เดือนที่เดินทาง - พฤษภาคม 2018
สำหรับท่านใดที่ต้องการดูภาพชัดๆแบบไม่มีโลโก้มาบดบัง สามารถเปลี่ยนไปอ่านที่เว็บของผมเองได้เลยครับ
https://www.nopeopletravelphoto.com/post/newyork_dc_2018
ช่วงนี้เดินทางไปไหนไม่ได้ ยังไงก็ต้องขอเอารูปเก่าๆมาเผยแพร่ไปก่อนนะครับ โพสนี้เป็นเรื่องการเดินทางไปอเมริกาของผมเมื่อสองปีก่อนที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวต่อหลังจากประชุมงานที่สาขาใหญ่จบเหมือนกันกับโพสก่อนหน้านี้ และครั้งนี้เป็นการเดินทางไปเที่ยวนิวยอร์ค!
นิวยอร์คเป็นอีกเมืองที่ถ่ายรูปสนุกมากด้วยความที่ตึกสูงระฟ้ามากมายเปิดไฟสว่างไสวตลอดคืนราวกับค่าไฟฟรีตลอดชีพ นอกจากนั้นสถานที่ต่างๆเดินผ่านแล้วก็อาจจะทำให้นึกออกว่าเคยเห็นในหนังกันบ่อยๆ งานนี้มีแม่ตามมาด้วยเหมือนเคย นานๆทีจะได้ไปเที่ยวไกลๆ ไม่พลาดแน่นอน
วันที่ 1 (Brynt Park, Times Square)
เสร็จงานแล้วไม่ต้องรอนาน เช้าวันรุ่งขึ้นก็ออกตั้งแต่เช้ามืดเพื่อขึ้นเครื่องจาก Omaha เพื่อไปลงที่ สนามบิน JFK หลังจากต่อเครื่องที่ Philadelphia พอถึงนิวยอร์คแล้วก็รอไฟล์ทที่แม่นั่งมาแป๊บเดียวแล้วเราก็นั่งรถไฟเข้าเมืองได้เลยครับ โรงแรมที่นอนคราวนี้คือ Hotel Pennsylvania โลเคชั่นถือว่าค่อนข้างดี ราคาถูกกว่าโรงแรมรอบข้าง แต่ว่าห้องแย่มากๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการจอง
กว่าจะเอาข้าวของไปเก็บแล้วจัดการอะไรเสร็จก็บ่ายๆแล้ว Brynt Park อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ไปเดินเล่นนิดนึงก่อนวันเที่ยวจริงพรุ่งนี้
Brynt Park เป็นสวนสาธารณะด้านหน้าหอสมุดนิวยอร์ค (New York Public Library) ที่ด้านในสวยมากๆๆๆ แต่ได้แค่ดูรูปเพราะว่าไปถึงก็เลยเวลาทำการซะแล้ว ดูรอบๆไปก่อน บรรยากาศดี อาคารบ้านเรือนดูแล้วคลาสสิก

ฝั่งตรงข้ามของสวนมีซุปเปอร์มาร์เก็ต Whole Foods อยู่เลยเดินแวะเข้าไปดูหน่อยเพราะเห็นว่าผักผลไม้ที่นี่สดและใหญ่โตมาก ที่เห็นเป็นเรื่องปกติเลยคือร้านค้าที่นี่ใช้พลาสติกเยอะแยะ ผักเล็กๆน้อยๆไม่ได้ทำเป็นกำๆเหมือนบ้านเราแต่ต้องใส่กล่องพลาสติกไว้ให้เปลืองเล่น

อ่ะๆ อย่าไปบ่นเค้าเยอะ ฟ้าเริ่มมืดแล้วเลยเดินต่อไปเรื่อยๆเพื่อจะไปจบที่ Times Square นั่นเอง

เดินมาถึงแล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้ตะลึงกว่าที่คิดเพราะไม่คิดว่าจะใหญ่โตและป้ายเยอะขนาดนี้ คนเดินกันเยอะมากทั้งนักท่องเที่ยวและคนใส่ชุดแปลกๆมาให้คนถ่ายรูป ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะพวกนี้เค้าเก็บเงินนะครับ ใครอยากได้รูปอย่าตกใจเวลาเค้าทวงเงิน

บริเวณรอบๆนี้ก็เป็นโรงละครมากมายสำหรับละครเวทีชื่อดัง ถ้าเป็นโชว์ที่ดังมากๆต้องจองล่วงหน้ามาก่อนนะครับไม่งั้นแห้ว ตอนผมไปสนใจอยากดู The Phantom of the Opera ไม่มีตั๋วไปอีกสองอาทิตย์แน่ะ
วันแรกไว้แค่นี้ก่อน ไปหาผับบาร์นั่งดื่มนิดหน่อยก่อนกลับโรงแรมนอน พื้นโรงแรมนี้เดินเท้าเปล่าไม่ได้เลยเท้าดำปี๋ คนบ้านนี้เมืองนี้เค้าใส่รองเท้าในบ้านกันสินะ
วันที่ 2 (Chelsea Market, The High Line, Central Park, Top of the Rock)
วันนี้แหละที่เราเตรียมขามาปวดเป็นอย่างดีเพราะที่เที่ยวค่อนข้างเยอะ อาหารเช้าโรงแรมนี้เค้ามีให้แค่ขนมปังก้อนนึง กล้วยหนึ่งผล(เรียกว่าผลถูกแล้วนะ) และกาแฟ ไม่เป็นไร วันนี้เราเริ่มวันด้วยการกินก่อนเลยที่ตลาด Chelsea ที่เป็นสถานที่ฮิปๆมีของแปลกๆขายและมีอาหารสดเยอะแยะ

ที่เล็งไว้วันนี้คือโซนอาหารทะเลนี่เอง ไม่ว่าจะเป็นปูยักษ์อลาสก้า หรือว่ากุ้งล็อบสเตอร์ ตัวใหญ่ๆเยอะแยะ ราคาแพงหน่อยแต่ไม่ผิดหวังแน่นอน อาหารทะเลสองอย่างนี้ผมพูดจริงๆว่ากินที่อื่นไม่เหมือนที่อเมริกา ไม่แช่ในน้ำเกลือเค็มๆ เหมือนแค่เอามาต้มให้สุกแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของความสด เนื้อกินเปล่าๆก็รู้สึกหวาน คิดแล้วหิว ขาปูใหญ่เอามาตีกันหัวแตกได้เลย

ทั้งของคาวและหวาน จัดเต็มกันแล้วก็พร้อมไปเที่ยวต่อที่ The High Line ที่อยู่ข้างๆกันเลย High Line คือรางรถไฟยกระดับเก่าดั้งเดิมของนิวยอร์คที่เลิกใช้ไปแล้วเค้าเลยเอามาทำเป็นสวนสาธารณะลอยฟ้า ไอเดียบรรเจิดมากๆ รางรถไฟก็ยังเก็บไว้ให้เดินสะดุดกันเล่นเป็น gimmick ระหว่างทางก็ได้เดินดูบ้านเมืองเค้าทั้งตึกเก่าและใหม่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

ถ้าใครเดินไปจนสุดทางอีกฝั่งที่ Hudson Yards ก็จะได้เจอกับแลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ตอนผมไปยังสร้างไม่เสร็จชื่อว่า Vessel หน้าตาคล้ายๆรังผึ้ง

ระหว่างทางเดินมีทางขึ้นลงตลอดไม่ต้องกลัวว่าจะผันตัวกลับไม่ได้ เราเลยเลือกจะลงกันตรงไหนที่ใกล้สุดแล้วเรียกแท็กซี่ไปที่ Central Park เริ่มเมื่อยซะแล้ว
ด้านในสวนก็เดินๆพักๆไปเรื่อยครับ มาเที่ยวที่ Central Park ต้องทำตัวเหมือนคนแถวนี้เพราะไม่ได้มีอะไรให้ดูเยอะแยะแต่เป็นพื้นที่พักผ่อนทำกิจกรรมมากมาย เหมือนมาดูการใช้ชีวิตของคนที่นี่ ทั้งนอนอาบแดด ปีนหินเล่น ปั่นจักรยาน หรือจะพายเรือ

เดินเข้าไปต่อตรงทางอุโมงค์ต้นไม้หรือ The Mall (ไม่ใช่ห้างแถวบ้าน) ก็ยิ่งเห็นคนมาทำอะไรกันเยอะแยะ บางทีก็มี street performance มาแสดงหารายได้เช่นแบบนี้

เดินมาต่ออีกหน่อยก็จะเจอ Bethesda Terrace กับ Bethesda Fountain ที่เห็นในหนังบ่อยๆ ของจริงสวยดีครับมีรายละเอียดบนเพดานเยอะแยะ ส่วนน้ำพุนั้นก็ทั่วๆไปนะ ไว้นั่งพักเหนื่อยได้

สวนเค้าใหญ่มากจริงๆจะให้เดินหมดก็ไม่น่าจะจบในวันเดียว เอาแค่พอได้เห็นของจริงก่อนละกันครั้งนี้
นั่งพักกันหายเหนื่อยแล้วก็ค่อยๆเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินไปที่ Rockefeller Plaza จุดชมวิวเมืองที่นับว่าวิวสวยที่สุดในนิวยอร์ค จะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดตึกกัน ตรงนี้เท่าที่ค้นคว้ามา ไม่สามารถใช้ขาตั้งกล้องอันใหญ่ได้แต่ว่ามีขอบรั้วที่ใหญ่พอให้ตั้งขาตั้งกล้องอันเล็กๆเตี้ยๆได้ ถึงกับไปซื้อขาตั้งกล้องมาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ
ภาพก่อนเข้าตึก

สำหรับใครที่สนใจแนะนำว่าให้ไปเร็วหน่อยเพราะต้องไปต่อคิวซื้อตั๋วเล็กน้อยและต้องรอคิวขึ้นลิฟท์ด้วย จุดที่ถ่ายรูปสวยที่สุดมีพื้นที่ให้สำหรับแค่คนเดียวหรือในกรณีผมแบ่งให้คนอื่นอีก 2 คนเพราะว่าเห็นใจเค้าอุตส่าห์ซื้อตั๋วมา แบ่งๆกัน ระหว่างถ่ายรูปอยู่ก็มีฝรั่งที่คิดว่าเราฟังเค้าไม่ออกมาซุบซิบว่าตานี่เมื่อไหร่จะเสร็จจะได้ไปถ่ายรูปบ้าง พอดีผมก็รอแสงมันสวยอยู่เลยให้เค้าเข้าไปถ่ายก่อนแป๊บนึง แค่นี้ทุกคนก็สบายใจ
ภาพด้านล่างนี้ก็เป็นตั้งแต่พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าไปจนถึงช่วง twilight นิดเดียวเพื่อให้ได้ทั้งสีของท้องฟ้าและไฟบนตึกครับ ระยิบระยับ สวยมากเลย

พอหันกลับไปอีกด้านนึงก็จะมองไปเห็น Central Park ตึกสูงมาบังเยอะแยะ อนาคตคงจะไม่เหลือให้เห็นอีกแล้ว

จบลงด้วยขาที่ปวดร้าว ไปเที่ยวครั้งไหนก็เจ็บกลับมาทุกที 555
วันที่ 3 (Brooklyn Bridge, Statue of Liberty, Dumbo)
ถ้ามานิวยอร์คแล้วที่ห้ามพลาดเลยคือการมาเดินบนสะพาน Brooklyn คิดเอาไว้แล้วว่าถ้ามาตอนเย็นนี่คนน่าจะเดินกันแน่นเลยตัดสินใจมาช่วงเช้าแทน เริ่มมีคนบ้างแล้วแต่ก็ไม่เยอะมาก เพราะโรงแรมเราอยู่ฝั่ง Manhattan เราเลยเริ่มเดินจากฝั่งนั้นมาและไปจบที่ฝั่ง Dumbo
ตึกสมัยก่อนผมว่าดูแล้วสวยมากเลย เสียดายว่าสมัยนี้ไปที่ไหนตึกก็เป็นกระจกรอบด้านเหมือนกันทุกประเทศ ผมว่าแบบนี้ดูแล้วแปลกตามีเอกลักษณ์

สะพาน Brooklyn สร้างเสร็จตั้งแต่ปีค.ศ. 1883 เป็นสะพานข้ามแม่น้ำฝั่งตะวันออกที่แรกของนิวยอร์ค ใช้เวลาสร้างทั้งสิ้น 13 ปี น่าจะนานอยู่เพราะว่าทั้งตอม่อสะพานใช้การก่ออิฐ ไม่ได้มีแท่งปูนหล่อสำเร็จเหมือนสมัยนี้ ตอนที่สร้างเสร็จที่นี่เค้านับว่าเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก ณ ตอนนั้นด้วยนะ

ไม่ได้มาเดินๆแล้วจบไป มีอ่านหาความรู้นิดหน่อย 555 บนนี้มองออกไปเห็นวิวเมืองทั้งฝั่ง Brooklyn และ Manhattan ได้เลย เสียดายเวลาน้อยไม่งั้นคงได้มาเก็บภาพนี้ตอนเย็นๆ

เห็นแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมโครงสร้างบ้านเมืองฝรั่งที่เค้าใช้อิฐเป็นวัสดุหลักอยู่มาได้นานมากแต่ว่าวัดวังบ้านเราที่ใช้อิฐสร้างเหมือนกันกับพังลงมาหมดแล้ว ถ้าใครสนใจลองดูค้นคว้าดูได้เกี่ยวกับเรื่อง Brick Arch คือผมก็ไม่ได้เรียนมาสายนี้แต่มันสงสัยจนต้องไปหาอ่านก็เลยเข้าใจ พอโครงสร้างเป็นแบบนี้ยิ่งน้ำหนักด้านบนมากก็ยิ่งกดให้โครงสร้างแน่นและแข็งแรงขึ้น ถ้าใครไปอยุธยามาก็จะเห็นว่าบ้านเราเค้าไม่ทำคานแบบเมืองฝรั่งแต่เอาไม้มาพาดเป็นคานเอาดื้อๆ พอไม้ผุหรือไหม้ไปก็พังลงมาง่ายๆเลย

นอกเรื่องๆ พอเดินลงมาจากสะพานแล้วแดดก็แรงครับ ถ่ายรูปยังไม่สวย เลยไปนั่งกินข้าวที่ร้าน Grimaldi's Pizzeria พิซซ่าอร่อยมาก ถ้าใครชอบพิซซ่าแนะนำ วันที่ไปมีคนเหมาปิดร้านแต่เค้ายังใจดีให้เราสั่งกลับบ้านได้ เราก็สั่งกลับบ้านแต่ไปนั่งกินในสวนใต้สะพาน Brooklyn อากาศดีด้วย
เดินเล่นกันนิดหน่อยเซอเวย์หามุมไว้เย็นนี้ เสร็จแล้วก็ไปขึ้นรถไฟเพื่อจะไปที่ Battery Park ซึ่งเป็นที่ขึ้นเรือไปดูเทพีเสรีภาพหรือ Statue of Liberty มาแล้วก็ไปดูซะจะได้ไม่ค้างคา ต้องไปซื้อตั๋วก่อนแล้วต่อคิวไปขึ้นเรือ คิวยาวมากๆต้องเผื่อเวลากันนิดนึง
[CR] นิวยอร์คซิตี้ สวรรค์ของคนรัก Cityscape + วอชิงตัน ดีซี มาทั้งทีขอไปตามหาพี่ทรัมป์
เดือนที่เดินทาง - พฤษภาคม 2018
สำหรับท่านใดที่ต้องการดูภาพชัดๆแบบไม่มีโลโก้มาบดบัง สามารถเปลี่ยนไปอ่านที่เว็บของผมเองได้เลยครับ https://www.nopeopletravelphoto.com/post/newyork_dc_2018
ช่วงนี้เดินทางไปไหนไม่ได้ ยังไงก็ต้องขอเอารูปเก่าๆมาเผยแพร่ไปก่อนนะครับ โพสนี้เป็นเรื่องการเดินทางไปอเมริกาของผมเมื่อสองปีก่อนที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวต่อหลังจากประชุมงานที่สาขาใหญ่จบเหมือนกันกับโพสก่อนหน้านี้ และครั้งนี้เป็นการเดินทางไปเที่ยวนิวยอร์ค!
นิวยอร์คเป็นอีกเมืองที่ถ่ายรูปสนุกมากด้วยความที่ตึกสูงระฟ้ามากมายเปิดไฟสว่างไสวตลอดคืนราวกับค่าไฟฟรีตลอดชีพ นอกจากนั้นสถานที่ต่างๆเดินผ่านแล้วก็อาจจะทำให้นึกออกว่าเคยเห็นในหนังกันบ่อยๆ งานนี้มีแม่ตามมาด้วยเหมือนเคย นานๆทีจะได้ไปเที่ยวไกลๆ ไม่พลาดแน่นอน
วันที่ 1 (Brynt Park, Times Square)
เสร็จงานแล้วไม่ต้องรอนาน เช้าวันรุ่งขึ้นก็ออกตั้งแต่เช้ามืดเพื่อขึ้นเครื่องจาก Omaha เพื่อไปลงที่ สนามบิน JFK หลังจากต่อเครื่องที่ Philadelphia พอถึงนิวยอร์คแล้วก็รอไฟล์ทที่แม่นั่งมาแป๊บเดียวแล้วเราก็นั่งรถไฟเข้าเมืองได้เลยครับ โรงแรมที่นอนคราวนี้คือ Hotel Pennsylvania โลเคชั่นถือว่าค่อนข้างดี ราคาถูกกว่าโรงแรมรอบข้าง แต่ว่าห้องแย่มากๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการจอง
กว่าจะเอาข้าวของไปเก็บแล้วจัดการอะไรเสร็จก็บ่ายๆแล้ว Brynt Park อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ไปเดินเล่นนิดนึงก่อนวันเที่ยวจริงพรุ่งนี้
Brynt Park เป็นสวนสาธารณะด้านหน้าหอสมุดนิวยอร์ค (New York Public Library) ที่ด้านในสวยมากๆๆๆ แต่ได้แค่ดูรูปเพราะว่าไปถึงก็เลยเวลาทำการซะแล้ว ดูรอบๆไปก่อน บรรยากาศดี อาคารบ้านเรือนดูแล้วคลาสสิก
ฝั่งตรงข้ามของสวนมีซุปเปอร์มาร์เก็ต Whole Foods อยู่เลยเดินแวะเข้าไปดูหน่อยเพราะเห็นว่าผักผลไม้ที่นี่สดและใหญ่โตมาก ที่เห็นเป็นเรื่องปกติเลยคือร้านค้าที่นี่ใช้พลาสติกเยอะแยะ ผักเล็กๆน้อยๆไม่ได้ทำเป็นกำๆเหมือนบ้านเราแต่ต้องใส่กล่องพลาสติกไว้ให้เปลืองเล่น
อ่ะๆ อย่าไปบ่นเค้าเยอะ ฟ้าเริ่มมืดแล้วเลยเดินต่อไปเรื่อยๆเพื่อจะไปจบที่ Times Square นั่นเอง
เดินมาถึงแล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้ตะลึงกว่าที่คิดเพราะไม่คิดว่าจะใหญ่โตและป้ายเยอะขนาดนี้ คนเดินกันเยอะมากทั้งนักท่องเที่ยวและคนใส่ชุดแปลกๆมาให้คนถ่ายรูป ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะพวกนี้เค้าเก็บเงินนะครับ ใครอยากได้รูปอย่าตกใจเวลาเค้าทวงเงิน
บริเวณรอบๆนี้ก็เป็นโรงละครมากมายสำหรับละครเวทีชื่อดัง ถ้าเป็นโชว์ที่ดังมากๆต้องจองล่วงหน้ามาก่อนนะครับไม่งั้นแห้ว ตอนผมไปสนใจอยากดู The Phantom of the Opera ไม่มีตั๋วไปอีกสองอาทิตย์แน่ะ
วันแรกไว้แค่นี้ก่อน ไปหาผับบาร์นั่งดื่มนิดหน่อยก่อนกลับโรงแรมนอน พื้นโรงแรมนี้เดินเท้าเปล่าไม่ได้เลยเท้าดำปี๋ คนบ้านนี้เมืองนี้เค้าใส่รองเท้าในบ้านกันสินะ
วันที่ 2 (Chelsea Market, The High Line, Central Park, Top of the Rock)
วันนี้แหละที่เราเตรียมขามาปวดเป็นอย่างดีเพราะที่เที่ยวค่อนข้างเยอะ อาหารเช้าโรงแรมนี้เค้ามีให้แค่ขนมปังก้อนนึง กล้วยหนึ่งผล(เรียกว่าผลถูกแล้วนะ) และกาแฟ ไม่เป็นไร วันนี้เราเริ่มวันด้วยการกินก่อนเลยที่ตลาด Chelsea ที่เป็นสถานที่ฮิปๆมีของแปลกๆขายและมีอาหารสดเยอะแยะ
ที่เล็งไว้วันนี้คือโซนอาหารทะเลนี่เอง ไม่ว่าจะเป็นปูยักษ์อลาสก้า หรือว่ากุ้งล็อบสเตอร์ ตัวใหญ่ๆเยอะแยะ ราคาแพงหน่อยแต่ไม่ผิดหวังแน่นอน อาหารทะเลสองอย่างนี้ผมพูดจริงๆว่ากินที่อื่นไม่เหมือนที่อเมริกา ไม่แช่ในน้ำเกลือเค็มๆ เหมือนแค่เอามาต้มให้สุกแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของความสด เนื้อกินเปล่าๆก็รู้สึกหวาน คิดแล้วหิว ขาปูใหญ่เอามาตีกันหัวแตกได้เลย
ทั้งของคาวและหวาน จัดเต็มกันแล้วก็พร้อมไปเที่ยวต่อที่ The High Line ที่อยู่ข้างๆกันเลย High Line คือรางรถไฟยกระดับเก่าดั้งเดิมของนิวยอร์คที่เลิกใช้ไปแล้วเค้าเลยเอามาทำเป็นสวนสาธารณะลอยฟ้า ไอเดียบรรเจิดมากๆ รางรถไฟก็ยังเก็บไว้ให้เดินสะดุดกันเล่นเป็น gimmick ระหว่างทางก็ได้เดินดูบ้านเมืองเค้าทั้งตึกเก่าและใหม่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ถ้าใครเดินไปจนสุดทางอีกฝั่งที่ Hudson Yards ก็จะได้เจอกับแลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ตอนผมไปยังสร้างไม่เสร็จชื่อว่า Vessel หน้าตาคล้ายๆรังผึ้ง
ระหว่างทางเดินมีทางขึ้นลงตลอดไม่ต้องกลัวว่าจะผันตัวกลับไม่ได้ เราเลยเลือกจะลงกันตรงไหนที่ใกล้สุดแล้วเรียกแท็กซี่ไปที่ Central Park เริ่มเมื่อยซะแล้ว
ด้านในสวนก็เดินๆพักๆไปเรื่อยครับ มาเที่ยวที่ Central Park ต้องทำตัวเหมือนคนแถวนี้เพราะไม่ได้มีอะไรให้ดูเยอะแยะแต่เป็นพื้นที่พักผ่อนทำกิจกรรมมากมาย เหมือนมาดูการใช้ชีวิตของคนที่นี่ ทั้งนอนอาบแดด ปีนหินเล่น ปั่นจักรยาน หรือจะพายเรือ
เดินเข้าไปต่อตรงทางอุโมงค์ต้นไม้หรือ The Mall (ไม่ใช่ห้างแถวบ้าน) ก็ยิ่งเห็นคนมาทำอะไรกันเยอะแยะ บางทีก็มี street performance มาแสดงหารายได้เช่นแบบนี้
เดินมาต่ออีกหน่อยก็จะเจอ Bethesda Terrace กับ Bethesda Fountain ที่เห็นในหนังบ่อยๆ ของจริงสวยดีครับมีรายละเอียดบนเพดานเยอะแยะ ส่วนน้ำพุนั้นก็ทั่วๆไปนะ ไว้นั่งพักเหนื่อยได้
สวนเค้าใหญ่มากจริงๆจะให้เดินหมดก็ไม่น่าจะจบในวันเดียว เอาแค่พอได้เห็นของจริงก่อนละกันครั้งนี้
นั่งพักกันหายเหนื่อยแล้วก็ค่อยๆเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินไปที่ Rockefeller Plaza จุดชมวิวเมืองที่นับว่าวิวสวยที่สุดในนิวยอร์ค จะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดตึกกัน ตรงนี้เท่าที่ค้นคว้ามา ไม่สามารถใช้ขาตั้งกล้องอันใหญ่ได้แต่ว่ามีขอบรั้วที่ใหญ่พอให้ตั้งขาตั้งกล้องอันเล็กๆเตี้ยๆได้ ถึงกับไปซื้อขาตั้งกล้องมาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ
ภาพก่อนเข้าตึก
สำหรับใครที่สนใจแนะนำว่าให้ไปเร็วหน่อยเพราะต้องไปต่อคิวซื้อตั๋วเล็กน้อยและต้องรอคิวขึ้นลิฟท์ด้วย จุดที่ถ่ายรูปสวยที่สุดมีพื้นที่ให้สำหรับแค่คนเดียวหรือในกรณีผมแบ่งให้คนอื่นอีก 2 คนเพราะว่าเห็นใจเค้าอุตส่าห์ซื้อตั๋วมา แบ่งๆกัน ระหว่างถ่ายรูปอยู่ก็มีฝรั่งที่คิดว่าเราฟังเค้าไม่ออกมาซุบซิบว่าตานี่เมื่อไหร่จะเสร็จจะได้ไปถ่ายรูปบ้าง พอดีผมก็รอแสงมันสวยอยู่เลยให้เค้าเข้าไปถ่ายก่อนแป๊บนึง แค่นี้ทุกคนก็สบายใจ
ภาพด้านล่างนี้ก็เป็นตั้งแต่พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าไปจนถึงช่วง twilight นิดเดียวเพื่อให้ได้ทั้งสีของท้องฟ้าและไฟบนตึกครับ ระยิบระยับ สวยมากเลย
พอหันกลับไปอีกด้านนึงก็จะมองไปเห็น Central Park ตึกสูงมาบังเยอะแยะ อนาคตคงจะไม่เหลือให้เห็นอีกแล้ว
จบลงด้วยขาที่ปวดร้าว ไปเที่ยวครั้งไหนก็เจ็บกลับมาทุกที 555
วันที่ 3 (Brooklyn Bridge, Statue of Liberty, Dumbo)
ถ้ามานิวยอร์คแล้วที่ห้ามพลาดเลยคือการมาเดินบนสะพาน Brooklyn คิดเอาไว้แล้วว่าถ้ามาตอนเย็นนี่คนน่าจะเดินกันแน่นเลยตัดสินใจมาช่วงเช้าแทน เริ่มมีคนบ้างแล้วแต่ก็ไม่เยอะมาก เพราะโรงแรมเราอยู่ฝั่ง Manhattan เราเลยเริ่มเดินจากฝั่งนั้นมาและไปจบที่ฝั่ง Dumbo
ตึกสมัยก่อนผมว่าดูแล้วสวยมากเลย เสียดายว่าสมัยนี้ไปที่ไหนตึกก็เป็นกระจกรอบด้านเหมือนกันทุกประเทศ ผมว่าแบบนี้ดูแล้วแปลกตามีเอกลักษณ์
สะพาน Brooklyn สร้างเสร็จตั้งแต่ปีค.ศ. 1883 เป็นสะพานข้ามแม่น้ำฝั่งตะวันออกที่แรกของนิวยอร์ค ใช้เวลาสร้างทั้งสิ้น 13 ปี น่าจะนานอยู่เพราะว่าทั้งตอม่อสะพานใช้การก่ออิฐ ไม่ได้มีแท่งปูนหล่อสำเร็จเหมือนสมัยนี้ ตอนที่สร้างเสร็จที่นี่เค้านับว่าเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก ณ ตอนนั้นด้วยนะ
ไม่ได้มาเดินๆแล้วจบไป มีอ่านหาความรู้นิดหน่อย 555 บนนี้มองออกไปเห็นวิวเมืองทั้งฝั่ง Brooklyn และ Manhattan ได้เลย เสียดายเวลาน้อยไม่งั้นคงได้มาเก็บภาพนี้ตอนเย็นๆ
เห็นแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมโครงสร้างบ้านเมืองฝรั่งที่เค้าใช้อิฐเป็นวัสดุหลักอยู่มาได้นานมากแต่ว่าวัดวังบ้านเราที่ใช้อิฐสร้างเหมือนกันกับพังลงมาหมดแล้ว ถ้าใครสนใจลองดูค้นคว้าดูได้เกี่ยวกับเรื่อง Brick Arch คือผมก็ไม่ได้เรียนมาสายนี้แต่มันสงสัยจนต้องไปหาอ่านก็เลยเข้าใจ พอโครงสร้างเป็นแบบนี้ยิ่งน้ำหนักด้านบนมากก็ยิ่งกดให้โครงสร้างแน่นและแข็งแรงขึ้น ถ้าใครไปอยุธยามาก็จะเห็นว่าบ้านเราเค้าไม่ทำคานแบบเมืองฝรั่งแต่เอาไม้มาพาดเป็นคานเอาดื้อๆ พอไม้ผุหรือไหม้ไปก็พังลงมาง่ายๆเลย
นอกเรื่องๆ พอเดินลงมาจากสะพานแล้วแดดก็แรงครับ ถ่ายรูปยังไม่สวย เลยไปนั่งกินข้าวที่ร้าน Grimaldi's Pizzeria พิซซ่าอร่อยมาก ถ้าใครชอบพิซซ่าแนะนำ วันที่ไปมีคนเหมาปิดร้านแต่เค้ายังใจดีให้เราสั่งกลับบ้านได้ เราก็สั่งกลับบ้านแต่ไปนั่งกินในสวนใต้สะพาน Brooklyn อากาศดีด้วย
เดินเล่นกันนิดหน่อยเซอเวย์หามุมไว้เย็นนี้ เสร็จแล้วก็ไปขึ้นรถไฟเพื่อจะไปที่ Battery Park ซึ่งเป็นที่ขึ้นเรือไปดูเทพีเสรีภาพหรือ Statue of Liberty มาแล้วก็ไปดูซะจะได้ไม่ค้างคา ต้องไปซื้อตั๋วก่อนแล้วต่อคิวไปขึ้นเรือ คิวยาวมากๆต้องเผื่อเวลากันนิดนึง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้