13 เรื่องที่คุณต้องรู้...ถ้าอยากโบท็อกซ์ 💕

กระทู้สนทนา


#โบท็อกซ์กับความสวย

1. โบท็อกซ์ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ โบทูลินั่ม ท็อกซิน ชนิด A 
แต่จริงๆแล้วมีมากถึง 7 ชนิด (serotype) ตั้งแต่ชนิด A ถึง F 

2. เริ่มแรกทางการแพทย์ใช้โบท็อกซ์ ในการรักษาโรคของกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อกระตุก แต่ต่อมาสังเกตว่าคนไข้กลุ่มที่ฉีดโบท็อกซ์ไปแล้ว มีริ้วรอยน้อยลงด้วย จึงเริ่มนำมาใช้เพื่อลดริ้วรอย/รอยย่น และปรับใบหน้าให้สวยงาม ซึ่งได้รับความนิยมมาก เพราะ ใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ทำให้ใบหน้าเปลี่ยนมากไปจนดูแปลก แต่จะดูสวย/หล่อขึ้นโดยที่ยังเป็นเค้าโครงหน้าเดิมของเราอยู่ 

3. ปัจจุบันมีโบท็อกซ์ ชนิด เอ อยู่หลายยี่ห้อ เช่น Botox allergan (อเมริกา), Dysport (อังกฤษ), Xeomin (เยอรมัน), Botulax (เกาหลี), Nabota (เกาหลี), Hugel (เกาหลี), Aestox (เกาหลี), Neuronox (เกาหลี) เป็นต้น ซึ่งแตกต่างกันที่ราคา ความบริสุทธิ์ และขนาดโมเลกุลของตัวยา 

4. สำหรับใบหน้าและลำคอ ช่วยลดริ้วรอยต่างๆ ผิวหน้าจึงดูเรียบ smooth ไม่เป็นรอยย่นๆ ดูอ่อนกว่าวัย ปรับรูปทรงคิ้วให้ตรงแบบเกาหลีหรือยกคิ้ว ปรับรูปหน้า เช่น ลดกรามให้เล็กลง (หน้า V shape), ฉีดกระชับกรอบหน้าให้คมชัด, คอดูเรียวยาว (หน้าสวยแล้วอย่าลืมคอนะคะ) 

5. การรักษาอื่นๆ ใช้ฉีดลดเหงื่อรักแร้ ฝ่ามือ, ฉีดแก้ปวดกล้ามเนื้อบ่าไหล่ หรือ แก้ปวดออฟฟิศ ซินโดรม, ลดน่องให้เล็กลง ก็ได้ 
สำหรับการฉีดเพื่อลดริ้วรอยหรือลดกราม ใครที่กลัวเข็มหรือกลัวเจ็บ สามารถทายาชา 40 นาทีก่อน แต่ถ้าไม่กลัวก็ไม่จำเป็นต้องทายาชา แต่จะใช้การประคบเย็นแทนค่ะ 

6. การฉีดโบท็อกซ์ ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ทั้งไทยและต่างประเทศว่ามีความปลอดภัย แต่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และใช้ยี่ห้อที่ได้รับการรับรองจาก อย. 

7. การแอบฉีดตามบ้าน คอนโด สปา ร้านเสริมสวย โดยหมอกระเป๋า อันตราย เพราะเสี่ยงกับยาปลอม ฉีดแล้วไม่ได้ผล หรือเกิดปัญหาจากการฉีด เช่น หน้าเบี้ยว ตาตก คิ้วกระดก ติดเชื้อตรงจุดที่ฉีด ดื้อโบท็อกซ์ 

8. โบท็อกซ์ปลอมอันตราย เพราะ ตัวยามักปนเปื้อนสารอื่นๆ เสี่ยงต่อการได้ยาเกินขนาด และเกิดการดื้อยา (ฉีดแล้วไม่ได้ผล ฉีดแล้วหมดฤทธิ์เร็ว หรือต้องเพิ่มปริมาณยาไปเรื่อยๆถึงจะได้ผลเท่าเดิม) 

9. ต่างกับการฉีดโบท็อกซ์ที่เป็นยาแท้ นำเข้าอย่างถูกกฎหมาย ฉีดแล้วเห็นผลนาน 4-6 เดือน จากนั้นตัวยาจะค่อยๆคลายและหมดฤทธิ์ไป 100% แต่การฉีดต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้การฉีดในครั้งหลังๆ ใช้ปริมาณยา (ยูนิต) ที่ลดลง แต่ยังได้ผลเท่าเดิม และยังมีประโยชน์ในการป้องกันรอยย่นที่เกิดจากการขยับของกล้ามเนื้อใบหน้าอีกด้วย ซึ่งต่างกับยาปลอม หรือยาที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่ยิ่งฉีดยิ่งต้องเพิ่มปริมาณยา แต่กลับได้ผลน้อยลง หรือไม่ได้ผลเลย (ดื้อโบ)

10. ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาการดื้อโบ ถ้าสงสัยว่าดื้อโบแล้ว ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง และควรเว้นการฉีดไปอย่างน้อย 1 ปี (แต่ระยะเวลาที่ต้องเว้นจริงๆยังไม่มีใครรู้ว่าต้องนานเพียงใด) ไม่ควรแก้ไขเองด้วยการฉีดในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เพราะในระยะยาวจะยิ่งดื้อมากกว่าเดิม นอกจากเกิดจากการฉีดโบปลอมแล้ว ถ้าฉีดโบแท้แต่ฉีดบ่อยเกินไป เช่น บ่อยกว่า 3-4 เดือน หรือมากกว่าปีละ 5 ครั้งขึ้นไป ก็ทำให้เสี่ยงดื้อโบได้ 

11. สำหรับคนที่กำลังสนใจเรื่องการฉีดโบท็อกซ์ หมอแนะนำว่าให้เลือกฉีดกับแพทย์ที่มีความชำนาญและเชี่ยวชาญ ราคาที่เหมาะสม โดยทั่วไป โบเกาหลีจะถูกกว่า โบจากอังกฤษ เยอรมัน และอเมริกา แต่ไม่อยากให้เลือกจากราคาถูกที่สุดอย่างเดียว เพราะเสี่ยงกับยาปลอม หรืออาจจะเจอหมอปลอมด้วย และควรเลือกฉีดในคลินิกหรือโรงพยาบาล ไม่ควรนัดกันฉีดตามบ้าน ตามคอนโด หรือร้านเสริมสวย เพราะควรเน้นเรื่องความสะอาด และเทคนิคปลอดเชื้อ 

12. ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องยูนิตที่ใช้มากเกินไป โดยทั่วไปการฉีดใบหน้าและลำคอ จะใช้ยาไม่เกิน 100 ยูนิต แต่ละจุดใช้ยาไม่เท่ากัน ตรงนี้แพทย์จะช่วยประเมินให้ว่าต้องใช้ยาเท่าไหร่ถึงจะพอดี 

13. บางคนไม่รู้ อาจจะเน้นดูโปรโมชั่นบุฟเฟต์หรือแบบฉีดไม่จำกัดยูนิต ซึ่งตรงนี้ไม่จำเป็นเลยค่ะ เพราะถ้าเน้นว่าได้ยูนิตเยอะๆแล้วคุ้ม อาจจะไม่จริง เพราะฉีดมากไป หน้าก็แข็ง หรือยาเยอะเกินก็กระจายไปตรงอื่น อาจทำให้เกิดปัญหามากกว่า ฉีดแล้วสวยถูกใจนะคะ 

หมอยุ้ย เพจ Dr.Yui คุยทุกเรื่องผิว ♥️
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่