มีเอเลียน 36 อารยธรรมในทางช้างเผือก
(NASA / แผ่นบันทึกข้อมูลทองคำที่ส่งไปกับยานวอยาเจอร์ 1 และ 2 เพื่อสื่อสารกับอารยธรรมต่างดาว)
ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์พบว่าอาจมีเอเลียนที่อารยธรรมอยู่ในระดับสูงพอจะติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ได้อย่างน้อย 36 อารยธรรมในกาแล็กซีทางช้างเผือก
ทีมนักวิจัยด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมของสหราชอาณาจักร ได้ตีพิมพ์ผลการคำนวณข้างต้นลงในวารสาร The Astrophysical Journal โดยระบุว่าได้ปรับปรุงสมการของเดรก (Drake's equation) ใหม่ ซึ่งสมการนี้ใช้ปัจจัย 7 ประการในการคำนวณเพื่อประมาณค่าตัวเลขที่เป็นไปได้เกี่ยวกับอารยธรรมต่างดาว
ครั้งนี้มีการกำหนดขอบเขตของปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ใช้ในการคำนวณใหม่ พบว่ามีโอกาสที่อารยธรรมขั้นสูงของเอเลียนจำนวน 4 - 211 กลุ่ม จะยังคงดำรงอยู่ในกาแล็กซีทางช้างเผือกในปัจจุบัน แต่ตัวเลข 36 นั้นมีความเป็นไปได้มากที่สุดในขอบเขตการคำนวณนี้
ศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ คอนเซลิซ ผู้ร่วมทีมวิจัยอธิบายว่า "สมมติฐานในการคำนวณของเรา ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่าสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาสามารถจะเกิดขึ้นได้บนดาวทุกดวงที่มีสภาพคล้ายโลก และเมื่อเวลาผ่านไปราว 4.5 - 5.5 พันล้านปีหลังดาวเคราะห์นั้นก่อตัวขึ้นจนมีอายุเก่าแก่เท่ากับโลก วิวัฒนาการจะนำสิ่งมีชีวิตต่างดาวมาสู่อารยธรรมขั้นสูง จนสามารถติดต่อสื่อสารข้ามห้วงอวกาศได้เช่นเดียวกับมนุษย์หรือก้าวหน้ายิ่งกว่า"
ทีมผู้วิจัยเรียกหลักการคำนวณใหม่นี้ว่า "ขอบเขตโคเปอร์นิคันทางชีวดาราศาสตร์" (Astrobiological Copernican Limit) ซึ่งหลักการนี้อ้างอิงแนวคิดแบบโคเปอร์นิคัสที่มองว่า โลกไม่ได้เป็นดาวเคราะห์ดวงพิเศษหรือเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่เป็นดาวเคราะห์แบบที่พบได้ทั่วไป และสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาแบบมนุษย์ก็น่าจะมีอยู่ในที่อื่น ๆ หลายแห่งด้วย
ผลคำนวณยังชี้ว่า อารยธรรมมนุษย์จะต้องอยู่รอดจนมีอายุเก่าแก่ถึงอย่างน้อย 6,120 ปี จึงจะมีโอกาสสื่อสารโต้ตอบสองทางกับอารยธรรมต่างดาวได้ โดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่อยู่ใกล้โลกที่สุด อาจอยู่ห่างออกไปถึงราว 17,000 ปีแสง
ตัวเลขดังกล่าวชี้ถึงสาเหตุที่ทำให้เรายังค้นหาอารยธรรมต่างดาวไม่พบ เนื่องจากสัญญาณวิทยุที่มนุษย์เคยส่งออกไปนั้นเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เดินทางได้ช้าและมีพลังไม่สูงนัก ตัวอย่างเช่นสัญญาณวิทยุที่มนุษย์ทำการกระจายเสียงครั้งแรกเมื่อปี 1895 หากส่งสัญญาณออกไปในห้วงอวกาศ ขณะนี้มันจะไปได้ไกลจากโลกเพียง 125 ปีแสงเท่านั้น ในขณะที่สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่อยู่ใกล้เราที่สุด ห่างออกไปนับหมื่นปีแสง และอาจยังมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในระดับเดียวกันก็เป็นได้
Cr.
https://www.bbc.com/thai/features-53061517
วัตถุอวกาศที่ล้อมรอบดาว
(ESA / ดาวเทียมและวัตถุอวกาศต่าง ๆ รวมทั้งขยะอวกาศล้อมรอบโลกเป็นแถบขนาดใหญ่)
แม้ศูนย์วิจัยเพื่อการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว (SETI) จะได้พยายามมองหาร่องรอยของเอเลียนที่มีอารยธรรมในระดับสูงผ่านการดักฟังและติดตามคลื่นวิทยุจากห้วงอวกาศมานานหลายสิบปี ก็ยังไม่พบสัญญาณที่มีเค้าว่าจะเป็นของมนุษย์ต่างดาวแต่อย่างใด ทำให้เริ่มมีนักวิทยาศาสตร์เสนอวิธีการค้นหาใหม่ ๆ ที่น่าจะได้ผลมากขึ้น
ดร. เอกเตอร์ โซกาส นาวาร์โร (Hector Socas-Navarro) จากสถาบันฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งหมู่เกาะคะแนรีของสเปน ได้เสนอหลักการที่เป็นไปได้ในการตรวจวัดแสงสว่างของดาวฤกษ์ที่เปลี่ยนไปขณะที่มีดาวเคราะห์บริวารหรือวัตถุอวกาศอื่น ๆ เคลื่อนผ่านหน้าเป็นระยะ
ซึ่งเรียกว่าวิธี Transit Photometry มาประยุกต์ใช้กับกรณีนี้ โดยแสงสว่างของดาวฤกษ์ที่ลดลงและปรากฏการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นขณะถูกบดบังแสง จะบอกถึงคุณสมบัติต่าง ๆของดาวเคราะห์ที่เคลื่อนผ่านหน้าได้
มีการตีพิมพ์บทความนำเสนอวิธีการดังกล่าว ในคลังเอกสารวิชาการออนไลน์ arXiv.org โดยดร.นาวาร์โรระบุว่า หากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่างดาวที่มีอารยธรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในระดับกลางเช่นเดียวกับมนุษย์มีอยู่จริง ก็น่าที่จะมีการสร้างวัตถุอวกาศเช่นดาวเทียม สถานีอวกาศ แผงเซลล์สุริยะในอวกาศ อาณานิคมขนาดย่อยในอวกาศ หรือมีแม้กระทั่งขยะอวกาศจำนวนมากที่โคจรอยู่โดยรอบดาวของตนเอง เช่นเดียวกับที่มีอยู่โดยรอบโลกของเรา
วิธี Transit Photometry จะวิเคราะห์องค์ประกอบของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ (Exoplanet) ที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายหมื่นปีแสงได้ว่า มีวัตถุอวกาศซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกถึงอารยธรรมล้อมรอบอยู่หรือไม่
ดร. นาวาร์โรเรียกแถบวงโคจรของวัตถุอวกาศ ที่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าดาวดวงนั้นมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาว่า "วงโคจรคลาร์กนอกระบบสุริยะ"
(Clarke Exobelt - CEB) ซึ่งดัดแปลงมาจากคำว่า Clarke Belt หรือวงโคจรคลาร์ก ซึ่งหมายถึงวงโคจรค้างฟ้า (Geostationary orbit) ของดาวเทียมสื่อสารต่าง ๆ ที่เรียงตัวเป็นแถบเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลก สูงขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล 35,786 กิโลเมตร
คำว่าวงโคจรคลาร์กนั้น มาจากชื่อของเซอร์อาเธอร์ ซี. คลาร์ก (Arthur C. Clarke) นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งเป็นคนแรกที่เสนอแนวคิดให้ใช้ดาวเทียมที่โคจรค้างฟ้าในอวกาศเป็นเครื่องมือสื่อสาร ในปี 1945
ดร. นาวาร์โรอธิบายเพิ่มเติมว่า "แม้แถบของวัตถุอวกาศที่เอเลียนสร้างขึ้นล้อมรอบดาว อาจแยกออกจากแถบของวงแหวนที่เป็นองค์ประกอบตามธรรมชาติของดาวนั้นเองได้ยาก แต่แถบของวัตถุอวกาศทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะแตกต่างกัน โดยแถบของวงแหวนตามธรรมชาติจะมีรัศมีเป็นวงโคจรกว้างกว่า แต่ไม่สู้จะเรียงตัวเป็นแถบใหญ่มากนัก ในขณะที่แถบวงโคจร CEB ที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาว จะมีขนาดของวงโคจรเป็นรัศมีแคบกว่า แต่จะมีหน้าแถบขนาดใหญ่มากกว่า"
"ในเมื่อเราต้องติดตามค้นหาและศึกษาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ ด้วยวิธี Transit Photometry อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือสิ้นเปลืองอะไร หากเราจะใช้วิธีการเดียวกันมองหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากต่างดาวไปพร้อมกันด้วย" ดร. นาวาร์โรกล่าวทิ้งท้าย
Cr.
https://www.bbc.com/thai/features-43315916
สัญญาณจากสิ่งมีชีวิตเรืองแสง
(NASA /JPL-CALTECH /2MASS / เนบิวลาแมงมุมหรือ IC 417 เรืองแสงเป็นสีเขียวในภาพที่ถ่ายด้วยรังสีอินฟราเรดจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์)
นักชีวดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ของสหรัฐฯ ได้พัฒนาเทคนิคการค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาว ด้วยการมองหาสัญญาณ "การเรืองแสงชีวภาพ" (Biofluorescence) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่สิ่งมีชีวิตบางประเภทตอบสนองต่อการปะทุรังสีอัลตราไวโอเลต (ยูวี) อย่างรุนแรงจากดวงอาทิตย์
ดร. แจ็ค โอมัลลีย์-เจมส์ ผู้นำทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์บอกว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกบางประเภทเช่นปะการังน้ำลึกและสัตว์ทะเลบางกลุ่มสามารถจะเรืองแสงได้ โดยกลไกปกป้องตนเองของพวกมันจะดูดซับและแปลงรังสียูวีที่เป็นอันตรายให้มีความยาวคลื่นลดลง จนมาอยู่ในช่วงคลื่นที่สายตามนุษย์สามารถมองเห็นเป็นแสงสีต่าง ๆ ได้
ทีมผู้วิจัยได้ใช้การเรืองแสงของปะการังน้ำลึกเป็นต้นแบบ เพื่อคำนวณหาความเข้มและสีสันของการเรืองแสงชีวภาพที่สิ่งมีชีวิตต่างดาวอาจเปล่งออกมาเป็นครั้งคราว รวมทั้งคำนวณโอกาสความเป็นไปได้ในการตรวจพบเอเลียนเรืองแสงด้วยกล้องโทรทรรศน์รุ่นใหม่ ซึ่งอาจติดตั้งใช้งานบนพื้นโลกหรือในอวกาศ
(GETTY IMAGES / ปะการังน้ำลึกสามารถเรืองแสงได้ โดยเปลี่ยนรังสีอัลตราไวโอเลตให้เป็นคลื่นแสงที่สายตามนุษย์มองเห็น)
รศ.ดร. ลิซา คาลเทเนกเกอร์ ผู้อำนวยการสถาบันคาร์ลซาแกนของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์บอกว่า "การเรืองแสงชีวภาพของสิ่งมีชีวิตต่างดาวอาจเห็นได้ชัดเจน เมื่อเกิดการปะทุรังสียูวีระดับรุนแรงจากดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้เคียง จนถึงขั้นทำให้แสงสีของดาวที่เอเลียนอาศัยอยู่เปลี่ยนแปลงไปและสังเกตเห็นได้"
"ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการค้นหาด้วยเทคนิคนี้ ได้แก่ดาวที่คล้ายคลึงกับโลกและโคจรรอบดาวฤกษ์ชนิด M สีส้มแดงที่มีอุณหภูมิผิวค่อนข้างต่ำ อย่างเช่นดาวพร็อกซิมาบีที่ค้นพบเมื่อปี 2016 ซึ่งอยู่ใกล้โลกและน่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญของการสำรวจอวกาศในอนาคต"
Cr.
https://www.bbc.com/thai/thailand-49379635
หมึกยักษ์คือเอเลียนจากต่างดาวจริงหรือ
บทความวิชาการที่เสนอโดยนักวิทยาศาสตร์ 33 คน ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์ลงในวารสาร Progress in Biophysics and Molecular Biology เมื่อปี 2018 ตอกย้ำถึงข้อสันนิษฐานแหวกแนวที่คนบางกลุ่มเชื่อว่าหมึกยักษ์คือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกให้หวนกลับมาอยู่ในความสนใจกันอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ได้เคยมีผู้เสนอแนวคิดดังกล่าวในวงวิชาการมาแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยังคงยืนยันว่าเรื่องนี้น่าขัน ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และปราศจากหลักฐานยืนยันโดยสิ้นเชิง
บทความใหม่นี้ระบุว่า การเกิดขึ้นอย่างฉับพลันของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดพันธุ์ในยุคแคมเบรียน (Cambrian) ราว 540 ล้านปีที่แล้ว เป็นผลของปัจจัยแทรกแซงจากนอกโลก โดยอาจมีไวรัสจากต่างดาวติดมากับอุกกาบาตที่ตกลงบนโลก ซึ่งทำให้บรรพบุรุษของสัตว์จำพวกหมึกติดเชื้อไวรัสนั้นและวิวัฒนาการเป็นหมึกยักษ์ที่มีรูปร่างประหลาดในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่า ไข่ของหมึกยักษ์ที่ได้รับการผสมและพร้อมเจริญเป็นตัวอ่อนแล้วจากต่างดาว อาจติดมากับบรรดาหินอวกาศและตกลงบนโลกโดยตรงด้วย
นายจอช แกบบาทิสส์ ผู้สื่อข่าววิทยาศาสตร์ของหนังสือพิมพ์ดิ อินดีเพนเดนต์ รายงานว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีผู้เชื่อว่าหมึกยักษ์คือเอเลียนจากต่างดาว เพราะแม้จะเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับหอยและหอยทาก แต่กลับมีสมองใหญ่และระบบประสาทที่ซับซ้อน ทำให้มีความเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ทั้งยังมีตาที่ทำงานคล้ายกับกล้องถ่ายรูป มีโครงสร้างร่างกายที่ยืดหยุ่น รวมทั้งอำพรางตนเองด้วยการเปลี่ยนสีผิวและรูปร่างให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมได้ดี
คุณสมบัติที่แปลกประหลาดของหมึกยักษ์เหล่านี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่เสนอบทความล่าสุดเชื่อว่า ลักษณะดังกล่าวเป็นผลของวิวัฒนาการที่ "ยืมมาจากอนาคต" ซึ่งหมายความว่าหมึกยักษ์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่มีวิวัฒนาการล้ำหน้าสัตว์โลกไปก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคงไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยนายมาร์ก คาร์นัลล์ ภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดชี้ว่า ในบรรดานักวิทยาศาสตร์ผู้เสนอบทความ 33 คนนี้ ไม่มีใครเลยที่มีความเชี่ยวชาญในทางสัตววิทยาโดยตรง
(NASA / บางคนเชื่อว่าหมึกยักษ์เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว โดยดีเอ็นเอหรือไข่ติดมากับอุกกาบาตที่ตกลงบนโลก)
ศาสตราจารย์คาริน เมิลลิ่ง จากสถาบันมักซ์พลังก์ด้านพันธุศาสตร์ระดับโมเลกุลชี้ว่า "เหตุผลที่ว่าดีเอ็นเอของหมึกยักษ์มีความแปลกประหลาดลึกลับนั้น ถูกทำให้ตกไปจากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งหมดของหมึกยักษ์ได้ตั้งแต่ปี 2015 แล้ว โดยข้อมูลทางพันธุกรรมนี้ชี้ว่า หมึกยักษ์มีวิวัฒนาการมาตามปกติเช่นเดียวกับสัตว์ต่าง ๆ บนโลก โดยแยกสายวิวัฒนาการออกจากหมึกชนิดพันธุ์อื่น ๆ เมื่อราว 135 ล้านปีที่แล้ว"
Cr.ภาพ mauimagazine.net/
Cr.
https://www.bbc.com/thai/features-44213978
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
การค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาวนอกโลก
ทีมนักวิจัยด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมของสหราชอาณาจักร ได้ตีพิมพ์ผลการคำนวณข้างต้นลงในวารสาร The Astrophysical Journal โดยระบุว่าได้ปรับปรุงสมการของเดรก (Drake's equation) ใหม่ ซึ่งสมการนี้ใช้ปัจจัย 7 ประการในการคำนวณเพื่อประมาณค่าตัวเลขที่เป็นไปได้เกี่ยวกับอารยธรรมต่างดาว
ครั้งนี้มีการกำหนดขอบเขตของปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ใช้ในการคำนวณใหม่ พบว่ามีโอกาสที่อารยธรรมขั้นสูงของเอเลียนจำนวน 4 - 211 กลุ่ม จะยังคงดำรงอยู่ในกาแล็กซีทางช้างเผือกในปัจจุบัน แต่ตัวเลข 36 นั้นมีความเป็นไปได้มากที่สุดในขอบเขตการคำนวณนี้
ศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ คอนเซลิซ ผู้ร่วมทีมวิจัยอธิบายว่า "สมมติฐานในการคำนวณของเรา ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่าสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาสามารถจะเกิดขึ้นได้บนดาวทุกดวงที่มีสภาพคล้ายโลก และเมื่อเวลาผ่านไปราว 4.5 - 5.5 พันล้านปีหลังดาวเคราะห์นั้นก่อตัวขึ้นจนมีอายุเก่าแก่เท่ากับโลก วิวัฒนาการจะนำสิ่งมีชีวิตต่างดาวมาสู่อารยธรรมขั้นสูง จนสามารถติดต่อสื่อสารข้ามห้วงอวกาศได้เช่นเดียวกับมนุษย์หรือก้าวหน้ายิ่งกว่า"
ทีมผู้วิจัยเรียกหลักการคำนวณใหม่นี้ว่า "ขอบเขตโคเปอร์นิคันทางชีวดาราศาสตร์" (Astrobiological Copernican Limit) ซึ่งหลักการนี้อ้างอิงแนวคิดแบบโคเปอร์นิคัสที่มองว่า โลกไม่ได้เป็นดาวเคราะห์ดวงพิเศษหรือเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่เป็นดาวเคราะห์แบบที่พบได้ทั่วไป และสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาแบบมนุษย์ก็น่าจะมีอยู่ในที่อื่น ๆ หลายแห่งด้วย
ผลคำนวณยังชี้ว่า อารยธรรมมนุษย์จะต้องอยู่รอดจนมีอายุเก่าแก่ถึงอย่างน้อย 6,120 ปี จึงจะมีโอกาสสื่อสารโต้ตอบสองทางกับอารยธรรมต่างดาวได้ โดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่อยู่ใกล้โลกที่สุด อาจอยู่ห่างออกไปถึงราว 17,000 ปีแสง
ตัวเลขดังกล่าวชี้ถึงสาเหตุที่ทำให้เรายังค้นหาอารยธรรมต่างดาวไม่พบ เนื่องจากสัญญาณวิทยุที่มนุษย์เคยส่งออกไปนั้นเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เดินทางได้ช้าและมีพลังไม่สูงนัก ตัวอย่างเช่นสัญญาณวิทยุที่มนุษย์ทำการกระจายเสียงครั้งแรกเมื่อปี 1895 หากส่งสัญญาณออกไปในห้วงอวกาศ ขณะนี้มันจะไปได้ไกลจากโลกเพียง 125 ปีแสงเท่านั้น ในขณะที่สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่อยู่ใกล้เราที่สุด ห่างออกไปนับหมื่นปีแสง และอาจยังมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในระดับเดียวกันก็เป็นได้
Cr.https://www.bbc.com/thai/features-53061517
ดร. เอกเตอร์ โซกาส นาวาร์โร (Hector Socas-Navarro) จากสถาบันฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งหมู่เกาะคะแนรีของสเปน ได้เสนอหลักการที่เป็นไปได้ในการตรวจวัดแสงสว่างของดาวฤกษ์ที่เปลี่ยนไปขณะที่มีดาวเคราะห์บริวารหรือวัตถุอวกาศอื่น ๆ เคลื่อนผ่านหน้าเป็นระยะ
ซึ่งเรียกว่าวิธี Transit Photometry มาประยุกต์ใช้กับกรณีนี้ โดยแสงสว่างของดาวฤกษ์ที่ลดลงและปรากฏการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นขณะถูกบดบังแสง จะบอกถึงคุณสมบัติต่าง ๆของดาวเคราะห์ที่เคลื่อนผ่านหน้าได้
มีการตีพิมพ์บทความนำเสนอวิธีการดังกล่าว ในคลังเอกสารวิชาการออนไลน์ arXiv.org โดยดร.นาวาร์โรระบุว่า หากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่างดาวที่มีอารยธรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในระดับกลางเช่นเดียวกับมนุษย์มีอยู่จริง ก็น่าที่จะมีการสร้างวัตถุอวกาศเช่นดาวเทียม สถานีอวกาศ แผงเซลล์สุริยะในอวกาศ อาณานิคมขนาดย่อยในอวกาศ หรือมีแม้กระทั่งขยะอวกาศจำนวนมากที่โคจรอยู่โดยรอบดาวของตนเอง เช่นเดียวกับที่มีอยู่โดยรอบโลกของเรา
วิธี Transit Photometry จะวิเคราะห์องค์ประกอบของดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ (Exoplanet) ที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายหมื่นปีแสงได้ว่า มีวัตถุอวกาศซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกถึงอารยธรรมล้อมรอบอยู่หรือไม่
ดร. นาวาร์โรเรียกแถบวงโคจรของวัตถุอวกาศ ที่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าดาวดวงนั้นมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาว่า "วงโคจรคลาร์กนอกระบบสุริยะ"
(Clarke Exobelt - CEB) ซึ่งดัดแปลงมาจากคำว่า Clarke Belt หรือวงโคจรคลาร์ก ซึ่งหมายถึงวงโคจรค้างฟ้า (Geostationary orbit) ของดาวเทียมสื่อสารต่าง ๆ ที่เรียงตัวเป็นแถบเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลก สูงขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล 35,786 กิโลเมตร
คำว่าวงโคจรคลาร์กนั้น มาจากชื่อของเซอร์อาเธอร์ ซี. คลาร์ก (Arthur C. Clarke) นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งเป็นคนแรกที่เสนอแนวคิดให้ใช้ดาวเทียมที่โคจรค้างฟ้าในอวกาศเป็นเครื่องมือสื่อสาร ในปี 1945
ดร. นาวาร์โรอธิบายเพิ่มเติมว่า "แม้แถบของวัตถุอวกาศที่เอเลียนสร้างขึ้นล้อมรอบดาว อาจแยกออกจากแถบของวงแหวนที่เป็นองค์ประกอบตามธรรมชาติของดาวนั้นเองได้ยาก แต่แถบของวัตถุอวกาศทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะแตกต่างกัน โดยแถบของวงแหวนตามธรรมชาติจะมีรัศมีเป็นวงโคจรกว้างกว่า แต่ไม่สู้จะเรียงตัวเป็นแถบใหญ่มากนัก ในขณะที่แถบวงโคจร CEB ที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาว จะมีขนาดของวงโคจรเป็นรัศมีแคบกว่า แต่จะมีหน้าแถบขนาดใหญ่มากกว่า"
"ในเมื่อเราต้องติดตามค้นหาและศึกษาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ ด้วยวิธี Transit Photometry อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือสิ้นเปลืองอะไร หากเราจะใช้วิธีการเดียวกันมองหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากต่างดาวไปพร้อมกันด้วย" ดร. นาวาร์โรกล่าวทิ้งท้าย
Cr. https://www.bbc.com/thai/features-43315916
ดร. แจ็ค โอมัลลีย์-เจมส์ ผู้นำทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์บอกว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกบางประเภทเช่นปะการังน้ำลึกและสัตว์ทะเลบางกลุ่มสามารถจะเรืองแสงได้ โดยกลไกปกป้องตนเองของพวกมันจะดูดซับและแปลงรังสียูวีที่เป็นอันตรายให้มีความยาวคลื่นลดลง จนมาอยู่ในช่วงคลื่นที่สายตามนุษย์สามารถมองเห็นเป็นแสงสีต่าง ๆ ได้
ทีมผู้วิจัยได้ใช้การเรืองแสงของปะการังน้ำลึกเป็นต้นแบบ เพื่อคำนวณหาความเข้มและสีสันของการเรืองแสงชีวภาพที่สิ่งมีชีวิตต่างดาวอาจเปล่งออกมาเป็นครั้งคราว รวมทั้งคำนวณโอกาสความเป็นไปได้ในการตรวจพบเอเลียนเรืองแสงด้วยกล้องโทรทรรศน์รุ่นใหม่ ซึ่งอาจติดตั้งใช้งานบนพื้นโลกหรือในอวกาศ
"ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการค้นหาด้วยเทคนิคนี้ ได้แก่ดาวที่คล้ายคลึงกับโลกและโคจรรอบดาวฤกษ์ชนิด M สีส้มแดงที่มีอุณหภูมิผิวค่อนข้างต่ำ อย่างเช่นดาวพร็อกซิมาบีที่ค้นพบเมื่อปี 2016 ซึ่งอยู่ใกล้โลกและน่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญของการสำรวจอวกาศในอนาคต"
Cr.https://www.bbc.com/thai/thailand-49379635
บทความใหม่นี้ระบุว่า การเกิดขึ้นอย่างฉับพลันของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดพันธุ์ในยุคแคมเบรียน (Cambrian) ราว 540 ล้านปีที่แล้ว เป็นผลของปัจจัยแทรกแซงจากนอกโลก โดยอาจมีไวรัสจากต่างดาวติดมากับอุกกาบาตที่ตกลงบนโลก ซึ่งทำให้บรรพบุรุษของสัตว์จำพวกหมึกติดเชื้อไวรัสนั้นและวิวัฒนาการเป็นหมึกยักษ์ที่มีรูปร่างประหลาดในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่า ไข่ของหมึกยักษ์ที่ได้รับการผสมและพร้อมเจริญเป็นตัวอ่อนแล้วจากต่างดาว อาจติดมากับบรรดาหินอวกาศและตกลงบนโลกโดยตรงด้วย
นายจอช แกบบาทิสส์ ผู้สื่อข่าววิทยาศาสตร์ของหนังสือพิมพ์ดิ อินดีเพนเดนต์ รายงานว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีผู้เชื่อว่าหมึกยักษ์คือเอเลียนจากต่างดาว เพราะแม้จะเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับหอยและหอยทาก แต่กลับมีสมองใหญ่และระบบประสาทที่ซับซ้อน ทำให้มีความเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ทั้งยังมีตาที่ทำงานคล้ายกับกล้องถ่ายรูป มีโครงสร้างร่างกายที่ยืดหยุ่น รวมทั้งอำพรางตนเองด้วยการเปลี่ยนสีผิวและรูปร่างให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมได้ดี
คุณสมบัติที่แปลกประหลาดของหมึกยักษ์เหล่านี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่เสนอบทความล่าสุดเชื่อว่า ลักษณะดังกล่าวเป็นผลของวิวัฒนาการที่ "ยืมมาจากอนาคต" ซึ่งหมายความว่าหมึกยักษ์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่มีวิวัฒนาการล้ำหน้าสัตว์โลกไปก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคงไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยนายมาร์ก คาร์นัลล์ ภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดชี้ว่า ในบรรดานักวิทยาศาสตร์ผู้เสนอบทความ 33 คนนี้ ไม่มีใครเลยที่มีความเชี่ยวชาญในทางสัตววิทยาโดยตรง
Cr.ภาพ mauimagazine.net/
Cr.https://www.bbc.com/thai/features-44213978
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)