ลงทุนหุ้น VS ลงทุนอสังหาฯ ยกที่3



ลงทุนหุ้น VS ลงทุนอสังหาฯ แบบไหนดีกว่ากัน? อาจเป็นคำถามที่หลายๆคนเคยสงสัย วันนี้เราจะมาวิเคราะห์ความแตกต่างของการลงทุนทั้งสองแบบนี้ โดยจะเป็นการวิเคราะห์จากประสบการณ์และความรู้สึกส่วนตัวของเราเองจากที่ได้ลงทุนทั้งสองแบบ โดยรูปแบบการลงทุนของเราจะเป็นสายฟาร์มค่าเช่าและปันผลครับ เชิญพบกับหุ้นฝ่ายน้ำเงิน และอสังหาฯฝ่ายแดงครับ

(สำหรับยกที่1 คลิกที่นี่ https://www.facebook.com/914970102183849/posts/1177585562588967/)

(สำหรับยกที่2 คลิกที่นี่ https://www.facebook.com/914970102183849/posts/1179558202391703/)

แบบไหนดีกว่ากัน? อืมม เป็นคำถามที่ค่อนข้างตอบยากพอสมควรนะครับ กับคำจำกัดความแค่คำสั้นๆว่า
“ดี” เพราะฉะนั้นเราจะตอบในมุมมองต่อ 4 สิ่งนี้ครับ ผลตอบแทน สภาพคล่อง การประเมินมูลค่า ความเสี่ยงในการลงทุน สำหรับวันนี้พบกับยกที่3 การประเมินมูลค่า ครับ
.
.
ยกที่3 (เสียงระฆัง)
-การประเมินมูลค่า

ก่อนอื่น “ราคา ≠ มูลค่า” เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีการประเมินมูลค่า เพื่อที่เราจะได้รู้ว่า สิ่งของนั้นแพงไปหรือถูกไป ราคาสูงกว่า ต่ำกว่า หรือเท่ากับมูลค่า 
ประเด็นนี้นั้นเป็นประเด็นที่สำคัญมาก ที่นักลงทุนส่วนใหญ่(โดยเฉพาะมือใหม่)อาจละเลยหรือมองข้ามไป ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ได้ของที่ราคาสูงกว่ามูลค่ามาครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรืออสังหาฯครับ
.
.
ความเหมือน-แตกต่างระหว่างการประเมินมูลค่าหุ้นและอสังหาฯ?
แน่นอนว่าทั้งสองอย่างนี้ต้องการmargin of safety ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยเหมือนกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นการลงทุนใดๆ หากราคานั้นสูงเกินกว่ามูลค่า หรือยิ่งสูงมากเท่าไหร่ โอกาสที่นักลงทุนจะเจ็บตัวก็มากขึ้นตามนั้นครับ

ความต่าง เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการทุกวันจันทร์-ศุกร์ ในทุกๆวันทำการมีการซื้อขายเกิดขึ้นทุกวินาที ราคาbid-offerก็แตกต่างกันไปในทุกๆวัน ซึ่งจุดนี้เราคิดว่าเป็น“ข้อเสีย”และทำให้นักลงทุนตัดสินใจทำการซื้อขายง่ายเกินไปและอาจหลงลืมการประเมินมูลค่าอย่างจริงจังในบางครั้ง มันเหมือนกับตลาดที่มีของขายมาล่อหน้าล่อตาทุกๆวัน บางทีเราก็อาจตัดสินใจซื้อในเวลาที่ยังไม่เหมาะสม และส่วนตัวเราคิดว่ารวมถึงดัชนีของตลาด ราคาย้อนหลังต่างๆ ก็มีผลในการประเมินมูลค่าแบบเปรียบเทียบ โดยนักลงทุนอาจยึดติดกับราคาเก่าๆ (การยึดติดanchoring)
กลับกันหากเป็นอสังหาฯ ไม่ได้เกิดการซื้อขายกันถี่แบบตลาดหลักทรัพย์ และราคาค่อนข้างจะเสถียรกว่าตลาดหุ้น ที่ราคาไม่ได้ขึ้นลงทุกๆวัน เราคิดว่าจุดนี้ทำให้นักลงทุนมีเวลาในการประเมินอย่างจริงจังมากกว่ารวมถึงได้รับอิทธิพลจากการยึดติดน้อยกว่าเช่นกัน

ความต่างอีกข้อเราคิดว่าปัจจัยที่ใช้ในการประเมินมูลค่า หากเป็นหุ้น นักลงทุนต้องมีความเข้าใจที่ดีในธุรกิจและอุตสาหกรรมนั้นๆ รวมถึงงบการเงินของบริษัท การทำกำไร ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นและอื่นๆ เพื่อนำมาประเมินมูลค่า ซึ่งจุดนี้เป็นการวิเคราะห์ในระดับที่จับต้องได้ยากกว่าอสังหาฯ 
ในการประเมินมูลค่าอสังหาฯนักลงทุนสามารถวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจนในปัจจัยต่างๆเช่นทำเล สภาพแวดล้อม กลุ่มเป้าหมาย สภาพทรัพย์สิน ผลตอบแทน เป็นต้น
.
.
“อารมณ์”ที่มีผลกับการประเมินมูลค่า

เราคิดว่าหุ้นนั้นทำให้นักลงทุนหวั่นไหวได้มากกว่าอสังหาฯครับ ลองมาดูกันว่าทำไม
ตัวอย่างเช่น เมื่อหุ้นตกหนัก ตลาดลบ50จุด แดงเถือกไปทั้งกระดาน ติดต่อกันหลายวัน เราเชื่อว่านักลงทุนหลายๆคนเกิดความหวั่นไหว ตกใจและขายหุ้นทิ้งไป(panic selling) เพราะราคาวันต่อวันที่ตกลงเรื่อยๆ เราเห็นกับตา เห็นทุกวินาทีที่ราคาเปลี่ยนแปลง บางครั้งมันช่างดูน่ากลัวเหลือเกิน เหมือนกับว่าตลาดจะพังลงมากับตา ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนถูกอารมณ์ครอบงำและหลงลืมการประเมินมูลค่าไป (หากพื้นฐานของธุรกิจไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อราคาตกลงมาต่ำกว่ามูลค่า สิ่งที่ควรทำคือซื้อ ไม่ใช่ขาย)
ดังคำกล่าวของวอเร็น บัฟเฟตต์ ผู้ได้รับการยกย่องว่าปราชญ์แห่งโอมาฮาว่า 
“หลังจากที่ซื้อฟาร์มได้แล้ว คุณคิดว่าเจ้าของที่มีเหตุผลจะสั่งให้เอเยนต์ของเขาทำการขายที่ดินบางแปลงทุกครั้งที่เพื่อนบ้านของเขาทำการขายที่ดินในราคาที่ต่ำลง หรือคุณจะเสนอขายบ้านของคุณให้กับใครก็ได้ตอน9:31น. เพราะว่าตอน9:30ได้มีคนขายบ้านในราคาที่ต่ำกว่าเมื่อวานนี้” 
หากมองในมุมอสังหาฯแล้วการทำพฤติกรรมแบบนี้แปลกประหลาดมากเลยใช่ไหมครับ แต่เชื่อหรือไม่ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงบ่อยๆในตลาดหลักทรัพย์

กลับกันหากเป็นอสังหาฯเราคิดว่าหลายครั้งอารมณ์ก็เข้ามาครอบงำการประเมินมูลค่าได้เช่นกัน แต่จะเป็นในอีกรูปแบบเช่น นักลงทุนหวั่นไหวไปกับความสวยงาม การตกแต่ง หรือfacilitiesที่น่าดีงดูดใจต่างๆ ทำให้เกิดอารมณ์อยากได้ อยากเป็นเจ้าของขึ้น แต่ส่วนตัวแล้วเราคิดว่าหลายๆคนสามารถต้านทานอารมณ์ในด้านบวกและดึงสติกลับมาได้ง่ายกว่าอารมณ์ในด้านลบครับ

สำหรับยกที่3นี้ เราให้อสังหาฯชนะไปอย่างค่อนข้างสูสีครับ ทำให้คะแนนตอนนี้เป็น2:2 เสมอกันอยู่ทั้งหุ้นและอสังหาฯครับ

โปรดติดตามตอนสุดท้าย ยกที่ 4 “ความเสี่ยงในการลงทุน”

สุดท้ายนี้ขอฝากเพจให้ความรู้ด้านการเงิน การลงทุนและแนะนำหนังสือด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/sharingiscaringreviewer/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่