ขอคำชี้แนะ จากน้องใหม่ในห้องศาสนา

กระทู้คำถาม
ขอเล่าเรื่องราว  จากประสบการณ์ จากหลายปีที่ผ่านมาจนปัจจุบัญ

พระชวนลงจากรถ
2 ครั้ง ครั้งแรกข้าพเจ้า เดินทางจากเชียงใหม่คนเดียว ต่อรถที่จังหวัดตาก เพื่อจะไป จ.เลย มีนัดกับกลุ่มเพื่อนขึ้นภูกระดึง ช่วงเทศกาลปีใหม่
จาก จ.ตาก จำเป็นต้องนั่ง บขส ธรรมดา ไปต่อ ระหว่างทาง มีพระภิกษุ ขึ้นมา จึงสละที่นั่งให้ท่าน 
จำได้ว่า ผ่านตัวเมืองสุโขทัยไปซักพัก ก็ถึงที่หมาย ของภิกษุรูปนั้น ท่านหันมาพูดกับข้าพเจ้า
" โยม ไปที่วัดกับอาตมา ได้ไหม "
ตกใจ คือความรู้สึกแรก ที่จำได้ แล้วก็กลัว เอ๊ะนี่ เราจะเป็นอะไรป่าว ท่านจะมาเตือนอะไรเรา   เล่าให้เพื่อนฟัง มันก็บอกได้แค่
แก ( ที่จริงใช้คำว่า "ม" ) ก็รีบไปทำบุญสะเดาะเคราะห์เลยงั้น
และครั้งที่  2 บนไฟ กำลังเดินทางไปหาดใหญ่  ก็มีพระภิกษุ ชวนลง ที่สถานี พุนพิน จ.สุราษฏร์ธานี

เริ่มปฏิบัติ เพราะปากพาไป
เรื่องราวข้างต้น เกือบจะถูกลืม ไปจนกระทั่งเรียนจบ    ได้รู้จักกับพี่ๆ ป้าๆ หลายๆคน ที่ชอบพูดคุยกันเรื่องธรรมมะ
แล้วก็พอทราบมาก่อนว่า มีการรวมกลุ่มกัน นั่งสมาธิ โดยมีชีพราหมท่าน หนึ่ง( ได้บวชเป็นแม่ชี ก่อนมรณะภาพ ) มาช่วยสอน
ด้วยความที่ มีพี่คนนึงในกลุ่ม ที่สนิทกันเป็นพิเศษ โทรคุยกันสัพเพเหระ เป็นประจำ จนวันนึ่ง
หลังการสนทนา หลุดปากออกไปว่า "วันไหนพี่นั่งสมาธิกัน ชวนด้วยนะ จะไปด้วย"
พี่เค้าก็ตอบ กลับมาทันทีว่า "ก็วันนี้ไง วันนี้วันพระ พวกพี่นั่งกันทุกวันพระ"  นึกในใจ ซวยแล้ว ที่พูดไปน่ะ คือต้องการจะแซว
แล้วข้าพเจ้า ก็เลยจำเป็นต้องไป    มีคน ทั้งรู้จักและไม่รู้จัก ร่วมๆ 20 คน
ก็คงจะไม่ต่างกันในแต่ละที่ เทศนา  สวดมนต์ แล้วก็นั่งสมาธิ
ตรงเทศนา นี่ซิ ที่ทำให้รู้สึกแตกต่าง การเทศนาของอาจารย์ ซึ่ง ขณะนั้น ท่านขอให้เรียก ท่านว่า ป้า ก็พอ ไม่ต้องเรียกอาจารย์
ท่านใช้คำพูด เหมือนคนคุยกันทั่วๆไป ไม่มีคำที่ฟังยากๆ เหมือนเราฟังพระเทศน์ ฟังแล้วเพลินดี สนุกดี
หรืออาจเป็นเพราะข้าพเจ้า รวมถึงคนรุ่นราวคราวเดียวกันอีกหลายคน ที่มีนิสัยไม่ต่างกันคือ เจอพระแล้วจะเดินหลบ
มาถึงตอนนั่ง สมาธิ ซึ่งตัวข้าพเจ้าเอง มีอาการปวดหลังแบบเรื้อรังมาตั้งแต่เรียนหนังสือ วันไหนถ้าปวดขึ้นมา จะระบมไปอีก 2-3 วัน
ครั้งแรก นั่งไม่ได้ ปวดมาก แอบมองนาฬิกาตลอด เมื่อไหร่จะเสร็จ จะได้กลับบ้าน
หลังนั่งสมาธิ อาจารย์ท่าน ก็จะคุยต่อทีละคน 
คุณคนนี้นะ   ให้ทำแบบนี้   คุณคนนี้  อ่านหนังสือเล่มนี้( หยิบหนังสือให้ ) คุณคนนี้ ลองไปทำแบบนี้อยู่
จนมาถึงข้าพเจ้า ซึ่งเป็นน้องใหม่ นั่งหลังสุด
ท่านบอก สั้นๆ ว่า "ท่าเธอนั่งแล้วปวดหลัง  เธอนอนก็ได้  คราวหน้า เธอลองนอนนะ ไม่ต้องนั่ง"
แอบสงสัยเล็กๆ ว่า รู้ได้ยังไง  หรือท่านคงจะเห็นข้าพเจ้านั้นขยับตัวตลอดแน่

จนมาครั้งที่ 2 ถัดไป ข้าพเจ้าก็ลองนอนทำสมาธิดู
อาจารย์ท่านไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่า ต้องกำหนดลมหายใจ ต้อง พุทธโธ   ท่านบอกให้นั่งกันตามถนัด ส่วนข้าพเจ้านอน
ด้วยอารมย์ไหนไม่ทราบได้ ข้าพเจ้านึกถึงพระพุทธรูปองค์ที่ต้งอยู่ที่บ้านเกิดที่ กทม ทำด้วยหินสีเขียว แต่ปลายยอดเกศหัก
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ เป็นแสงสว่างและมีองค์พระพุทธรูปลอยอยู่ตรงหน้า ใสราวกระจก ค่อยๆหมุนช้าๆ
หลังนั่ง(นอน) ข้าพเจ้ายังนั่งเอ๋อ นิ่งใบ้สนิทอยู่หลังห้อง เช่นเดิม ท่านก็คุย ทีละคน ต้องทำโน่น ทำนี่
จนมาถึงข้าพเจ้า  " เธอ จำภาพที่เห็นได้มั๊ย "    เฮ้ยยยย ยังไม่ได้อ้าปากคุยกับใครเลยว่าเห็นอะไร
" นั่นคือ อารมย์ของ ฌานที่ 4  เธอจำอารมย์นั้นเอาไว้ "    คนทั้งห้องหันมามอง
คงคิดในใจ บ้านี่มาจากไหน คนอื่นเค้านั่งกันมาเป็นปี ยัง ขณิก - อุปจาร อยู่เลย
ท่านยื่น หนังสือให้ 4 เล่ม " เอาไปอ่านดู อย่างเธอน่ะ ไม่กี่วันก็เข้าใจ "
หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เริ่ม ศึกษา ฝึกปฏิบัติ ฝึกการเดินฌาน โดยมีอาจารย์ท่าน เป็นทั้ง ครู และพี่เลี้ยง
จนวันหนึ่ง เลยถือโอกาสเล่าให้ฟัง เรื่องที่ข้าพเจ้าเคยมี พระภิกษุ ชวนลงกลางทาง
อาจารย์ท่านตอบว่า " ท่านก็ เห็น เหมือนที่ฉันเห็น นี่แหล่ะ "

อาจารย์ที่ไม่มีตัวตน
ในช่วงเวลาที่ฝึกเดินฌาน  แล้ววันนึ่งระหว่างฝึกปฏิบัติ  ข้าพเจ้าเห็น พระธุดงค์เดินอยู่ข้างหน้า เหมือนข้าพเจ้ากำลังเดินตาม
ลืมตาขึ้นมาปุ๊บ อาจารย์ชี้หน้ามาเลย " เธอนั่งต่อเดี๋ยวนี้  เข้าไปกราบ แล้วถามว่าท่านเป็นใคร "
ก็เลยนั่งทำสมาธิต่อ ( นั่งได้มาซักพักแล้ว  ผู้ปฏิบัติคงทราบดี  อาการปวดหลังที่เรื้อรัง มาหลายปี  หายไป )
ภาพที่เห็น คงน่าจะเป็นโบสถ์ เก่าๆ ผนังปูนไม่มีตกแต่งอะไร มีพระประธาน อยู่ตรงหน้าองค์เดียว พระธุดงค์ที่เคยเดินอยู่
นั่งสงบนิ่ง อยู่ทางซ้าย เห็นหน้าชัดเจน  แต่ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น ไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร
ออกมาบอกอาจารย์ เล่าให้ท่านฟัง ท่านก็ได้แค่ค้นหนังสือ ที่มีภาพแล้วไล่ถามว่า ใช้ท่านนี้ไหม ใช่ท่านนี้ไหม
จนพบ กับภาพ ตรงกับที่ข้าพเจ้าเห็น ........ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
คือครั้งแรก ที่ข้าพเจ้าเห็นหน้าท่าน รู้จักชื่อท่าน
และ อาจารย์ก็เลยให้คำแนะนำต่อว่า " เธอควรจะ ฝึกตามสายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง นะ "
" ส่วนฉัน ก็จะสอนเธอ เท่าที่ฉันจะสอนได้ จนกว่า เธอจะหาครูของเธอเจอ "

ปัจจุบัน อาจารย์ที่เป็นแม่ชี( บวชแล้ว ) ได้มรณะภาพไปแล้ว
การปฏิบัติ ก็ยัง เป็นไปตามคำสอน คำแนะนำของท่าน อย่างไม่ตกหล่น
ยังมีอีก มากมาย ที่ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวถึง เพื่อไม่ให้เนื้อหามันมากเกินไป

เหตุที่ข้าพเจ้า เข้ามาในห้องนี้ เนื่องจากมีสมาชิกท่านหนึ่งที่อ้างตัวว่า เข้ามาห้องศาสนาเป็นประจำ
ไม่เข้าใจว่า การที่ข้าพเจ้าปฏิบัติตามแนวทาง สายวัดท่าซุง ปฏิบัติได้ถึงฌาน 4 
คือจะต้องเป็น ศิษย์มโนมยิทธิรุ่น ฌาน 4 เท่านั้น ซึ่ง ต้อง อายุมากแล้ว   แปลว่าข้าพเจ้ากำลังแอบอ้าง มุสา ใช่หรือไม่

และถือโอกาส สอบถามขอคำแนะนำ จากเพื่อนสมาชิก
ข้าพเจ้า ได้มีโอกาส พบกับ พระอาจารย์ อีกหลายๆรูป บ้างก็มีชื่อเสียง บางก็ อยู่ตามวัดป่า
แต่ข้าพเจ้า ยังคงไม่เจอ"ครู" ของข้าพเจ้า

หากมีสิ่งได้แนะนำไขความกระจ่างได้
จะเป็นพระคุณมาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่