สวัสดีค่ะ วันนี้พอมีเวลาเลยอยากมารีวิวชีวิต เผื่อลูกๆหลานๆ และเพื่อนๆในพันทิพจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
สมัยเด็กเราก็อ่านชีวประวัติคนอื่นมาเยอะ เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นทั้งในหนังสือและในโลกออนไลน์ได้ประโยชน์มาไม่น้อย วันนี้อายุ(และประสบการณ์) เริ่มเยอะจึงอยากแบ่งปัน จะทยอยเล่าเท่าที่มีเวลา ใครมีอะไรอยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเชิญได้ค่ะ ขอแค่อย่าดราม่า ข้าพเจ้าไม่ถนัด555
เราเป็นลูกคนโต เกิดในครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อยในต่างจังหวัด พ่อของเราเป็นลูกชายคนเดียวที่ได้เรียนหนังสือจนจบอุดมศึกษา และรับราชการในหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง ส่วนแม่เป็นอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ต้องลาออกมาดูแลครอบครัวและติดตามพ่อไปตามจังหวัดต่างๆ เราโชคดีที่ถึงแม้จะไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองแต่ก็เกิดมาบนความรักของพ่อและแม่ แม่ของเราเป็นแม่บ้านทำให้มีเวลาอบรมสั่งสอนเราอย่างเต็มที่ พ่อและแม่ของเราประหยัดมาก เก็บเงินทุกบาทไว้ให้เราเรียนหนังสือ และเรียนอะไรก็ตามที่เราอยากเรียนและพ่อแม่ส่งไหว แน่นอนว่าเรารักพ่อแม่มากจึงไม่เคยขออะไรให้พ่อแม่ลำบาก สมัยเราเโ้กๆแม่เราทำงานเกือบทุกอย่างเองเพื่อประหยัดเงิน ไม่ว่าจะเป็นเย็บผ้าม่าน ติดจั้งราวผ้าม่าน เย็บเสื้อผ้า แม่ไม่เคยซื้อเครื่องสำอางค์หรือเสื้อผ้าแพงๆเลย เราต้องช่วยงานบ้านทุกอย่างและมีหน้าที่รับผิดชอบตั้งแต่เด็ก ถูกดุบ้าง ถูกตีบ้าง เพราะบางทีก็ขี้ลืม แต่ก็ทำให้เราได้ฝึกอะไรหลายๆอย่าง สมัยเราเด็กๆเราชอบอ่านหนังสือ พวก รักลูก, life & family ของแม่ และช่วยแม่เลี้ยงน้องๆ สมัยนั้นเรารู้จักแค่ IQ, EQ พอมาวันนี้เราเลยรู้ว่าพ่อแม่เลี้ยงเรามาให้มี EF ที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เรารักดี มีความอดทน รู้จักยับยั้งชั่งใจ และเติบโตบนโลกนี้มาได้
สมัยอนุบาลเราเรียนอนุบาลเล็กๆแถวๆบ้านที่ไม่เน้นวิชาการอะไร พอป.1 เราไปสอบเข้าโรงเรียนที่ฟรีและดีที่สุดในจังหวัดข้างๆ ที่อยู่ห่างจากบ้านไปหลายสิบกิโล เราาอ่านหนังสืออกหมดแต่เราไม่รู้เลยว่าคำตอบคืออะไร เพราะไม่เคยไปติว เลยได้แต่มั่วๆใช้วิธีทิ้งดิ่งเอาในข้อที่ไม่รู้ โชคดีเป็นของเรา เราสอบติดในวันที่คุณปู่เราเสียพอดี ทำให้ได้เรียนในโรงเรียนที่ค่อนข้างเด่นด้านวิชาการและกิจกรรม
สมัยประถมเราก็เป็นเด็กธรรมดาๆ เราชอบเรียนหนังสือ แต่มักจะขี้เกียจทำการบ้าน แต่เราก็รู้ว่าถ้าเป็นงานกลุ่มเราจะช่วยเพราะอันนั้นถือเป็นความรับผิดชอบ เราไม่ชอบเอาเปรียบใคร ส่วนงานเดี่ยวเราไม่ทำ เพราะเราคิดคะแนนไว้แล้วว่าแค่คะแนนสอบทั้งหลายเราก็ผ่าน เลยเอาเวลาไปเรียนรู้อยา่งอื่นดีกว่า เราชอบเรียนทุกอย่าง วิชาการ กีฬา ดนตรี ภาษา ศิลปะ ถ้าจะอ้างก็ต้องบอกว่าการตื่นตีสี่ครึ่งทุกวันไปโรงเรียนมันเหนื่อย แต่เหตผลจริงๆคือเราขี้เกียจ ใช่ค่ะยอมรับว่าขี้เกียจมาก สอบก็ผ่านบ้างตกบ้างทอปบ้างตามแต่ชั้นปี เราทำกิจกรรมหลายอย่างและเริ่มเป็นตัวแทนโรงเรียนทำนู่นทำนนี่ จริงๆช่วงแรกๆเราได้คะแนนภาษาอังกฤษดีมากจนกระทั่งเริ่มเรียนแกรมม่าครั้งแรกตอนป.5 หลังจากนั้นความมั่นใจทางภาษาของเราก็หายไปเลยยยยยยย แกรมม่ายากมาก เราไม่เข้าใจ พอป.6เราเลยเริ่มเรียนพิเศษเพื่อเตรียมตัวสอบเข้าม.1
คราวนี้เราอดทนมาก ตั้งใจทำแบบฝึกหัด (คือก่อนหน้านี้ไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย) แม่บอกว่าที่บ้านไม่มีเงินส่งเราเรียนเอกชน เราจึงต้องเลือกเอาระหว่างเรียนโรงเรียนวัดข้างบ้านหรือเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด ในที่สุดความพยายามของเราก็ประสบผลสำเร็จ เราสอบเข้าม.1 ได้เป็นอันดับต้นๆ คุ้มค่าความทรมานนั่งอ่านหนังสือและทำโจทย์ ตอนมัธยมทำให้เราพบว่าเราจะเรียนไม่รอดถ้าไม่อ่านหนังสือสอบ ทำให้เราเริ่มปรับตัว ตั้งใจเรียนและอ่านหนังสือก่อนสอบ แต่ก็ยังไม่ไดเรียนพิเศษ เราเริ่มทำกิจกรรมตั้งแต่ม.1 การทำกิจกรรมทำให้เราได้ฝึกสกิลการทำงานหลายๆอย่าง ซึ่งเป็นประโบชน์กับเรามากในอนาคต แต่ในการทำกิจกรรมนั้นแม่จะกำชับเสมอว่าเราต้องรับผิดชอบการเรียนให้ได้ ซึ่งเราก็ภูมิใจที่ทำได้และทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ
สมัยนั้นเราไม่รู้หรอกว่าเราโตขึ้นอยากเป็นอะไร เรารู้แค่ว่าเราอยากให้คนที่รักเราภูมิใจในตัวเราแค่นั้นเอง ทุกๆครั้งที่คนถามเราก็ไม่เคยตอบได้ ทางศาสนาเรารูว่าเราต้องการอะไรแต่ทางโลกนี้มีทางเลือกเยอะเหลือเกิน เราเหมือนจะทำได้ดีไปเกือบทุกอย่าง เลยไม่รู้จะทำอะไร ตอนเลือกสายการเรียนเราเลยเลือกเรียนวิทย์คณิต คิดแค่ว่ามันกว้างดี และเราเรียนได้ เรายังไม่พร้อมที่จะตัดโอกาสที่มีความน่าจะเป็นในอนาคต พอเริ่มขึ้นม.4 เราก็เริ่มฝึกภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ทำโจทย์ย้อนหลังสิบปี พอจบม.4เทอมหนึ่งเราก็เตรียมตัวเอนท์วิชาภาษาอังกฤษเรียบร้อย (นี่มันบอกอายุมาก) หมดห่วงวิชายาก เตรียมไว้เก็บคะแนนได้ ที่เหลือยากคือวิทย์และคณิต ซึ่งตอนเรียนแรกๆยากมาก มาเข้าใจถ่องแท้จริงจังและเชื่อมโยงทุกวิชาเข้าด้วยกันได้ก็ตอนอ่านหนังสือที่มีขายในท้องตลาดเกือบหมดทุกเล่ม 555 ตอนนั้นรู้สึกบรรลุมาก ส่วนไทยสังคมเราว่าง่าย อ่านๆ ท่องๆไปก็ได้ เราขอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว อย่างเวลาเรียนภาษาไทยในหลักสูตรจะยกบทบางบทมาจากวรรณคดี ซึ่งเราจะไปขวนขวายหาอ่านฉบับเต็มทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองทุกเรื่อง ห้องสมุดของโรงเรียนคือที่โปรดปราณของเรา เราอ่านหนังสืออ่านเล่มเกือบครบทุกเล่มที่มีในห้องสมุดด้วย และเรายังคงช่วยเหลืองานอาจารย์และงานโรงเรียนมาตลอด ทั้งงานราษฏ์งานหลวง
ตอนสอบเข้ามหาลัยเป็นอะไรที่บีบคั้นจิตใจมาก เพราะไม่รู้จะเรียนอะไร หมอก็ชอบ วิศวะก็ชอบ สุดท้ายเลยตัดออกทั้งสองที่ และเลือกคณะที่มีคนบอกว่าคนเก่งๆที่เมกาเค้าเรียนกันแทน เพราะเป็นคณะที่กว้างดี
เราว่าเราตัดสินใจถูกเพราะตอนนี้เราได้เป็นเป็ดที่สมบูรณ์แบบ 555 สิ่งนึงที่อยากบอกน้องๆ ลูกๆ หลานๆ คืออยากเรียนอะไรก็เรียนไปเถอะ แต่ต้องทำให้ดีที่สุด สุดท้ายสาขาที่เรียนมันไม่ได้ตัดสินว่าเราจะไปทำอาชีพอะไร ทั้งนี้การเลือกคณะจะดูแค่ความชอบในวิชาที่เรียนอยา่งเดียวไม่ได้แต่ต้องดูเรื่องการนำไปต่อยอด และไลฟ์สไตล์ที่อยากมีในอนาคตด้วย เช่นชอบกินหรูอยู่แพง อยากดูดีเหมือนในโซเชียล มันก็จะตัดอาชีพออกไปหลายๆอาชีพ และความเป็นจริงคือสกิลในการทำงานถ้าไม่ใช่สายวิชาการที่เฉพาะทางจริงๆส่วนใหญ่ก็ต้องเรียนรู้ใหม่หมด แต่ทำยังไงจะให้เราได้เข้าไปเรียนรู้ยังที่ๆเค้าจะสอนเราได้ดี ซึ่งก็มักเป็นองค์กรใหญ่ แข่งขันสูงเราก็ต้องเตรียม CV ให้ดี เพื่อให้เค้าเลือกเราเข้าไปก่อน เพราะกระดาษใบเล็กๆที่เรียก CV นี่แหละที่จะตัดสินชีวิตเรา
ณ ตอนที่เราจบปีสี่ เราได้ทุนมาหลายทุน ได้ไปมาสิบกว่าประเทศ ซึ่งตอนเด็กการไปต่างประเทศดูจะเป็นเรื่องไกลตัวมาก เราได้ออฟเฟอร์งานที่แรกตั้งแต่อยู่ปี3 เป็น Management trainee ของบริษัทแห่งหนึ่ง ตอนนั้นภาษาเราถือว่าดีเมื่อเทียบกับคนที่เรียนภาคภาษาไทยด้วยกัน แต่ก็ยังห่างไกลเด็กอินเตอร์อยู่
เดี๋ยวมาต่อนะคะ แก่แล้วเหนื่อย
รีวิวชีวิต จากเด็กธรรมดา สู่การเป็นผู้บริหารองค์กรข้ามชาติ
สมัยเด็กเราก็อ่านชีวประวัติคนอื่นมาเยอะ เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นทั้งในหนังสือและในโลกออนไลน์ได้ประโยชน์มาไม่น้อย วันนี้อายุ(และประสบการณ์) เริ่มเยอะจึงอยากแบ่งปัน จะทยอยเล่าเท่าที่มีเวลา ใครมีอะไรอยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเชิญได้ค่ะ ขอแค่อย่าดราม่า ข้าพเจ้าไม่ถนัด555
เราเป็นลูกคนโต เกิดในครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อยในต่างจังหวัด พ่อของเราเป็นลูกชายคนเดียวที่ได้เรียนหนังสือจนจบอุดมศึกษา และรับราชการในหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง ส่วนแม่เป็นอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ต้องลาออกมาดูแลครอบครัวและติดตามพ่อไปตามจังหวัดต่างๆ เราโชคดีที่ถึงแม้จะไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองแต่ก็เกิดมาบนความรักของพ่อและแม่ แม่ของเราเป็นแม่บ้านทำให้มีเวลาอบรมสั่งสอนเราอย่างเต็มที่ พ่อและแม่ของเราประหยัดมาก เก็บเงินทุกบาทไว้ให้เราเรียนหนังสือ และเรียนอะไรก็ตามที่เราอยากเรียนและพ่อแม่ส่งไหว แน่นอนว่าเรารักพ่อแม่มากจึงไม่เคยขออะไรให้พ่อแม่ลำบาก สมัยเราเโ้กๆแม่เราทำงานเกือบทุกอย่างเองเพื่อประหยัดเงิน ไม่ว่าจะเป็นเย็บผ้าม่าน ติดจั้งราวผ้าม่าน เย็บเสื้อผ้า แม่ไม่เคยซื้อเครื่องสำอางค์หรือเสื้อผ้าแพงๆเลย เราต้องช่วยงานบ้านทุกอย่างและมีหน้าที่รับผิดชอบตั้งแต่เด็ก ถูกดุบ้าง ถูกตีบ้าง เพราะบางทีก็ขี้ลืม แต่ก็ทำให้เราได้ฝึกอะไรหลายๆอย่าง สมัยเราเด็กๆเราชอบอ่านหนังสือ พวก รักลูก, life & family ของแม่ และช่วยแม่เลี้ยงน้องๆ สมัยนั้นเรารู้จักแค่ IQ, EQ พอมาวันนี้เราเลยรู้ว่าพ่อแม่เลี้ยงเรามาให้มี EF ที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เรารักดี มีความอดทน รู้จักยับยั้งชั่งใจ และเติบโตบนโลกนี้มาได้
สมัยอนุบาลเราเรียนอนุบาลเล็กๆแถวๆบ้านที่ไม่เน้นวิชาการอะไร พอป.1 เราไปสอบเข้าโรงเรียนที่ฟรีและดีที่สุดในจังหวัดข้างๆ ที่อยู่ห่างจากบ้านไปหลายสิบกิโล เราาอ่านหนังสืออกหมดแต่เราไม่รู้เลยว่าคำตอบคืออะไร เพราะไม่เคยไปติว เลยได้แต่มั่วๆใช้วิธีทิ้งดิ่งเอาในข้อที่ไม่รู้ โชคดีเป็นของเรา เราสอบติดในวันที่คุณปู่เราเสียพอดี ทำให้ได้เรียนในโรงเรียนที่ค่อนข้างเด่นด้านวิชาการและกิจกรรม
สมัยประถมเราก็เป็นเด็กธรรมดาๆ เราชอบเรียนหนังสือ แต่มักจะขี้เกียจทำการบ้าน แต่เราก็รู้ว่าถ้าเป็นงานกลุ่มเราจะช่วยเพราะอันนั้นถือเป็นความรับผิดชอบ เราไม่ชอบเอาเปรียบใคร ส่วนงานเดี่ยวเราไม่ทำ เพราะเราคิดคะแนนไว้แล้วว่าแค่คะแนนสอบทั้งหลายเราก็ผ่าน เลยเอาเวลาไปเรียนรู้อยา่งอื่นดีกว่า เราชอบเรียนทุกอย่าง วิชาการ กีฬา ดนตรี ภาษา ศิลปะ ถ้าจะอ้างก็ต้องบอกว่าการตื่นตีสี่ครึ่งทุกวันไปโรงเรียนมันเหนื่อย แต่เหตผลจริงๆคือเราขี้เกียจ ใช่ค่ะยอมรับว่าขี้เกียจมาก สอบก็ผ่านบ้างตกบ้างทอปบ้างตามแต่ชั้นปี เราทำกิจกรรมหลายอย่างและเริ่มเป็นตัวแทนโรงเรียนทำนู่นทำนนี่ จริงๆช่วงแรกๆเราได้คะแนนภาษาอังกฤษดีมากจนกระทั่งเริ่มเรียนแกรมม่าครั้งแรกตอนป.5 หลังจากนั้นความมั่นใจทางภาษาของเราก็หายไปเลยยยยยยย แกรมม่ายากมาก เราไม่เข้าใจ พอป.6เราเลยเริ่มเรียนพิเศษเพื่อเตรียมตัวสอบเข้าม.1
คราวนี้เราอดทนมาก ตั้งใจทำแบบฝึกหัด (คือก่อนหน้านี้ไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย) แม่บอกว่าที่บ้านไม่มีเงินส่งเราเรียนเอกชน เราจึงต้องเลือกเอาระหว่างเรียนโรงเรียนวัดข้างบ้านหรือเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด ในที่สุดความพยายามของเราก็ประสบผลสำเร็จ เราสอบเข้าม.1 ได้เป็นอันดับต้นๆ คุ้มค่าความทรมานนั่งอ่านหนังสือและทำโจทย์ ตอนมัธยมทำให้เราพบว่าเราจะเรียนไม่รอดถ้าไม่อ่านหนังสือสอบ ทำให้เราเริ่มปรับตัว ตั้งใจเรียนและอ่านหนังสือก่อนสอบ แต่ก็ยังไม่ไดเรียนพิเศษ เราเริ่มทำกิจกรรมตั้งแต่ม.1 การทำกิจกรรมทำให้เราได้ฝึกสกิลการทำงานหลายๆอย่าง ซึ่งเป็นประโบชน์กับเรามากในอนาคต แต่ในการทำกิจกรรมนั้นแม่จะกำชับเสมอว่าเราต้องรับผิดชอบการเรียนให้ได้ ซึ่งเราก็ภูมิใจที่ทำได้และทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ
สมัยนั้นเราไม่รู้หรอกว่าเราโตขึ้นอยากเป็นอะไร เรารู้แค่ว่าเราอยากให้คนที่รักเราภูมิใจในตัวเราแค่นั้นเอง ทุกๆครั้งที่คนถามเราก็ไม่เคยตอบได้ ทางศาสนาเรารูว่าเราต้องการอะไรแต่ทางโลกนี้มีทางเลือกเยอะเหลือเกิน เราเหมือนจะทำได้ดีไปเกือบทุกอย่าง เลยไม่รู้จะทำอะไร ตอนเลือกสายการเรียนเราเลยเลือกเรียนวิทย์คณิต คิดแค่ว่ามันกว้างดี และเราเรียนได้ เรายังไม่พร้อมที่จะตัดโอกาสที่มีความน่าจะเป็นในอนาคต พอเริ่มขึ้นม.4 เราก็เริ่มฝึกภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง ทำโจทย์ย้อนหลังสิบปี พอจบม.4เทอมหนึ่งเราก็เตรียมตัวเอนท์วิชาภาษาอังกฤษเรียบร้อย (นี่มันบอกอายุมาก) หมดห่วงวิชายาก เตรียมไว้เก็บคะแนนได้ ที่เหลือยากคือวิทย์และคณิต ซึ่งตอนเรียนแรกๆยากมาก มาเข้าใจถ่องแท้จริงจังและเชื่อมโยงทุกวิชาเข้าด้วยกันได้ก็ตอนอ่านหนังสือที่มีขายในท้องตลาดเกือบหมดทุกเล่ม 555 ตอนนั้นรู้สึกบรรลุมาก ส่วนไทยสังคมเราว่าง่าย อ่านๆ ท่องๆไปก็ได้ เราขอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว อย่างเวลาเรียนภาษาไทยในหลักสูตรจะยกบทบางบทมาจากวรรณคดี ซึ่งเราจะไปขวนขวายหาอ่านฉบับเต็มทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองทุกเรื่อง ห้องสมุดของโรงเรียนคือที่โปรดปราณของเรา เราอ่านหนังสืออ่านเล่มเกือบครบทุกเล่มที่มีในห้องสมุดด้วย และเรายังคงช่วยเหลืองานอาจารย์และงานโรงเรียนมาตลอด ทั้งงานราษฏ์งานหลวง
ตอนสอบเข้ามหาลัยเป็นอะไรที่บีบคั้นจิตใจมาก เพราะไม่รู้จะเรียนอะไร หมอก็ชอบ วิศวะก็ชอบ สุดท้ายเลยตัดออกทั้งสองที่ และเลือกคณะที่มีคนบอกว่าคนเก่งๆที่เมกาเค้าเรียนกันแทน เพราะเป็นคณะที่กว้างดี
เราว่าเราตัดสินใจถูกเพราะตอนนี้เราได้เป็นเป็ดที่สมบูรณ์แบบ 555 สิ่งนึงที่อยากบอกน้องๆ ลูกๆ หลานๆ คืออยากเรียนอะไรก็เรียนไปเถอะ แต่ต้องทำให้ดีที่สุด สุดท้ายสาขาที่เรียนมันไม่ได้ตัดสินว่าเราจะไปทำอาชีพอะไร ทั้งนี้การเลือกคณะจะดูแค่ความชอบในวิชาที่เรียนอยา่งเดียวไม่ได้แต่ต้องดูเรื่องการนำไปต่อยอด และไลฟ์สไตล์ที่อยากมีในอนาคตด้วย เช่นชอบกินหรูอยู่แพง อยากดูดีเหมือนในโซเชียล มันก็จะตัดอาชีพออกไปหลายๆอาชีพ และความเป็นจริงคือสกิลในการทำงานถ้าไม่ใช่สายวิชาการที่เฉพาะทางจริงๆส่วนใหญ่ก็ต้องเรียนรู้ใหม่หมด แต่ทำยังไงจะให้เราได้เข้าไปเรียนรู้ยังที่ๆเค้าจะสอนเราได้ดี ซึ่งก็มักเป็นองค์กรใหญ่ แข่งขันสูงเราก็ต้องเตรียม CV ให้ดี เพื่อให้เค้าเลือกเราเข้าไปก่อน เพราะกระดาษใบเล็กๆที่เรียก CV นี่แหละที่จะตัดสินชีวิตเรา
ณ ตอนที่เราจบปีสี่ เราได้ทุนมาหลายทุน ได้ไปมาสิบกว่าประเทศ ซึ่งตอนเด็กการไปต่างประเทศดูจะเป็นเรื่องไกลตัวมาก เราได้ออฟเฟอร์งานที่แรกตั้งแต่อยู่ปี3 เป็น Management trainee ของบริษัทแห่งหนึ่ง ตอนนั้นภาษาเราถือว่าดีเมื่อเทียบกับคนที่เรียนภาคภาษาไทยด้วยกัน แต่ก็ยังห่างไกลเด็กอินเตอร์อยู่
เดี๋ยวมาต่อนะคะ แก่แล้วเหนื่อย