซื้อ H-RV hybrid 4WD ในราคาเท่าๆกัน
ซึ่งสำหรับญี่ปุ่นในหลายพื้นฐาน ระบบ 4WD ในรถระดับนี้เป็นตัวที่จำเป็น แต่เนื่องจากเมืองไทยไม่ได้ผลิต Kicks รุ่น 4WD
เพราะไม่คุ้มค่าในการผลิต และรถในตลาดระดับนี้ยังไม่มีความต้องการในระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ จึงต้องให้ propilot
ทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปในรุ่นที่ส่งไปขายญี่ปุ่น และช่วยทำให้ลูกค้ามองข้ามเรื่องความด้อยในด้านวัสดุภายใน
ผลก็คือ ทำให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจไม่น้อย และคิดว่า Kicks เป็นรถที่คุ้มค่า จากเดิมที่มีกระแสมองว่า Kicks เป็นรุ่นที่มีราคาแพงมากเกินไป
จากตอนแรกที่ได้เห็นสเป็คเมืองไทยออกมาหลายเดือนก่อน แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นปัญหาสำหรับลูกค้าในไทยส่วนใหญ่ต่อไป
เพราะกระแสเรื่องแผงประตูดู low รุนแรงมาก และ e-POWER ถูกสื่อรุมให้คำนิยามว่าก็เป็นเพียงแค่ระบบไฮบริดอีกแบบหนึ่ง
ทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรพิเศษ
เมื่อเป็นแบรนด์รองด้วยแล้ว หลายกระแสบอกว่า รถรุ่นนี้ไม่น่าจะมีราคาสูงเกิน 1 ล้านบาทด้วยซ้ำ
ด้วยวัสดุของชิ้นส่วนทั้งหมดที่ยกมาจาก Almera ทั้งหมด และยังมีการออกแบบของแผงประตูที่ดูเรียบมากเกินไปจนเหมือนรถราคาถูก
หนำซ้ำ Nissan ยังแอบตัดระบบทำความร้อนของแอร์อัตโนมัติไป แบบ Almera ดังนั้นทั้งสองรุ่นที่มีราคาต่างกันเกือบหนึ่งเท่า
รุ่นที่แพงล้านกว่าแต่กลับไม่มีอะไรที่พิเศษกว่า ความหรูหราและความสะดวกสบายของห้องโดยสารอยู่ในระดับเดียวกับ Eco car ซะยังงั้น
การตัดฮีทเตอร์ออกเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น เพราะคนที่มีความรู้ และเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับมันมาก่อน ก็จะรู้ซึ้งดีกันว่า
ระบบแอร์อัตโนมัติที่ไม่มีระบบทำความร้อนนั้น มันทำให้การทำงานของแอร์ด้อยประสิทธิภาพสุดๆขนาดไหน
เพราะทำให้เกิดจุดบอดต่อการขับขี่มากมายหลายด้าน ทั้งด้านทัศนวิสัยและด้านอุณหภูมิที่ควบคุมไม่ได้
กลายเป็นเครื่องแช่แข็งอัตโนมัติไปเลยในรถบางรุ่น
การได้ระบบ propilot จะสามารถช่วยให้ภาพของรถดูดีขึ้นมามากขึ้น แต่มันดันไม่ได้มีไว้สำหรับบ้านเรา
ดังนั้นตัวชูโรงจึงไปอยู่ที่ระบบ One-pedal ซึ่งดูเผินๆ อาจจะไม่มีอะไร เหมือนคันเร่งของรถบัมพ์ไฟฟ้าในสวนสนุก
แต่ระบบนี้ก็มีอะไรเทพๆอยู่ในตัวเช่นเดียวกับ e-POWER และ propilot เช่นกัน เรียกได้ว่า Nissan ถ้าจะขายรถให้ได้
ต้องเอาคนมาทดลองขับก่อนให้ได้ ไม่งั้นไปต่อยาก เพราะคุณงามความดีของตัวรถมันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีได้มีการลองของจริงเท่านั้น
ซึ่งสเปกและออฟชันในหน้ากระดาษมันไม่ช่วยอะไร ในขณะที่ตลาดกำลังจะมี Corolla Cross
ส่วน HR-V ถึงจะเก่าไปแล้ว แต่ก็คงจะไม่สะทกสะท้านหรอก
และถ้า Nissan ไทยยังไม่สามารถแก้ภาพของรถที่ดูถูกไม่คุ้มราคา1 ล้านบาท การขายก็จะทำได้ยากลำบากขึ้น
ซึ่งรูปร่างหน้าตาภายนอกของรถ ดูงดงามสมราคา จะมีก็แต่เรื่องภายในตัวรถเท่านั้น
ในส่วนของ one-pedal ผมได้ศึกษาค้นคว้ามาแล้วว่า one-pedal เป็นความสามารถของรถที่เป็นรถ EV
การมาอยู่ใน Nissan Kicks จึงทำให้ประสบการณ์ในการขับขี่พิเศษแบบเดียวกับรถ EV
ใน EV เราจะมี electromagnetic recuperation จากมอเตอร์ที่ยังคงหมุนอยู่ แล้วกลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าชาร์จกลับเข้าไปในแบตเตอรี
ทำให้ได้รับความรู้สึกแบบ engine brakeที่ค่อนข้างหนักๆ ซึ่ง one-pedal จะให้ประสบการขับที่สนุกมากสำหรับหลายๆคน
เพราะสามารถช่วยให้เราตั้งสมาธิไปที่การบังคับควบคุมพวงมาลัยเป็นหลัก โดยไม่ต้องขยับเท้ามาเบรกในสถานการณ์การขับปกติ
ยกเว้น action บางอย่างที่ต้องย้ายเท้าไปเหยียบเบรกจริงๆ ซึ่ง One-pedal อาจให้ความสนุกในการขับขี่บนถนนจริงได้มากกว่าที่คิด
และเมื่อดู feedback จากผู้ใช้รถไฟฟ้า ก็พบว่า One-pedal นี่ขับแล้วสนุกแน่นอน
การขับในพื้นที่ที่มีทางลาดลงเป็นอะไรที่ดีงามสำหรับ one-pedal ทั้งหมดจึงทำให้ตัวผู้ขับขี่มีความเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถได้มากขึ้น
มากกว่าการขับรถแบบเครื่องสันดาป หรือรถระบบ hybrid ทั่วไปที่ไม่มี one-pedal
สำหรับคนที่ไม่ชอบรถ EV ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องหาที่ชาร์จ e-power ก็จะให้ประสบการณ์ที่เหมือนกันตรงนี้ได้
Nissan Kicks สเปกที่มี propilot e-POWER one pedal ทำให้มันมีคุณสมบัติแบบรถไฟฟ้ามากที่สุด
แต่ต้องรับได้นะว่า ยังต้องเติมน้ำมัน มีเสียงเครื่องยนต์ติด มีกลิ่นควันจากการเผาไหม้
ซึ่งจะเป็นตัวแบ่งไปเลยว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบ คนที่ไม่ชอบก็จะมองว่าเป็นแค่รถไฮบริด หรือ
เป็นคนที่กำลังมองหารถ EV จริงๆ ไม่ใช่รถไฮบริดที่ทำตัวเป็น EV ประมาณนั้น
คนที่ไม่แคร์เรื่องนี้ แต่อยากได้คุณสมบัติแบบรถไฟฟ้า ก็จะรู้สึกว่า Kicks ตอบโจทย์ได้มากที่สุด
ขนาดในญี่ปุ่นที่น่าจะสนใจรถ EV จริงๆมากกว่า แต่พอ Nissan ลองทำตลาดรถยนต์ไฮบริดที่มีสกิลแบบรถไฟฟ้าแบบนี้
คนญี่ปุ่นก็ยังตอบรับเป็นอย่างดี
ระบบ e-POWER จึงไม่ใช่ระบบที่ดูโง่เขลาอย่างที่หลายๆคนสบประมาท
แม้ว่าระบบไฮบริดแบบอนุกรมก็เป็นจุดที่ทำให้ Nissan รู้สึกลังเลเหมือนกันที่จะทำตลาดกับ Note ตั้งแต่แรกที่จะวางขายในญี่ปุ่น
ก็เพราะก็คงโดนสบประมาทมาก่อนเหมือนๆกันกับที่เกิดขึ้นในไทยนี่แหล่ะ
ว่าเป็นแค่ระบบไฮบริทเชยๆ เทคโนโลยีเก่าๆสู้คู่แข่งไม่ได้
แต่แล้วผลตอบรับจากยอดขายก็ช่วยสะท้อนความดีงานของตัวระบบนี้เอง
ทำให้ Nissan รู้แล้วว่า ระบบนี้เป็นระบบที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้
และเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของบริษัทเองอย่างมาก
แต่นั่นก็อาจจะความโชคดีหรือไม่อย่างไร เพราะลูกค้าชาวญี่ปุ่นอาจจะคิดไม่เหมือนกับลูกค้าในตลาดโลก
Nissan จึงตั้งใจที่จะเดินเกมแบบช้าๆแต่ชัวร์ๆ
เราจึงไม่เห็น Nissan ปล่อย e-POWER เข้าสู่ตลาดโลกอย่างเต็มที่
แต่เชื่อแน่ว่า Nissan คงกำลังมองการทำตลาดของรถ EV คู่กับ e-POWER เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าทั้งหมด
ที่ต้องการรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ทั้งลูกค้าส่วนที่สะดวกจะชาร์จแบตและลูกค้าส่วนที่รู้สึกไม่สะดวกสบายกับการชาร์จแบตสำหรับการใช้งานรถ
จะว่าไปนะครับ ทุกวันนี้การชาร์จแบตโทรศัพท์หรือพาวเวอร์แบงค์ทุกๆวัน
ก็ไม่ใช่ว่าสะดวกสบาย มันเป็นเรื่องที่โค ตรหน้าเบื่อ ที่ต้องทำอยู่ทุกวี่ทุกวัน ห้ามลืม
ดังนั้นก็ต้องมีในส่วนของคนที่เบื่อหน่ายรถไฟฟ้าที่ต้องอาศัยแต่การชาร์จไฟอย่างแน่นอน
ราคาญี่ปุ่น 798,654-830,485 ราคาที่ต่างกัน 3 หมื่นคือสีทูโทนภายใน ก็ต้องถือว่าจัดจำหน่ายอยู่รุ่นเดียว เพียงแต่เลือกสีของเบาะได้
ส่วนราคาในไทย
S : 889,000
E : 949,000
V : 999,000
VL : 1,049,000
จะว่าไปแล้ว Kicks ในตลาดบ้านเรา ก็อาจจะเรียกไม่มีคู่แข่งตรงๆกับมัน แม้ C-HR จะเป็นรถไฮบริดเหมือนกัน
แต่อารมณ์การขับขี่ก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ผมเชื่อว่าสำหรับตลาดญี่ปุ่นที่คุ้นเคยกับ e-POWER มาหลายปีแล้ว หลายคนอาจจะไม่มองว่า มันเทียบกันได้ตรงๆ
ความน่าสนใจที่มีต่อระบบ e-POWER จะเป็นคนละแบบกับรถไฮบริดในท้องตลาดรุ่นอื่นๆ พวกเขาตอนนี้ไม่ได้มองว่า
e-POWER มันก็เป็นเพียงแค่รถไฮบริดอีกประเภท แต่มองว่ามันเป็นอีกชนิด อีกรูปแบบ ที่เป็นทางเลือกที่แตกต่าง
หากเทียบราคาของ Kicks กับรถยนต์ที่มีราคาใกล้เคียงกันทั้งหมด ที่มีความน่าสนใจในท้องตลาดบ้านเรา ก็จะมี
- Honda Civic 1.8 กับ 1.5 turbo ธรรมดา
- Toyota Corolla 1.6G, 1.8GR และรุ่น Hybrid ทั้งหมด
- Mazda 3 รุ่นล่างและรุ่นกลาง
- MG HS ทุกรุ่นย่อย
- Honda HR-V รุ่นล่างกับรุ่นกลาง (จริงๆนี่จะทำให้มองว่า Kicks ถูกมากได้นะเนี่ย)
- Toyota C-HR ทุกรุ่นเว้นรุ่นท๊อป (และรู้สึกราคาเริ่มต้นของ C-HR ดูแรงมากสำหรับ segment นี้)
- Mazda CX-30 รุ่นเริ่มต้นกับรุ่นกลาง
- Mazda CX-3 รุ่นรองท๊อปกับรุ่นท๊อป
- Mitsubishi Xpander Cross
เมื่อมองจากสเป็กแล้ว จะเห็นได้ว่าจริงๆแล้ว Kicks ก็ไม่ได้ถือว่าแพงเว่อร์
เมื่อคิดถึงระบบ e-power และ one-pedal ที่ได้มา แต่มันดูแพงตรงที่วัสดุอุปกรณ์ดูไม่ต่างจาก Almera มากกว่า
รถอื่นๆที่น่าสนใจนำมาเปรียบเทียบ แต่มีราคาถูกลงมาอีกเล็กน้อย ก็จะมี
- MG ZS รุ่นท๊อป 799,000 ที่มี panoramic roof
- Suzuki XL7 799,000 ที่เป็นรถ 7 ที่นั่ง และมีความสูงเท่ากับรถเอนกประสงค์ขนาดใหญ่
- Mitsubishi Xpander ตัวท๊อป 849,000
- Toyota Sienta ตัวท๊อป 875,000
ผมพบ feedback ที่น่าสนใจจากรายการในยูทูป 2 รายการ
จากรายการ beartai กล่าวว่า
"จากคนที่ขับรถ EV อยู่ทุกวันนะ นี่คือรถ EV เลยครับคุณผู้ชม แม้ว่ารถคันนี้เติมน้ำมันได้
แต่ก็เพื่อตอบโจทย์ความคลางแคลงใจของผู้ที่ยังกังวลเรื่องการชาร์จไฟตามจุดต่างๆ แต่การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
นี่คือพลังความรู้สึกแบบ แบบ EV เพียวๆเลย นี่แหล่ะ สมสโลแกน power to thrill สัมผัสความรู้สึกที่มันว้าวอ่ะ"
รายการ driveautoblog กล่าวว่า
"งานประกอบสำหรับรถที่ต้องผลิตส่งญี่ปุ่นด้วยนี่มัน เนียนจริงๆนะ... มาดูครับ รถเนียนดีจริงๆครับ ทั้งภายนอก
ภายใน งานต่างๆ ได้ใช้รถที่ line ผลิต common กับสเปกญี่ปุ่น มันดียังงี้"
ก็มีเพียงแค่นั้นนะครับ ที่เหลือก็คงได้แต่รอทดลองขับ
ในส่วนด้านการขับขี่ นักทดลองขับเกือบทั้งหมดในตอนนี้ล้วนให้ Kicks ผ่านแบบสบายๆ
ทั้งอัตราเร่ง การบังคับควบคุม ช่วงล่าง
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ตอบโจทย์คนที่ชอบไปทางสาย Mazda ที่มีความชื่นชอบรถที่มีช่วงล่าง หนึบๆแข็งๆหน่อย
Kicks จะเป็นรถในลักษณะที่ให้ความรู้สึกเกาะถนนแต่นุ่ม ซึ่งคนที่ไม่ชอบจะรู้สึกว่ามันนุ่มย้วย
แต่เท่าที่ฟังดูแบบนี้ ก็ทำให้เรามองภาพออกแล้วล่ะว่า Nissan ได้ปรับจูนมาสำหรับลูกค้าส่วนใหญ่เป็นหลัก
โดยยังคงความดีงามในด้านการขับขี่ที่ถือได้ว่าโอเคเลย
มาดู Kicks e-power ตัวจริงในญี่ปุ่น คุยเรื่อง One-pedal และราคาค่าตัวของไทยคุ้มหรือไม่คุ้ม
อันนี้เป็นการดู Kicks ตัวจริงและพูดถึงจุดต่างๆ ที่ผมคิดว่า Kicks มีทั้งดีและไม่ดี จากมุมมองของผมครับ
Nissan Kicks รุ่นนี้ จริงๆแล้วมี ระบบ propilot เป็นตัวชูโรงที่สำคัญ แต่จำกัดไว้ให้เฉพาะเสป็กส่งออกญี่ปุ่นได้
ซึ่งระบบนี้เป็นระบบที่จะช่วยทำให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่น มองว่ารถคันนี้มีราคาไม่แพงจนเกินไป เพราะด้วยราคาระดับนี้ในตลาดญี่ปุ่น
ต้องได้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแล้ว โดยสามารถซื้อ C-HR 4WD ในราคาที่ถูกกว่ากัน 5 หมื่นบาทแต่ไม่มีระบบ hybrid
และสามารถซื้อ H-RV hybrid 4WD ในราคาเท่าๆกัน
ซึ่งสำหรับญี่ปุ่นในหลายพื้นฐาน ระบบ 4WD ในรถระดับนี้เป็นตัวที่จำเป็น แต่เนื่องจากเมืองไทยไม่ได้ผลิต Kicks รุ่น 4WD
เพราะไม่คุ้มค่าในการผลิต และรถในตลาดระดับนี้ยังไม่มีความต้องการในระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ จึงต้องให้ propilot
ทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปในรุ่นที่ส่งไปขายญี่ปุ่น และช่วยทำให้ลูกค้ามองข้ามเรื่องความด้อยในด้านวัสดุภายใน
ผลก็คือ ทำให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจไม่น้อย และคิดว่า Kicks เป็นรถที่คุ้มค่า จากเดิมที่มีกระแสมองว่า Kicks เป็นรุ่นที่มีราคาแพงมากเกินไป
จากตอนแรกที่ได้เห็นสเป็คเมืองไทยออกมาหลายเดือนก่อน แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นปัญหาสำหรับลูกค้าในไทยส่วนใหญ่ต่อไป
เพราะกระแสเรื่องแผงประตูดู low รุนแรงมาก และ e-POWER ถูกสื่อรุมให้คำนิยามว่าก็เป็นเพียงแค่ระบบไฮบริดอีกแบบหนึ่ง
ทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรพิเศษ
เมื่อเป็นแบรนด์รองด้วยแล้ว หลายกระแสบอกว่า รถรุ่นนี้ไม่น่าจะมีราคาสูงเกิน 1 ล้านบาทด้วยซ้ำ
ด้วยวัสดุของชิ้นส่วนทั้งหมดที่ยกมาจาก Almera ทั้งหมด และยังมีการออกแบบของแผงประตูที่ดูเรียบมากเกินไปจนเหมือนรถราคาถูก
หนำซ้ำ Nissan ยังแอบตัดระบบทำความร้อนของแอร์อัตโนมัติไป แบบ Almera ดังนั้นทั้งสองรุ่นที่มีราคาต่างกันเกือบหนึ่งเท่า
รุ่นที่แพงล้านกว่าแต่กลับไม่มีอะไรที่พิเศษกว่า ความหรูหราและความสะดวกสบายของห้องโดยสารอยู่ในระดับเดียวกับ Eco car ซะยังงั้น
การตัดฮีทเตอร์ออกเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น เพราะคนที่มีความรู้ และเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับมันมาก่อน ก็จะรู้ซึ้งดีกันว่า
ระบบแอร์อัตโนมัติที่ไม่มีระบบทำความร้อนนั้น มันทำให้การทำงานของแอร์ด้อยประสิทธิภาพสุดๆขนาดไหน
เพราะทำให้เกิดจุดบอดต่อการขับขี่มากมายหลายด้าน ทั้งด้านทัศนวิสัยและด้านอุณหภูมิที่ควบคุมไม่ได้
กลายเป็นเครื่องแช่แข็งอัตโนมัติไปเลยในรถบางรุ่น
การได้ระบบ propilot จะสามารถช่วยให้ภาพของรถดูดีขึ้นมามากขึ้น แต่มันดันไม่ได้มีไว้สำหรับบ้านเรา
ดังนั้นตัวชูโรงจึงไปอยู่ที่ระบบ One-pedal ซึ่งดูเผินๆ อาจจะไม่มีอะไร เหมือนคันเร่งของรถบัมพ์ไฟฟ้าในสวนสนุก
แต่ระบบนี้ก็มีอะไรเทพๆอยู่ในตัวเช่นเดียวกับ e-POWER และ propilot เช่นกัน เรียกได้ว่า Nissan ถ้าจะขายรถให้ได้
ต้องเอาคนมาทดลองขับก่อนให้ได้ ไม่งั้นไปต่อยาก เพราะคุณงามความดีของตัวรถมันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีได้มีการลองของจริงเท่านั้น
ซึ่งสเปกและออฟชันในหน้ากระดาษมันไม่ช่วยอะไร ในขณะที่ตลาดกำลังจะมี Corolla Cross
ส่วน HR-V ถึงจะเก่าไปแล้ว แต่ก็คงจะไม่สะทกสะท้านหรอก
และถ้า Nissan ไทยยังไม่สามารถแก้ภาพของรถที่ดูถูกไม่คุ้มราคา1 ล้านบาท การขายก็จะทำได้ยากลำบากขึ้น
ซึ่งรูปร่างหน้าตาภายนอกของรถ ดูงดงามสมราคา จะมีก็แต่เรื่องภายในตัวรถเท่านั้น
ในส่วนของ one-pedal ผมได้ศึกษาค้นคว้ามาแล้วว่า one-pedal เป็นความสามารถของรถที่เป็นรถ EV
การมาอยู่ใน Nissan Kicks จึงทำให้ประสบการณ์ในการขับขี่พิเศษแบบเดียวกับรถ EV
ใน EV เราจะมี electromagnetic recuperation จากมอเตอร์ที่ยังคงหมุนอยู่ แล้วกลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าชาร์จกลับเข้าไปในแบตเตอรี
ทำให้ได้รับความรู้สึกแบบ engine brakeที่ค่อนข้างหนักๆ ซึ่ง one-pedal จะให้ประสบการขับที่สนุกมากสำหรับหลายๆคน
เพราะสามารถช่วยให้เราตั้งสมาธิไปที่การบังคับควบคุมพวงมาลัยเป็นหลัก โดยไม่ต้องขยับเท้ามาเบรกในสถานการณ์การขับปกติ
ยกเว้น action บางอย่างที่ต้องย้ายเท้าไปเหยียบเบรกจริงๆ ซึ่ง One-pedal อาจให้ความสนุกในการขับขี่บนถนนจริงได้มากกว่าที่คิด
และเมื่อดู feedback จากผู้ใช้รถไฟฟ้า ก็พบว่า One-pedal นี่ขับแล้วสนุกแน่นอน
การขับในพื้นที่ที่มีทางลาดลงเป็นอะไรที่ดีงามสำหรับ one-pedal ทั้งหมดจึงทำให้ตัวผู้ขับขี่มีความเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถได้มากขึ้น
มากกว่าการขับรถแบบเครื่องสันดาป หรือรถระบบ hybrid ทั่วไปที่ไม่มี one-pedal
สำหรับคนที่ไม่ชอบรถ EV ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องหาที่ชาร์จ e-power ก็จะให้ประสบการณ์ที่เหมือนกันตรงนี้ได้
Nissan Kicks สเปกที่มี propilot e-POWER one pedal ทำให้มันมีคุณสมบัติแบบรถไฟฟ้ามากที่สุด
แต่ต้องรับได้นะว่า ยังต้องเติมน้ำมัน มีเสียงเครื่องยนต์ติด มีกลิ่นควันจากการเผาไหม้
ซึ่งจะเป็นตัวแบ่งไปเลยว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบ คนที่ไม่ชอบก็จะมองว่าเป็นแค่รถไฮบริด หรือ
เป็นคนที่กำลังมองหารถ EV จริงๆ ไม่ใช่รถไฮบริดที่ทำตัวเป็น EV ประมาณนั้น
คนที่ไม่แคร์เรื่องนี้ แต่อยากได้คุณสมบัติแบบรถไฟฟ้า ก็จะรู้สึกว่า Kicks ตอบโจทย์ได้มากที่สุด
ขนาดในญี่ปุ่นที่น่าจะสนใจรถ EV จริงๆมากกว่า แต่พอ Nissan ลองทำตลาดรถยนต์ไฮบริดที่มีสกิลแบบรถไฟฟ้าแบบนี้
คนญี่ปุ่นก็ยังตอบรับเป็นอย่างดี
ระบบ e-POWER จึงไม่ใช่ระบบที่ดูโง่เขลาอย่างที่หลายๆคนสบประมาท
แม้ว่าระบบไฮบริดแบบอนุกรมก็เป็นจุดที่ทำให้ Nissan รู้สึกลังเลเหมือนกันที่จะทำตลาดกับ Note ตั้งแต่แรกที่จะวางขายในญี่ปุ่น
ก็เพราะก็คงโดนสบประมาทมาก่อนเหมือนๆกันกับที่เกิดขึ้นในไทยนี่แหล่ะ
ว่าเป็นแค่ระบบไฮบริทเชยๆ เทคโนโลยีเก่าๆสู้คู่แข่งไม่ได้
แต่แล้วผลตอบรับจากยอดขายก็ช่วยสะท้อนความดีงานของตัวระบบนี้เอง
ทำให้ Nissan รู้แล้วว่า ระบบนี้เป็นระบบที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้
และเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของบริษัทเองอย่างมาก
แต่นั่นก็อาจจะความโชคดีหรือไม่อย่างไร เพราะลูกค้าชาวญี่ปุ่นอาจจะคิดไม่เหมือนกับลูกค้าในตลาดโลก
Nissan จึงตั้งใจที่จะเดินเกมแบบช้าๆแต่ชัวร์ๆ
เราจึงไม่เห็น Nissan ปล่อย e-POWER เข้าสู่ตลาดโลกอย่างเต็มที่
แต่เชื่อแน่ว่า Nissan คงกำลังมองการทำตลาดของรถ EV คู่กับ e-POWER เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าทั้งหมด
ที่ต้องการรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ทั้งลูกค้าส่วนที่สะดวกจะชาร์จแบตและลูกค้าส่วนที่รู้สึกไม่สะดวกสบายกับการชาร์จแบตสำหรับการใช้งานรถ
จะว่าไปนะครับ ทุกวันนี้การชาร์จแบตโทรศัพท์หรือพาวเวอร์แบงค์ทุกๆวัน
ก็ไม่ใช่ว่าสะดวกสบาย มันเป็นเรื่องที่โค ตรหน้าเบื่อ ที่ต้องทำอยู่ทุกวี่ทุกวัน ห้ามลืม
ดังนั้นก็ต้องมีในส่วนของคนที่เบื่อหน่ายรถไฟฟ้าที่ต้องอาศัยแต่การชาร์จไฟอย่างแน่นอน
ราคาญี่ปุ่น 798,654-830,485 ราคาที่ต่างกัน 3 หมื่นคือสีทูโทนภายใน ก็ต้องถือว่าจัดจำหน่ายอยู่รุ่นเดียว เพียงแต่เลือกสีของเบาะได้
ส่วนราคาในไทย
S : 889,000
E : 949,000
V : 999,000
VL : 1,049,000
จะว่าไปแล้ว Kicks ในตลาดบ้านเรา ก็อาจจะเรียกไม่มีคู่แข่งตรงๆกับมัน แม้ C-HR จะเป็นรถไฮบริดเหมือนกัน
แต่อารมณ์การขับขี่ก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ผมเชื่อว่าสำหรับตลาดญี่ปุ่นที่คุ้นเคยกับ e-POWER มาหลายปีแล้ว หลายคนอาจจะไม่มองว่า มันเทียบกันได้ตรงๆ
ความน่าสนใจที่มีต่อระบบ e-POWER จะเป็นคนละแบบกับรถไฮบริดในท้องตลาดรุ่นอื่นๆ พวกเขาตอนนี้ไม่ได้มองว่า
e-POWER มันก็เป็นเพียงแค่รถไฮบริดอีกประเภท แต่มองว่ามันเป็นอีกชนิด อีกรูปแบบ ที่เป็นทางเลือกที่แตกต่าง
หากเทียบราคาของ Kicks กับรถยนต์ที่มีราคาใกล้เคียงกันทั้งหมด ที่มีความน่าสนใจในท้องตลาดบ้านเรา ก็จะมี
- Honda Civic 1.8 กับ 1.5 turbo ธรรมดา
- Toyota Corolla 1.6G, 1.8GR และรุ่น Hybrid ทั้งหมด
- Mazda 3 รุ่นล่างและรุ่นกลาง
- MG HS ทุกรุ่นย่อย
- Honda HR-V รุ่นล่างกับรุ่นกลาง (จริงๆนี่จะทำให้มองว่า Kicks ถูกมากได้นะเนี่ย)
- Toyota C-HR ทุกรุ่นเว้นรุ่นท๊อป (และรู้สึกราคาเริ่มต้นของ C-HR ดูแรงมากสำหรับ segment นี้)
- Mazda CX-30 รุ่นเริ่มต้นกับรุ่นกลาง
- Mazda CX-3 รุ่นรองท๊อปกับรุ่นท๊อป
- Mitsubishi Xpander Cross
เมื่อมองจากสเป็กแล้ว จะเห็นได้ว่าจริงๆแล้ว Kicks ก็ไม่ได้ถือว่าแพงเว่อร์
เมื่อคิดถึงระบบ e-power และ one-pedal ที่ได้มา แต่มันดูแพงตรงที่วัสดุอุปกรณ์ดูไม่ต่างจาก Almera มากกว่า
รถอื่นๆที่น่าสนใจนำมาเปรียบเทียบ แต่มีราคาถูกลงมาอีกเล็กน้อย ก็จะมี
- MG ZS รุ่นท๊อป 799,000 ที่มี panoramic roof
- Suzuki XL7 799,000 ที่เป็นรถ 7 ที่นั่ง และมีความสูงเท่ากับรถเอนกประสงค์ขนาดใหญ่
- Mitsubishi Xpander ตัวท๊อป 849,000
- Toyota Sienta ตัวท๊อป 875,000
ผมพบ feedback ที่น่าสนใจจากรายการในยูทูป 2 รายการ
จากรายการ beartai กล่าวว่า
"จากคนที่ขับรถ EV อยู่ทุกวันนะ นี่คือรถ EV เลยครับคุณผู้ชม แม้ว่ารถคันนี้เติมน้ำมันได้
แต่ก็เพื่อตอบโจทย์ความคลางแคลงใจของผู้ที่ยังกังวลเรื่องการชาร์จไฟตามจุดต่างๆ แต่การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
นี่คือพลังความรู้สึกแบบ แบบ EV เพียวๆเลย นี่แหล่ะ สมสโลแกน power to thrill สัมผัสความรู้สึกที่มันว้าวอ่ะ"
รายการ driveautoblog กล่าวว่า
"งานประกอบสำหรับรถที่ต้องผลิตส่งญี่ปุ่นด้วยนี่มัน เนียนจริงๆนะ... มาดูครับ รถเนียนดีจริงๆครับ ทั้งภายนอก
ภายใน งานต่างๆ ได้ใช้รถที่ line ผลิต common กับสเปกญี่ปุ่น มันดียังงี้"
ก็มีเพียงแค่นั้นนะครับ ที่เหลือก็คงได้แต่รอทดลองขับ
ในส่วนด้านการขับขี่ นักทดลองขับเกือบทั้งหมดในตอนนี้ล้วนให้ Kicks ผ่านแบบสบายๆ
ทั้งอัตราเร่ง การบังคับควบคุม ช่วงล่าง
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ตอบโจทย์คนที่ชอบไปทางสาย Mazda ที่มีความชื่นชอบรถที่มีช่วงล่าง หนึบๆแข็งๆหน่อย
Kicks จะเป็นรถในลักษณะที่ให้ความรู้สึกเกาะถนนแต่นุ่ม ซึ่งคนที่ไม่ชอบจะรู้สึกว่ามันนุ่มย้วย
แต่เท่าที่ฟังดูแบบนี้ ก็ทำให้เรามองภาพออกแล้วล่ะว่า Nissan ได้ปรับจูนมาสำหรับลูกค้าส่วนใหญ่เป็นหลัก
โดยยังคงความดีงามในด้านการขับขี่ที่ถือได้ว่าโอเคเลย