ว่าด้วยเรื่อง : การออกเสียงคำต่างประเทศและคำทับศัพท์ --> ต้องพูดเป็นสำเนียงไทย /โดยหลักการและเหตุผล/

พอดีไปเห็น YouTuber ช่องบันเทิงหลายช่องไม่เข้าใจหลักการพูดในเรื่องนี้ อาจเพราะสาขาที่เรียนในมหาวิทยาลัยไม่ได้สอนเรื่องนี้ไว้  ผมเลยคิดว่าทุกวันนี้คนจะเป็นนักพูดไม่ต้องผ่านการเรียนการสอนกันแล้ว ซึ่งก็ไม่เป็นไรข้อนี้ แต่ทุกคนก็สามารถจะเรียนรู้ทำความเข้าใจ ซึ่งไม่ยาก

เลยจะมาขอทบทวนเล็กน้อย ซึ่งตรงนี้ให้เข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องของการอนุรักษ์อะไรทำนองนั้น แต่เป็นเรื่องของหลักการและเหตุผล

ใช่ครับ มันมีเหตุผลของมันอยู่ มาค่อยๆคิดตาม โดยทำความเข้าใจ  (ที่จริงเครื่องหมาย "ๆ" ตามหลักการเขียนต้องเว้นวรรค แต่ผมขี้เกียจเว้น ..เห็นไหมครับว่าไม่ได้เป็นคนชอบอนุรักษ์หลักการนะ ^^)

ก่อนอื่นต้องไม่สับสน
เข้าใจหลักแบบง่ายๆดังนี้ครับ :

ในการสนทนาหรือพูดภาษาต่างประเทศ ก็สมควรอย่างมากที่จะต้องฝึกออกเสียงออกสำเนียงตามภาษาต้นฉบับ เช่นถ้าพูดจีน ก็ควรพูดให้ชัดเพื่อให้เจ้าของภาษาฟังเข้าใจ ถ้าพูดอังกฤษก็ออกเสียงและใช้คำให้ถูกต้อง โดยแยกแยะว่าจะใช้สำเนียงของอเมริกา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย ฯลฯ

แต่ในการพูดภาษาไทย ที่มีการดึงคำภาษาต่างประเทศมา หรือใช้ทับศัพท์นั้น
1.) ต้องนำมาออกเสียงเป็นสำเนียงไทย
2.) ต้องประดิษฐ์เสียงวรรณยุกต์ใส่เข้าไปด้วย
(เนื่องจากภาษาไทยมี 5 เสียงวรรณยุกต์) ตรงนี้ก็จะเป็นเรื่องของนักภาษาหรือสื่อฯ ที่จะเป็นผู้ริเริ่มนำมาประดิษฐ์

เหตุผลในตัวของมันคือ ทำให้คนไทยฟังง่าย, ทำให้พูดสะดวก เพราะแต่ละภาษาการออกเสียงตัวอักษรจะมาจากส่วนของอวัยวะในปากที่แตกต่างกัน, และที่สำคัญคือทำให้ดูไม่ตลก

การนำคำภาษาอื่นมาใช้ ไม่ใช่อยู่ๆจะบอกให้ทุกคนต้องออกเสียงตามต้นฉบับ มันไม่ใช่ว่าจะทำเป็นทุกคน ปกติสมองและการได้ยินของมนุษย์เราส่วนมากจะไม่คุ้นหรือไม่สามารถรับสำเนียงหรือภาษาอื่น นอกจากต้องใช้การฝึกฝนเป็นเวลานานจนคุ้นชิน ด้วยเหตุนี้การนำคำต่างชาติมาใช้จึงต้องมีการออกเสียงตามสำเนียงภาษาของตัวเอง

. .
ลองพูดประโยคนี้ดูแบบใช้ 2 สำเนียงในประโยคเดียวกัน ^^  --> "วันนี้ผู้คนออกมาเดิน Shopping ที่ Siam Square โดยยึดหลัก Social Distancing และสวมหน้ากากอนามัยในช่วงที่ Coronavirus ยังไม่หมดไป"  (คำว่า "สยาม" นี่ก็ภาษาไทย ส่วน "แควร์" ภาษาอังกฤษ แค่พูดชื่อนี้โดย 2 สำเนียงก็แย่แล้ว ^^)
. .

เจ้าของภาษาบางทีอาจจะอึดอัดหงุดหงิดใจ เวลาต้องมาได้ยินภาษาของตนถูกนำไปใช้ในสำเนียงอื่นที่มันไม่เหมือนต้นฉบับ แต่ว่าปกติคนแต่ละชาติจะมีการนำเอาภาษาต่างประเทศมาใช้ในแบบของตัวเองอยู่แล้ว เป็นแบบนี้มาตั้งแต่โบราณ

คุณเองก็ยังเอาภาษาอื่นไปเรียกในแบบของตัวเอง เหมือนกัน
อย่างชื่ออาหารหรือชื่อวิกฤตเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง" คุณก็ออกเสียง "ทม-ยำ-คุง" ไม่เห็นออกเสียงต้มยำกุ้งเลย

ชื่อเมืองและชื่อประเทศต่างๆ คุณก็เอาไปเรียกตามภาษาตัวเอง
- คุณไม่ยอมเรียก "กรุงเทพ" แต่เรียก "Bangkok" เฉยเลย แล้วก็ไม่ออกเสียง "บางกอก" ซะด้วย
- ชื่อประเทศ "ญี่ปุ่น" คุณก็ไม่เรียก นิฮง, นิปปง แต่ไปเรียก "Japan"  
- ชื่อประเทศ "ตุรกี" (Turkey) คุณก็ไปออกเสียงว่า "เทอร์กี" จริงๆภาษาต้นฉบับเขาเรียกประเทศตัวเองว่า "ตุรกี" คล้ายๆที่เขียนในภาษาไทยนี่




ถ้าคุณใจกว้างพอที่ยอมรับว่าภาษาอังกฤษมันสามารถพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละถิ่นได้ (อังกฤษ, สเกาซ์, ไอร์แลนด์, สก็อตแลนด์, อเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย) คุณก็ควรจะใจกว้างอีกซักนิดว่า คนแต่ละประเทศก็จะมีการใช้ภาษาอังกฤษในสำเนียงของตัวเองเหมือนกัน
. .

"Taxi" ทับศัพท์ในไทยออกเสียง "แท็กซี่" (ใช้เสียงวรรณยุกต์ตรีและโท)  คนเกาหลีใช้ทับศัพท์โดยออกเสียงว่า "แท็กชี่" (เสียง S ออกเสียง Ch)

คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษในญี่ปุ่น ตัว L เขาจะออกเสียงเป็น ร.เรือ หมดเลย ถ้าเขาอุตส่าห์ใจกว้างให้คุณเรียกชื่อประเทศเขาว่า Japan ได้ คุณก็ควรใจกว้างให้เขาใช้ ร.เรือ แทนเสียง L  ..ซึ่งมันเป็นวัฒนธรรมที่ก่อกำเนิดขึ้นมานานแล้ว

ปัจจุบันมีคนต่างชาติจำนวนมากที่มาสอนภาษาในประเทศไทย ทุกท่านก็ควรเข้าใจหลักภาษาตรงนี้ด้วยว่า ที่นักภาษาและสื่อฯ มีการประยุกต์หรือประดิษฐ์คำต่างชาติมาใช้แบบภาษาถิ่นของตน มันมีเหตุผลของมัน เพื่อที่จะใช้สื่อสารกับผู้คนได้ง่าย




เรานำภาพยนตร์เกาหลี จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง มาแปลพากย์เป็นไทย มันก็จะต้องมีการเรียกชื่อบุคคลหรือชื่ออาหารชื่อสถานที่ในแบบไทย เหล่านักแปลเขาก็พยามเต็มที่ในการที่จะสะกดคำในภาษาไทยให้มันใกล้เคียงที่สุด แต่จะให้เหมือนมากหรือใกล้มากคงยาก เพราะตัวอักษรมันไม่ตรงกัน แหล่งกำเนิดเสียง, การวางลิ้น, การทำปาก มันต่างกันในแต่ละภาษา

ชื่อดาราเกาหลี สำเนียงต้นฉบับออกเสียงยากมาก เขาก็พยามมาประยุกต์สะกดแบบไทยที่มันใกล้เคียงที่สุด

ฉะนั้นการจะเป็นนักพูด, พิธีกร, YouTuber หรืออะไรต่างๆ หนีไม่พ้นที่จะต้องใช้คำศัพท์จากภาษาอื่นมาพูดรวมกับภาษาไทย ก็ควรจะเรียนรู้หลักการและเหตุผลตรงนี้

ส่วนสำหรับใครที่ศึกษากับผู้สอนภาษาที่เป็นต่างชาติ เช่นครูฝรั่งมาสอนภาษาอังกฤษ พวกเขาอาจจะเคร่งครัดจริงจัง (Strict) อย่างมากในเรื่องการออกเสียงให้ถูก ก็ขอให้เราเรียนรู้ฝึกฝนจากเขาเพื่อเป้าหมายในการพูดหรือสนทนาต่างประเทศอย่างถูกต้อง สื่อสารกับเจ้าของภาษาอย่างถูกต้อง อย่าไปใช้ภาษาอื่นอย่างผิดๆ ซึ่งอย่างที่บอก อันนี้เป็นคนละกรณีกับหลักการพูดภาษาไทย

. .

นี่ก็เป็นคำนึงที่อักษรและกำเนิดเสียงไม่ตรงกับภาษาไทย เลยยังหาทางใช้คำที่ลงตัวไม่ได้







เห็นด้วยกับทั้ง 2 แบบ จะไอรอน หรือไอเอิร์น ก็แล้วแต่  ที่แน่ๆ คำนี้อย่าออกเสียง "ไออ้อน" เพราะมันคืออะตอม ^^ คำนี้เขาจองไปแล้ว จำไว้นะเด็กๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่