ทะเลสาบที่สามารถฆ่าคนได้

Lake Brosno



ทะเลสาบบรอสโน (Lake Brosno) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงมอสโก  มีขนาดไม่ใหญ่นักแต่ลึกจนน่าแปลก  คราวหนึ่ง ทัพทหารม้าโหดชาวตาตาร์ซึ่งกำลังเคลื่อนพลจะเข้าโจมตีเมืองนอฟโกร็อด (Novgorod) ตัดสินใจหยุดพักให้หายเหนื่อยริมทะเลสาบเสียคืนหนึ่งก่อน จู่ๆก็มีสัตว์ประหลาดคล้ายสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่พุ่งตัวขึ้นมาจากผืนน้ำเข้าโจมตีคนและม้า ทำเอาทหารตาตาร์หนีกันกระเจิง  พวกเขาถือว่าการถูกมังกรโจมตีเป็นสัญญาณไม่ดี เลยตัดสินใจทิ้งนอฟโกร็อดแล้วกลับบ้าน

ตำนานเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดในทะเลสาบยังมีอีกมากมายจนทำให้ “บรอสเนีย” (Brosnya) ดังเทียบเท่ากับสัตว์ประหลาดล็อคเนสส์ ทำให้ในปี 2002 กลุ่มยูเอฟโอรัสเซียจัดโครงการใช้โซนาร์อ่านก้นทะเลสาบ และรายงานว่าพบ “มวลเหมือนเยลลี่ขนาดใหญ่มาก” ลอยตัวอยู่เหนือก้นทะเลสาบ
แต่เพราะความเป็นรัสเซีย พวกเขาเลยยิงลูกระเบิดลงไปในน้ำ เพื่อให้มันลอยขึ้นมาสู่ผิวน้ำ แต่ก็ไม่มีอะไรคล้ายสัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมา

คนโซเวียตบางคนที่ยังแคลงใจ หาทางอธิบายสถานการณ์ที่มองเห็นสัตว์คล้ายมังกรด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ เช่น อาจเป็นไปได้ว่า ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์รวมตัวกันที่ก้นของทะเลสาบ แล้วผุดลอยขึ้นมาที่พื้นผิว ทำให้ฟองอากาศระเบิดจนอาจจะเข้าใจผิดว่ามาจากสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ  หรือการแตกหักของภูเขาไฟที่ด้านล่างของทะเลสาบอาจดีดฟองอากาศของก๊าซชนิดเดียวกันขึ้นมา หรืออาจเป็นแค่กวางเอลก์ว่ายน้ำข้ามทะเลสาบก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ในอดีตก็มีข่าวลือว่ามังกรบรอสเนียกลืนกินเครื่องบินเยอรมันทั้งลำในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2  
เขียนโดย manes 
Cr.https://zeromanman.blogspot.com/2017/12/brosno-dragon.html

Lake Nyos


ทะเลสาบไนออส (Lake Nyos) ทะเลสาบมรณะ หรือ “คิลเลอร์เลค” เป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ในเขตนอร์ทเวสต์ รีเจียน (Northwest Region) ของแคเมอรูน แม้จะตั้งอยู่ทางด้านข้างของภูเขาไฟไม่มีพลังในที่ราบภูเขาไฟโอกู แต่ก็อยู่บนแนวภูเขาไฟที่มีพลัง ทั้งยังมีแอ่งแมกมาอยู่ใต้ทะเลสาบจึงมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลรั่วซึมออกมาปะปนในน้ำ

และกลายเป็นกรดคาร์บอนิกสะสมอยู่ในน้ำเบื้องล่างซึ่งมีความหนาแน่นและอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณผิวน้ำ เมื่อเวลาผ่านไปนานนับร้อยๆ ปี ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมอยู่ใต้น้ำก็ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ใต้น้ำมีแรงดันสูงขึ้นตลอดเวลา

ในวันที่ 21 สิงหาคม ปี ค.ศ.1986 (พ.ศ. 2529) ก็เกิดเหตุมหันตภัยทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์  เป็นปรากฏการณ์ทะเลสาบพลิกกลับหรือ “Limnic eruption” โดยไม่ทราบสาเหตุ  ส่งผลให้น้ำใต้ทะเลสาบระเบิดและพุ่งขึ้นไปในอากาศถึง 300 ฟุต (91 เมตร) ตามมาด้วยสึนามิขนาดย่อมๆ

การระเบิดของน้ำใต้ทะเลสาบในครั้งนั้นทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ราว 1-3 แสนตันถูกปลดปล่อยออกมาสู่บรรยากาศด้วยความเร็ว 60 ไมล์ (96.5กม.) ต่อชั่วโมง ส่งผลให้ประชาชน 1,746 คน และสัตว์เลี้ยงกว่า 3,500 ตัวที่อยู่ในรัศมี 24 กม. เสียชีวิตเพราะขาดอากาศ (มีผู้รอดชีวิตเพียง 6 คน)

หลังเกิดภัยพิบัติในครั้งนั้น ทีมนักวิทยาศาสตร์นำโดยชาวฝรั่งเศสได้ทำการตั้งท่อเชื่อม (ไซฟ่อน) เพื่อปั๊มน้ำที่เต็มไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ทางด้านล่างขึ้นมาปล่อยเป็นน้ำพุสูง 21 เมตร ซึ่งจะช่วยปลดปล่อยและลดปริมาณสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใต้น้ำ (ใช้เครื่องช่วยปั๊มน้ำแค่ครั้งแรก หลังจากนั้นฟองอากาศจะดันน้ำที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ผสมอยู่ให้พุ่งขึ้นมาตามท่อเอง หรือที่บางคนเรียกว่าน้ำพุโซดา) 

ปัจจุบัน มีท่อดังกล่าวทั้งสิ้น 3 จุดซึ่งเชื่อว่าน่าจะเพียงพอสำหรับการป้องกันไม่ให้คาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณที่ปล่อยออกมีจำนวนพอๆ กับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่รั่วซึมออกมาปะปนในน้ำ
ข้อมูลจาก paow007.wordpress.com
Cr.https://variety.thaiza.com/interest/292019/

Frying Pan Lake
 

ทะเลสาบ Frying Pan ใน Waimangu ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นหนึ่งในแอ่งน้ำร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำที่เป็นกรดของมันมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 50-60 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี และพื้นผิวของมันยังคงถูกบดบังด้วยไอน้ำคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่เดือดปุดๆ

ทะเลสาบเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ในปี 1886 เมื่อภูเขา Tarawera ระเบิดและทำให้เกิดปากปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่หลายแห่งในพื้นที่ มันเป็นการปะทุครั้งใหญ่ที่สุดในนิวซีแลนด์นับตั้งแต่การมาถึงของชาวยุโรป การปะทุพุ่งทะลุหุบเขา ทำลายสถานที่สำคัญทางภูมิศาสตร์ที่มีค่าหลายแห่ง เช่นเทอเรซสีชมพูและสีขาวที่โด่งดัง แต่ยังทำให้หุบเขา Waimangu มีน้ำร้อนและความร้อนใต้พิภพมากมาย

ภายในระยะเวลา 15 ปี การปะทุน้ำพุร้อนก็ตั้งอยู่อย่างถาวรในหุบเขาWaimangu น้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือน้ำพุร้อน Waimangu ซึ่งยิงน้ำขึ้นไปในอากาศเกือบครึ่งกิโลเมตรเป็นเวลาสี่ปี ปากปล่องภูเขาไฟที่เพิ่งก่อตัวใหม่เต็มไปด้วยน้ำฝนและน้ำใต้ดินที่อุ่นขึ้นเพื่อก่อตัวเป็นสระน้ำร้อน ทะเลสาบ Frying Pan เป็นหนึ่งในนั้นและตั้งอยู่ในปากปล่องภูเขาไฟ Echo
 
ทะเลสาบFrying Pan ครอบคลุม 38,000 ตารางเมตรและมีความลึกเฉลี่ย 6 เมตร บนชายฝั่งตะวันตกมีที่ราบขั้นบันไดที่ถูกเผาที่มีสีสัน และทางตะวันออกเป็นปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่เหลืออยู่หลังจากการปะทุของน้ำพุร้อน Waimangu จบลง มีการก่อตัวของซิลิกาที่ละเอียดอ่อนและแหล่งแร่ที่มีสีสันรอบๆทะเลสาบ
ที่มา amusingplanet
Cr.http://realmetro.com/frying-pan-lake/

Lake Kawah Ijen


คาวาอีเจี้ยนเป็นทะเลสาบกลางปล่องภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย น้ำในทะเลสาบเป็นธาตุกัมมะถันล้อมรอบด้วยหินภูเขาไฟที่ถูกกัดกร่อนโดยกรด ความลึกของน้ำมนทะเลสาบอยู่ที่ 200 เมตร และประกอบไปด้วยน้ำกรดประมาณ 36 ล้านลูกบาศก์เมตร ความงามของทะเลสาบสีน้ำเงินปนฟ้าซ่อนกลิ่นและความอันตรายของกรดกัมมะถันเอาไว้ หินที่สวยงามบริเวณปล่องภูเขาไฟจะมีสีและขนาดที่แตกต่างกัน โดยปล่องภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยนสูงประมาณ 2,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

น้ำที่มีสีเทอร์ควอยซ์นี้มีอุณหภูมิด้านล่างถึง 200 ° C และปกคลุมไปด้วยก๊าซมีเทนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งส่องประกายด้วยสีฟ้าลึกลับในตอนกลางคืน 
เนื่องจากเกิดการลุกไหม้ของแก๊สกัมมะถันที่พวยพุ่งออกมาจากทะเลสาบด้านล่าง  ในตอนกลางคืนอุณหภูมิของที่นี่จะอยู่ประมาณ 5 องศาเซลเซียส

ภายใต้ภูเขาไฟแห่งนี้เป็นแหล่งอาชีพของชาวบ้าน ด้วยการขุดเจาะกำมะถันและแบกลำเลียงออกไปขาย ซึ่งน้ำหนักแต่ละรอบที่ขนก็ไม่น้อยกว่า 70-80 กิโลกรัม แต่ชาวบ้านก็ยังสามารถรวบรวมกำมะถันตามชายฝั่งได้โดยไม่ต้องสวมหน้ากากป้องกันเพื่อให้ได้  "ทองคำของปีศาจ" จากในที่อันตรายที่สุด 
ที่มา eastjava.com
Cr.https://travel.thaiza.com/amaze/469600/

Lac de Gafsa


ในปี 2014  Mehdi Bilel กำลังเดินทางกลับบ้านคนเดียวในแถบทะเลทรายประเทศตูนีเซีย แต่ทันใดนั้นเขากลับเห็นทะเลสาบขนาดใหญ่สาดส่องประกายอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุในทะเลทรายอันแห้งแล้ง ซึ่งห่างจากตัวเมือง Gafsa ประมาณ 25 กิโลเมตร  Mehdi Bilel ทบทวนว่าไม่เคยมีทะเลสาบอยู่บริเวณนี้ เขาจึงคิดว่ากำลังเห็นภาพหลอน  แต่ทะเลสาบที่เขาเห็นนั้น​ “เป็นของจริง” 

ชาวเมืองค้นหาความจริงและพบว่า ทะเลสาบแห่งนี้มีอยู่จริงและได้ตั้งชื่อว่า “Lac de Gafsa” หรือ “ชายหาด Gafsa” สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดเกี่ยวกับทะเลสาบนี้คือการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันท่ามกลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง ไม่ชัดเจนว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในทันที 

นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าอาจเกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กขึ้นทำให้เกิดรอยแตกของหินเหนือพื้นน้ำใต้ดิน ทำให้น้ำหลายลูกบาศก์เมตรผุดขึ้นสู่ผิวดินกลายเป็นทะเลสาบที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 เฮกตาร์ และลึกประมาณ 10-18 เมตร ซึ่งน้ำของทะเลสาบได้เปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีเขียวอมชมพู เนื่องจากเหล่าสาหร่าย ที่แสดงว่าน้ำอาจปนเปื้อนไปด้วยแบคทีเรียและโรคได้ นอกจากนี้ยังมีการพบฟอสเฟตที่เป็นสารอันตราย จึงไม่เป็นผลดีนักถ้าไปว่ายน้ำบริเวณนี้
ที่มา amusingplanet.com
Cr.ภาพ https://www.businessinsider.com/
Cr. https://travel.thaiza.com/foreign/379996/

Siberian Malvides


ผืนน้ำสีฟ้าคราม ท่ามกลางทะเลสาบในเมือง Novosibirsk ประเทศรัสเซีย ได้กลายมาเป็นภาพพื้นหลังของชาวโซเชียล อย่างอินสตาแกรมอย่างแพร่หลาย ภาพถ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพหญิงสาวในชุดบิกินี่หรือนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมที่ทะเลสาบแห่งนี้ ได้กลายเป็นกระแสออกไปอย่างแพร่หลาย ชาวรัสเซียท้องถิ่น ต่างเรียกทะเลสาบแห่งนี้ว่า Siberian Maldives

ผืนน้ำสีฟ้าอันสวยงามเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติ แต่เป็นผลจากการสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในแถบภูมิภาคนี้ ถูกขุดขึ้นมาเพื่อเป็นที่ทิ้งสารเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากโรงงาน ทางเจ้าหน้าที่ได้ออกมาเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังสารพิษที่ตกค้างอยู่จากการมาท่องเที่ยวที่ทะเลสาบแห่งนี้

ถึงแม้ภาพของสีผืนน้ำสีสดใสเหล่านี้จะทำให้นึกถึงทะเลบริเวณแถบเมืองร้อนตามชื่อที่คนในท้องถิ่นเรียกกันก็ตาม ก็ใช่ว่าจะมีความปลอดภัยเสมอไป บางคนก็มีผื่นคันขึ้นหลังจากมาเที่ยวที่ทะเลสาบแห่งนี้ บางคนก็เกิดการระคายคอและจมูก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีผู้คนมาเยี่ยมชมเพื่อถ่ายรูป และบางคนก็ยังมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งบริเวณทะเลสาบแห่งนี้อีกด้วย
ที่มา amusingplanet.com
Cr.https://travel.thaiza.com/amaze/440632/

ทะเลสาบไซยาไนด์



หมู่บ้านเล็กๆ ในประเทศโรมาเนีย (Romania) ที่ชื่อว่า หมู่บ้าน Geamana หมู่บ้านร้างในอัลบาเคาน์ตี (Alba County) ซึ่งในอดีตนั้นเคยเป็นหมู่บ้านที่อุดมสมบูรณ์เงียบสงบผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านล้วนแล้วแต่มีความสุข

ในปี 1978 หมู่บ้านแห่งนี้ ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อทุกคนต้องละทิ้งอาคารบ้านเรือนรวมไปถึงวิถีชีวิตอันแสนสงบสุข เพื่อหลีกทางให้กับน้ำเสียจากเหมืองทองแดง Roșia Poieni copper mine ไหลเข้าท่วมพื้นที่หมู่บ้าน จนกระทั่งกลายเป็นทะเลสาบที่เต็มไปด้วยไซยาไนด์นั่นเอง

ปัจจุบัน หมู่บ้าน Geamana กลายเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสาย บางคนก็เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้ เพื่อชมความแปลกของทะเลสาบสีแดงที่ส่งกลิ่นเหม็นฉุนจนแทบไม่มีใครทนได้ ทว่าจุดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คือ หอคอยของโบสถ์และอาคารบ้านเรือนบางหลังที่จมอยู่ใต้น้ำ บางส่วนในทะเลสาบสีแดงที่เต็มไปด้วยสารพิษ แม้ว่ามองผิวเผินจะดูสวยงามแต่ก็ซ่อนความน่าสะพรึงกลัวเอาไว้
ข้อมูลและภาพ : amusingplanet.com / travel.thaiza.com / nytimes.com / digi24.ro
เรียบเรียงโดย Travel MThai
Cr.https://travel.mthai.com/world-travel/86833.html

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่