คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 28
ตอบแบบสั้น ๆ ดี และควรทำครับ ข้อดีเยอะมากครับ
---------------------
ตอบแบบยาว ๆ
การจะมีหลายสัญชาติ สิ่งที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรกคือ แต่ละสัญชาติที่มีสิทธิเข้าถือ มีกฎหมายห้ามถือหลายสัญชาติหรือไม่
ไทย : ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามกระทำพร้อมบทลงโทษไว้เป็นการเฉพาะ รวมถึงรัฐธรรมนูญหลายฉบับจนถึงฉบับปัจจุบันบัญญัติว่าการถอนสัญชาติบุคคลที่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดจะกระทำมิได้ เช่นนี้ จึงถือว่าถือหลายสัญชาติได้เพราะไม่มีกฎหมายห้าม
ออสเตรเลีย : เท่าที่หาข้อมูลดู ปัจจุบันไม่ห้าม เว้นแต่กรณีจะเข้าเป็นสมาชิกรัฐสภา ไว้ลูก จขกท.เกิดอยากจะลง สส. ที่ออสค่อยสละสัญชาติอื่นก็ได้ครับ
สหราชอาณาจักร : ไม่ห้าม มีระบุในเว็บแค่ว่าจะไม่ได้รับความคุ้มกันทางกงสุล (Consular protection) จาก UK เมื่ออยู่ในต่างประเทศที่มีสัญชาติ
สรุปว่าข้อแรกผ่าน ถ้าเป็นกรณีอื่น เช่น ญี่ปุ่น หรือสิงคโปร์ หรือมาเลเซีย ที่บังคับถือสัญชาติเดียว เช่นนี้ต้องมาดูรายละเอียดกันต่อไป ซึ่ง...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สิ่งที่ต้องพิจารณาในลำดับถัดมาคือ ภาระหน้าที่
- ภาระทางทหาร
ปัจจุบัน UK และออสเตรเลีย ไม่บังคับเกณฑ์ทหารในยามไม่มีสงครามแล้ว ในขณะที่ไทยแม้จะยังมีการเกณฑ์ทหารแต่กระแสเรียกร้องให้แก้กฎหมายก็มากขึ้นเรื่อย ๆ
- ภาระทางภาษี
ต้องดูว่าแต่ละประเทศเก็บภาษีรายได้อย่างไร และมีความสามารถในการตามไปเก็บภาษีมากน้อยแค่ไหน หากเก็บภาษีรายได้จากนอกประเทศที่พลเมืองของตนหามาได้ด้วย เช่น อเมริกา ก็เป็นอีกข้อที่ต้องพิจารณา (อันนี้เป็นเหตุผลที่การเปิดบัญชีธนาคารแม้แต่ในไทย ก็มีแบบสอบถามให้ตอบว่าเป็นพลเมืองอเมริกันหรือไม่)
- การเลือกตั้งภาคบังคับ
บางประเทศมีโทษปรับในกรณีไม่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เท่าที่ดูออสเตรเลียก็เป็นหนึ่งในนั้น มี Comment ก่อนหน้าเขียนไว้แล้ว อยากให้ปรึกษาผู้รู้ หรือสามีก็ได้ ว่าโทษนี้บังคับใช้จริงจังแค่ไหน ทั้งในระดับประเทศและในระดับรัฐ เพราะไม่รู้ว่าอัตราค่าปรับในแต่ละรัฐเท่ากันหรือไม่ อย่างไร
- รายละเอียดอื่น ๆ ของการเข้าถือสัญชาติ
เช่น ออสเตรเลียมีกำหนดว่า บุคคลที่ได้สัญชาติโดยสืบสายเลือดนอกประเทศ (Citizenship by descent) ต้องเคยอยู่ออสเตรเลียทั้งชีวิตรวมกันเกิน 2 ปี จึงจะส่งต่อสัญชาติให้บุตรโดย by descent นอกประเทศต่อไปอีกได้
หากพิจารณาถึงภาระหน้าที่ และข้อจำกัดทั้งหมดแล้ว "รับได้" ผมก็สนับสนุนให้ขอสัญชาติที่ 3 ให้ลูกครับ เพราะการมีหลายสัญชาติ มีประโยชน์หลายข้อ ดังนี้
1) บุคคลที่มีสัญชาติ มีสิทธิในการเดินทางกลับและอยู่อาศัยประเทศที่มีสัญชาติอย่างไม่จำกัดระยะเวลา ในขณะที่คนต่างด้าว ต้องอยู่ภายในระยะเวลาที่กำหนด แม้ถือวีซ่าระยะยาวก็ต้องไปต่อวีซ่า และการต่อวีซ่ามีค่าใช้จ่าย
2) บุคคลที่มีสัญชาติ มีอิสระที่มากกว่าคนต่างชาติในการประกอบอาชีพภายในพื้นที่ของประเทศที่มีสัญชาติ คนต่างชาติ จะต้องขอวีซ่าแบบที่อนุญาตให้ทำงาน และอาจต้องขอใบอนุญาตทำงาน (Work permit) ด้วย จึงจะสามารถทำงานได้
3) ในกรณีที่ประเทศที่มีสัญชาติมีระบบประกันสุขภาพขั้นพื้นฐาน, สวัสดิการด้านการศึกษา ลูกของ จขกท. ก็จะได้รับสิทธิตรงนี้
4) บางประเทศ รวมถึงไทย มีข้อกำหนดเรื่องสิทธิในการถือครองที่ดิน ซึ่งจำกัดสิทธิคนต่างด้าว
5) Passport การมี 1 Passport ที่ได้ยกเว้นวีซ่าหลายประเทศเป็นเรื่องดี แต่หากคิดเพียงแค่นั้นแล้วจบ ก็มีเล่มนึงแล้วจะเอาอะไรอีกแบบหลาย ๆ Comment แรก ๆ ถือเป็นการมองโลกที่แคบ ขาดซึ่งทั้งปัญญาและวิสัยทัศน์เกินไป Passport แต่ละเล่ม มีรายละเอียดการยกเว้นวีซ่าที่แตกต่างกัน เช่น
- รัสเซีย กับ มองโกเลีย ใช้ Passport ไทยเข้าไม่ต้องทำวีซ่า 30 วัน UK, AUS ต้องทำวีซ่า
- ตุรกี ใช้ Passport UK กับไทย เข้าไม่ต้องทำวีซ่า 90 วัน และ 30 วันตามลำดับ ถ้าใช้ Passport ออสเตรเลีย ต้องทำ eVisa
- เวียดนาม ใช้ Passport ไทย กับ UK เข้า ไม่ต้องทำวีซ่าอยู่ได้ 30 วัน และ 15 วันตามลำดับ ถ้าใช้ Passport ออสเตรเลีย ต้องทำ eVisa
- นิวซีแลนด์ ถ้าใช้ Passport ออสเตรเลียเข้า จะได้ Resident status on arrival ตามสนธิสัญญา Trans-Tasman agreement สามารถท่องเที่ยว เรียน หรือทำงานได้อย่างไม่จำกัดระยะเวลา ถ้าใช้ Passport UK เข้า ต้องทำ ETA (ง่ายและถูกกว่าวีซ่า) อยู่ได้ 6 เดือน ถ้าใช้ Passport ไทยเข้า ต้องทำวีซ่า
- ฮ่องกง Passport UK AUS THA ไม่ต้องทำวีซ่า 180/90/30 วันตามลำดับ
- อิหร่าน Passport ออสเตรเลียกับไทย ทำ Visa on arrival ส่วน Passport UK ต้องทำวีซ่า แต่ วีซ่า และตราประทับของอิหร่านมีผลต่อการขอวีซ่า หรือ ETA เข้าสหรัฐอเมริกา
5) ความคุ้มกันทางกงสุล เมื่อเดินทางไปประเทศที่ 4 ใด ๆ ก็ตาม ข้อหนึ่งที่น่าพิจารณาในการเลือกใช้ Passport เข้าประเทศที่คนไม่ค่อยพูดถึงคือ การมีสถานฑูตของประเทศที่มีสัญชาติตั้งอยู่ หรือถ้าจะให้ดีไปอีก คือการมีสถานกงสุล ตั้งอยู่ในเมืองที่กำลังเดินทางไป เพราะ หากมีเหตุฉุกเฉิน หรือทำ Passport หาย การไปติดต่อขอทำ Passport ชั่วคราวเพื่อเดินทางกลับจะทำได้ง่ายกว่า
เช่น ฮาวาย ทั้ง Passport ออสเตรเลีย และ UK ทำ ETA เข้าไปได้ แต่ออสเตรเลียมีกงสุลที่ Honolulu ในขณะที่กงสุล UK ต้องไปที่ LA
7) เป็นสิ่งรับประกันในภาวะวิกฤต เรื่องนี้แม้เกิดขึ้นได้ยาก แต่หากประเทศที่อาศัยอยู่เกิดวิกฤตอะไรสักอย่างขึ้น เช่นทาง การเมือง เศรษฐกิจ ก่อการร้าย หรือโรคระบาดรุนแรง การไปอีกประเทศหนึ่งที่ตนมีสัญชาติ สามารถไปได้ง่ายกว่าการไปแบบคนต่างด้าวลี้ภัยการเมือง หรือหนีภัยสงครามเข้าไป
8) มีประโยชน์ในการป้องกันการเบลอของตัวเอง ตรงนี้ อยากแนะนำว่า Passport ทั้ง 3 เล่ม พยายามสมัครทำโดยคำนวณระยะเวลา อย่าให้หมดอายุใกล้กัน เวลาต้องเดินทาง เกิดลืมต่อ Passport แล้วจะไปประเทศที่บังคับให้ Passport ต้องเหลืออายุมากกว่า 6 เดือน ถ้า Passport อีกเล่ม เกิน 6 เดือน และไม่ต้องทำวีซ่าเหมือนกัน ก็สามารถเดินทางต่อไปได้โดยไม่ต้องทิ้งตั๋ว วิ่งไปทำเล่มใหม่ จองตั๋วใหม่ให้เสียทั้งเงินและเวลา
ด้วยข้อดีทั้งหมดจึงขอสรุปว่า ถ้ารับข้อจำกัดได้ การมีทั้ง 3 สัญชาติ เป็นสิ่งที่ควรทำ และทำให้ลูกของ จขกท. มีโอกาสในชีวิตมากกว่าการมีแค่ 2 สัญชาติ
การทำเรื่องจดทะเบียนเพื่อให้เด็กมีสัญชาติออสเตรเลียไว้ก่อน โดยยังไม่ทำ Passport ก็สามารถทำได้ครับ เนื่องจาก Passport Australia เล่มนึงก็แพงอยู่ ไหนจะค่าทำนอกประเทศอีก เอาไว้จะเดินทางจริง ๆ ค่อยทำก็ได้ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยไปรอทำทุกอย่างตั้งแต่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติ ตอนจะเดินทาง อันนั้นจะใช้เวลานานกว่าการทำ Passport สำเร็จซึ่งอาจไม่ทันการครับ
---------------------
ตอบแบบยาว ๆ
การจะมีหลายสัญชาติ สิ่งที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรกคือ แต่ละสัญชาติที่มีสิทธิเข้าถือ มีกฎหมายห้ามถือหลายสัญชาติหรือไม่
ไทย : ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามกระทำพร้อมบทลงโทษไว้เป็นการเฉพาะ รวมถึงรัฐธรรมนูญหลายฉบับจนถึงฉบับปัจจุบันบัญญัติว่าการถอนสัญชาติบุคคลที่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดจะกระทำมิได้ เช่นนี้ จึงถือว่าถือหลายสัญชาติได้เพราะไม่มีกฎหมายห้าม
ออสเตรเลีย : เท่าที่หาข้อมูลดู ปัจจุบันไม่ห้าม เว้นแต่กรณีจะเข้าเป็นสมาชิกรัฐสภา ไว้ลูก จขกท.เกิดอยากจะลง สส. ที่ออสค่อยสละสัญชาติอื่นก็ได้ครับ
สหราชอาณาจักร : ไม่ห้าม มีระบุในเว็บแค่ว่าจะไม่ได้รับความคุ้มกันทางกงสุล (Consular protection) จาก UK เมื่ออยู่ในต่างประเทศที่มีสัญชาติ
สรุปว่าข้อแรกผ่าน ถ้าเป็นกรณีอื่น เช่น ญี่ปุ่น หรือสิงคโปร์ หรือมาเลเซีย ที่บังคับถือสัญชาติเดียว เช่นนี้ต้องมาดูรายละเอียดกันต่อไป ซึ่ง...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สิ่งที่ต้องพิจารณาในลำดับถัดมาคือ ภาระหน้าที่
- ภาระทางทหาร
ปัจจุบัน UK และออสเตรเลีย ไม่บังคับเกณฑ์ทหารในยามไม่มีสงครามแล้ว ในขณะที่ไทยแม้จะยังมีการเกณฑ์ทหารแต่กระแสเรียกร้องให้แก้กฎหมายก็มากขึ้นเรื่อย ๆ
- ภาระทางภาษี
ต้องดูว่าแต่ละประเทศเก็บภาษีรายได้อย่างไร และมีความสามารถในการตามไปเก็บภาษีมากน้อยแค่ไหน หากเก็บภาษีรายได้จากนอกประเทศที่พลเมืองของตนหามาได้ด้วย เช่น อเมริกา ก็เป็นอีกข้อที่ต้องพิจารณา (อันนี้เป็นเหตุผลที่การเปิดบัญชีธนาคารแม้แต่ในไทย ก็มีแบบสอบถามให้ตอบว่าเป็นพลเมืองอเมริกันหรือไม่)
- การเลือกตั้งภาคบังคับ
บางประเทศมีโทษปรับในกรณีไม่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เท่าที่ดูออสเตรเลียก็เป็นหนึ่งในนั้น มี Comment ก่อนหน้าเขียนไว้แล้ว อยากให้ปรึกษาผู้รู้ หรือสามีก็ได้ ว่าโทษนี้บังคับใช้จริงจังแค่ไหน ทั้งในระดับประเทศและในระดับรัฐ เพราะไม่รู้ว่าอัตราค่าปรับในแต่ละรัฐเท่ากันหรือไม่ อย่างไร
- รายละเอียดอื่น ๆ ของการเข้าถือสัญชาติ
เช่น ออสเตรเลียมีกำหนดว่า บุคคลที่ได้สัญชาติโดยสืบสายเลือดนอกประเทศ (Citizenship by descent) ต้องเคยอยู่ออสเตรเลียทั้งชีวิตรวมกันเกิน 2 ปี จึงจะส่งต่อสัญชาติให้บุตรโดย by descent นอกประเทศต่อไปอีกได้
หากพิจารณาถึงภาระหน้าที่ และข้อจำกัดทั้งหมดแล้ว "รับได้" ผมก็สนับสนุนให้ขอสัญชาติที่ 3 ให้ลูกครับ เพราะการมีหลายสัญชาติ มีประโยชน์หลายข้อ ดังนี้
1) บุคคลที่มีสัญชาติ มีสิทธิในการเดินทางกลับและอยู่อาศัยประเทศที่มีสัญชาติอย่างไม่จำกัดระยะเวลา ในขณะที่คนต่างด้าว ต้องอยู่ภายในระยะเวลาที่กำหนด แม้ถือวีซ่าระยะยาวก็ต้องไปต่อวีซ่า และการต่อวีซ่ามีค่าใช้จ่าย
2) บุคคลที่มีสัญชาติ มีอิสระที่มากกว่าคนต่างชาติในการประกอบอาชีพภายในพื้นที่ของประเทศที่มีสัญชาติ คนต่างชาติ จะต้องขอวีซ่าแบบที่อนุญาตให้ทำงาน และอาจต้องขอใบอนุญาตทำงาน (Work permit) ด้วย จึงจะสามารถทำงานได้
3) ในกรณีที่ประเทศที่มีสัญชาติมีระบบประกันสุขภาพขั้นพื้นฐาน, สวัสดิการด้านการศึกษา ลูกของ จขกท. ก็จะได้รับสิทธิตรงนี้
4) บางประเทศ รวมถึงไทย มีข้อกำหนดเรื่องสิทธิในการถือครองที่ดิน ซึ่งจำกัดสิทธิคนต่างด้าว
5) Passport การมี 1 Passport ที่ได้ยกเว้นวีซ่าหลายประเทศเป็นเรื่องดี แต่หากคิดเพียงแค่นั้นแล้วจบ ก็มีเล่มนึงแล้วจะเอาอะไรอีกแบบหลาย ๆ Comment แรก ๆ ถือเป็นการมองโลกที่แคบ ขาดซึ่งทั้งปัญญาและวิสัยทัศน์เกินไป Passport แต่ละเล่ม มีรายละเอียดการยกเว้นวีซ่าที่แตกต่างกัน เช่น
- รัสเซีย กับ มองโกเลีย ใช้ Passport ไทยเข้าไม่ต้องทำวีซ่า 30 วัน UK, AUS ต้องทำวีซ่า
- ตุรกี ใช้ Passport UK กับไทย เข้าไม่ต้องทำวีซ่า 90 วัน และ 30 วันตามลำดับ ถ้าใช้ Passport ออสเตรเลีย ต้องทำ eVisa
- เวียดนาม ใช้ Passport ไทย กับ UK เข้า ไม่ต้องทำวีซ่าอยู่ได้ 30 วัน และ 15 วันตามลำดับ ถ้าใช้ Passport ออสเตรเลีย ต้องทำ eVisa
- นิวซีแลนด์ ถ้าใช้ Passport ออสเตรเลียเข้า จะได้ Resident status on arrival ตามสนธิสัญญา Trans-Tasman agreement สามารถท่องเที่ยว เรียน หรือทำงานได้อย่างไม่จำกัดระยะเวลา ถ้าใช้ Passport UK เข้า ต้องทำ ETA (ง่ายและถูกกว่าวีซ่า) อยู่ได้ 6 เดือน ถ้าใช้ Passport ไทยเข้า ต้องทำวีซ่า
- ฮ่องกง Passport UK AUS THA ไม่ต้องทำวีซ่า 180/90/30 วันตามลำดับ
- อิหร่าน Passport ออสเตรเลียกับไทย ทำ Visa on arrival ส่วน Passport UK ต้องทำวีซ่า แต่ วีซ่า และตราประทับของอิหร่านมีผลต่อการขอวีซ่า หรือ ETA เข้าสหรัฐอเมริกา
5) ความคุ้มกันทางกงสุล เมื่อเดินทางไปประเทศที่ 4 ใด ๆ ก็ตาม ข้อหนึ่งที่น่าพิจารณาในการเลือกใช้ Passport เข้าประเทศที่คนไม่ค่อยพูดถึงคือ การมีสถานฑูตของประเทศที่มีสัญชาติตั้งอยู่ หรือถ้าจะให้ดีไปอีก คือการมีสถานกงสุล ตั้งอยู่ในเมืองที่กำลังเดินทางไป เพราะ หากมีเหตุฉุกเฉิน หรือทำ Passport หาย การไปติดต่อขอทำ Passport ชั่วคราวเพื่อเดินทางกลับจะทำได้ง่ายกว่า
เช่น ฮาวาย ทั้ง Passport ออสเตรเลีย และ UK ทำ ETA เข้าไปได้ แต่ออสเตรเลียมีกงสุลที่ Honolulu ในขณะที่กงสุล UK ต้องไปที่ LA
7) เป็นสิ่งรับประกันในภาวะวิกฤต เรื่องนี้แม้เกิดขึ้นได้ยาก แต่หากประเทศที่อาศัยอยู่เกิดวิกฤตอะไรสักอย่างขึ้น เช่นทาง การเมือง เศรษฐกิจ ก่อการร้าย หรือโรคระบาดรุนแรง การไปอีกประเทศหนึ่งที่ตนมีสัญชาติ สามารถไปได้ง่ายกว่าการไปแบบคนต่างด้าวลี้ภัยการเมือง หรือหนีภัยสงครามเข้าไป
8) มีประโยชน์ในการป้องกันการเบลอของตัวเอง ตรงนี้ อยากแนะนำว่า Passport ทั้ง 3 เล่ม พยายามสมัครทำโดยคำนวณระยะเวลา อย่าให้หมดอายุใกล้กัน เวลาต้องเดินทาง เกิดลืมต่อ Passport แล้วจะไปประเทศที่บังคับให้ Passport ต้องเหลืออายุมากกว่า 6 เดือน ถ้า Passport อีกเล่ม เกิน 6 เดือน และไม่ต้องทำวีซ่าเหมือนกัน ก็สามารถเดินทางต่อไปได้โดยไม่ต้องทิ้งตั๋ว วิ่งไปทำเล่มใหม่ จองตั๋วใหม่ให้เสียทั้งเงินและเวลา
ด้วยข้อดีทั้งหมดจึงขอสรุปว่า ถ้ารับข้อจำกัดได้ การมีทั้ง 3 สัญชาติ เป็นสิ่งที่ควรทำ และทำให้ลูกของ จขกท. มีโอกาสในชีวิตมากกว่าการมีแค่ 2 สัญชาติ
การทำเรื่องจดทะเบียนเพื่อให้เด็กมีสัญชาติออสเตรเลียไว้ก่อน โดยยังไม่ทำ Passport ก็สามารถทำได้ครับ เนื่องจาก Passport Australia เล่มนึงก็แพงอยู่ ไหนจะค่าทำนอกประเทศอีก เอาไว้จะเดินทางจริง ๆ ค่อยทำก็ได้ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยไปรอทำทุกอย่างตั้งแต่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติ ตอนจะเดินทาง อันนั้นจะใช้เวลานานกว่าการทำ Passport สำเร็จซึ่งอาจไม่ทันการครับ
แสดงความคิดเห็น
ดีไหมกับการได้ถือ 3 สัญชาติ?
ตอนนี้ลูกอายุขวบกว่าๆ ถือ 2 สัญชาติ 2 พาสปอร์ต (ไทยกับอังกฤษ)
แฟนบอกว่าจะขอสัญชาติออสเตรเลียให้ลูกด้วย แต่ไม่ทำพาสปอร์ตออสเตรเลีย
เพราะมีพาสปอร์ตอังกฤษแล้ว
การขอสัญชาติใช้เวลาและใช้เงินมากในระดับนึง ดังนั้นเรา
อยากรู้ว่าการถือหลายสัญชาติมีประโยชน์ในแง่ไหนบ้าง
นอกจากการเข้าประเทศต่างๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่า?
เพื่อจะได้ตัดสินใจว่าจะขอสัญชาติที่ 3 ให้ลูกดีไม๊....