นักลงทุนบางท่านอาจจะเคยได้ยินการให้บริการไอทีแบบ SaaS แต่ไม่เคยรู้เลยว่ามันคือบริการอะไร
ทำไมถึงเป็นที่นิยมมากในหมู่นักลงทุน หุ้นหลายๆตัวสามารถสร้างผลตอบแทนได้หลายสิบเท่าตัวในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
การให้บริการคลาวด์เบื้องต้นเวอร์ชั่นนักลงทุนแบ่งเป็น 2 แบบ 1) Software as a Services (SaaS) เรียกว่าแอปพริเคชันสำเร็จรูป ผู้ให้บริการอย่างไมโครซอฟท์ดูแลให้ทุกอย่าง ลูกค้าใช้งานอย่างเดียว มีปัญหาติดขัดอะไรก็แจ้งผู้ให้บริการ 2) แบบที่ลูกค้าสามารถออกแบบแอปพริเคชันเองได้ เช่น การทำเวปไซด์ ไมโครซอฟท์ทำหน้าที่ดูแลส่วนที่เหลือเช่น ฮาร์ดแวร์ และ ระบบปฎิบัติการวินโดวส์ให้
วันนี้ขอให้ข้อมูลในคลาวด์แบบ SaaS
ปัจจุบันส่วนมากบริการนี้เป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ทางด้านธุรกิจโดยตรง เช่น
Microsoft 365 ให้บริการระบบอีเมล การแชร์ข้อมูล ระบบป้องกันข้อมูลไม่ให้รั่วไหลไปภายนอก
Salesforce.com ให้บริการระบบการบริหารจัดการลูกค้า (CRM) และระบบการจัดการการตลาด
มีหุ้นอยู่สองตัวจากหลายๆตัวที่โดดเด่นในช่วงที่ต้องทำงานที่บ้านกัน ได้แก่
หุ้นตัวแรกคือ ServiceNow (NOW) ให้บริการระบบจัดการ Workflow ในองค์กร
นึกภาพองค์กรสมัยก่อนเวลามีปัญหาเกี่ยวกับระบบไอทีของบริษัท พนักงานก็ต้องส่งเมลมาให้ฝ่ายไอที บางครั้งพนักงานไอทีก็ลืมตามงาน ทำให้การแก้ไขล่าช้า ไม่มีระบบมาติดตามสถานะของการแก้ไขปัญหา
หลายๆองค์กรต้องโดนลูกค้าบ่นเพราะการแก้ไขปัญหาล่าช้า ไร้คุณภาพ
ระบบของ ServiceNow สามารถช่วยบริหารจัดการให้พนักงานหรือลูกค้าสามารถเปิดเคสเข้ามาเพื่อแก้ปัญหา สามารถติดตามสถานะได้ตลอดเวลา พร้อมยังเชื่อมต่อไปยังระบบอนุมัติ เพื่อเบิกของในการซ่อม
นอกจากนี้โซลูชั่นยังสามารถช่วยงานทางฝ่ายบุคคลเกี่ยวกับขบวนการเริ่มต้นของพนักงานใหม่ (Onboarding) และช่วยในการจัดการไลเซ้นท์ของระบบไอทีไม่ให้ผิดกฎหมาย (ใช้เกินกว่าที่ซื้อ) อีกด้วย
รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ปี 2017 รายได้ $1,933 ล้าน เติบโตขึ้น 38% จากปีก่อน แต่ขาดทุน $149 ล้าน
ปี 2018 รายได้ $2,609 ล้าน เติบโตขึ้น 35% จากปีก่อน ขาดทุน $27 ล้าน
ปี 2019 รายได้ $3,460 ล้าน เติบโตขึ้น 32% จากปีก่อน พลิกกลับมามีกำไร $627 ล้าน (ได้ผลประโยชน์ทางด้านภาษีบวกเข้ามาถึง $560 ล้าน)
มาดูที่ราคาหุ้นในช่วงตั้งแต่ปี 2017 ปรับตัวขึ้นมาถึง 135% แต่มองย้อนหลังไป 8 ปีช่วงปี 2012 ที่บริษัท IPO เข้าตลาดหุ้น Nasdaq (ราคา IPO $18) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาถึง 2,000%
สาเหตุที่นักลงทุนให้คุณค่ามากกับหุ้นในธุรกิจ SaaS 3 ข้อคือ
1.โมเดลธุรกิจมีรายได้ต่อเนื่องที่เรียกว่า Recurring Revenue สมัยก่อนขายไลเซ้นท์ครั้งเดียว ใช้กันเป็นสิบปี โมเดลใหม่นี้องค์กรลูกค้าต้องจ่ายต่อหัวทุกปีถึงใช้บริการได้ จึงทำให้ในแง่ของการคาดการณ์รายได้และการเติบโตแม่นยำกว่าธุรกิจพวกสินค้าโภคภัณฑ์ บริษัทมีอัตราการต่อสัญญาสูงถึง 97-99% ในช่วง 5 ไตรมาสที่ผ่านมา
2.โมเดลธุรกิจเอื้อให้บริษัทมีต้นทุนสินค้าและบริการ (Cost of goods sold) ที่ลดลง ยิ่งมีลูกค้ามาใช้งานมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรองรับบริการ เช่น ค่าพนักงานไอที ค่าใช้จ่ายของศูนย์ข้อมูล (Datacenter) ก็จะมีอัตราการเพิ่มที่ลดลงไป สวนทางกับรายได้ที่เติบโตขึ้น
ในกรณีของ ServiceNow ต้นทุนนี้มีอัตราการเพิ่มที่ลดลงในไตรมาสแรกของปี 2020 โดยเพิ่มขึ้นมา 19.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนๆที่เพิ่มระดับ 24-27% ต่อปี เทรนด์เป็นแนวโน้มที่ลดลง
นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายทางด้านวิจัยและการขายและการตลาดก็มีแนวโน้มที่จะลดลงไปด้วย เนื่องจากทำการวิจัยครั้งเดียวก็ใช้ได้กับลูกค้าทุกราย ต้นทุนต่อลูกค้ายิ่งลดลงไปเมื่อมีลูกค้ามากขึ้น พนักงานขายก็ไม่ต้องเพิ่มขึ้นเยอะเพราะบริษัทสามารถให้บริษัทคู่ค้าช่วยขายแล้วให้พวก Rebate แทนเมื่อขายสินค้าได้
3.สินค้าและบริการจะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเมื่อมีคนมาใช้งานมากขึ้น ได้ประโยชน์จาก Network Effect จากใช้งาน Workflow ของบริษัท A อาจจะต้องมีการเชื่อมต่อไปยัง B และ C ก็เลยทำให้ทั้ง B และ C ต้องใช้บริการไปด้วย
ผมมองว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนหุ้นธุรกิจแบบ SaaS ต้องเข้าใจโซลูชั่นและมองออกก่อนคนอื่น ว่าบริการนี้จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน คู่แข่งจะเข้ามาทำและแย่งลูกค้าไปได้หรือไม่
คนที่ลงทุนในธุรกิจแบบนี้ตั้งแต่เริ่มต้นจะได้กำไรอย่างมหาศาลถ้าบริษัทประสบความสำเร็จไปทั่งโลก
แต่คนที่เข้ามาลงทุนตอนที่มีลูกค้าจำนวนมากแล้ว หุ้นตอบรับกับอนาคตของบริษัทไปแล้ว จะทำให้นักลงทุนมีความเสี่ยงในการลงทุนมาก
เพราะอย่าลืมถ้าบริษัทใหญ่เห็นว่าธุรกิจดีจริง ก็อาจจะลงมาทำเองได้เหมือนกัน
ทำไมนักลงทุนให้คุณค่ามากกับธุรกิจ Software as a services (SaaS) - By Billionaire VI
ทำไมถึงเป็นที่นิยมมากในหมู่นักลงทุน หุ้นหลายๆตัวสามารถสร้างผลตอบแทนได้หลายสิบเท่าตัวในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
การให้บริการคลาวด์เบื้องต้นเวอร์ชั่นนักลงทุนแบ่งเป็น 2 แบบ 1) Software as a Services (SaaS) เรียกว่าแอปพริเคชันสำเร็จรูป ผู้ให้บริการอย่างไมโครซอฟท์ดูแลให้ทุกอย่าง ลูกค้าใช้งานอย่างเดียว มีปัญหาติดขัดอะไรก็แจ้งผู้ให้บริการ 2) แบบที่ลูกค้าสามารถออกแบบแอปพริเคชันเองได้ เช่น การทำเวปไซด์ ไมโครซอฟท์ทำหน้าที่ดูแลส่วนที่เหลือเช่น ฮาร์ดแวร์ และ ระบบปฎิบัติการวินโดวส์ให้
วันนี้ขอให้ข้อมูลในคลาวด์แบบ SaaS
ปัจจุบันส่วนมากบริการนี้เป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ทางด้านธุรกิจโดยตรง เช่น
Microsoft 365 ให้บริการระบบอีเมล การแชร์ข้อมูล ระบบป้องกันข้อมูลไม่ให้รั่วไหลไปภายนอก
Salesforce.com ให้บริการระบบการบริหารจัดการลูกค้า (CRM) และระบบการจัดการการตลาด
มีหุ้นอยู่สองตัวจากหลายๆตัวที่โดดเด่นในช่วงที่ต้องทำงานที่บ้านกัน ได้แก่
หุ้นตัวแรกคือ ServiceNow (NOW) ให้บริการระบบจัดการ Workflow ในองค์กร
นึกภาพองค์กรสมัยก่อนเวลามีปัญหาเกี่ยวกับระบบไอทีของบริษัท พนักงานก็ต้องส่งเมลมาให้ฝ่ายไอที บางครั้งพนักงานไอทีก็ลืมตามงาน ทำให้การแก้ไขล่าช้า ไม่มีระบบมาติดตามสถานะของการแก้ไขปัญหา
หลายๆองค์กรต้องโดนลูกค้าบ่นเพราะการแก้ไขปัญหาล่าช้า ไร้คุณภาพ
ระบบของ ServiceNow สามารถช่วยบริหารจัดการให้พนักงานหรือลูกค้าสามารถเปิดเคสเข้ามาเพื่อแก้ปัญหา สามารถติดตามสถานะได้ตลอดเวลา พร้อมยังเชื่อมต่อไปยังระบบอนุมัติ เพื่อเบิกของในการซ่อม
นอกจากนี้โซลูชั่นยังสามารถช่วยงานทางฝ่ายบุคคลเกี่ยวกับขบวนการเริ่มต้นของพนักงานใหม่ (Onboarding) และช่วยในการจัดการไลเซ้นท์ของระบบไอทีไม่ให้ผิดกฎหมาย (ใช้เกินกว่าที่ซื้อ) อีกด้วย
รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ปี 2017 รายได้ $1,933 ล้าน เติบโตขึ้น 38% จากปีก่อน แต่ขาดทุน $149 ล้าน
ปี 2018 รายได้ $2,609 ล้าน เติบโตขึ้น 35% จากปีก่อน ขาดทุน $27 ล้าน
ปี 2019 รายได้ $3,460 ล้าน เติบโตขึ้น 32% จากปีก่อน พลิกกลับมามีกำไร $627 ล้าน (ได้ผลประโยชน์ทางด้านภาษีบวกเข้ามาถึง $560 ล้าน)
มาดูที่ราคาหุ้นในช่วงตั้งแต่ปี 2017 ปรับตัวขึ้นมาถึง 135% แต่มองย้อนหลังไป 8 ปีช่วงปี 2012 ที่บริษัท IPO เข้าตลาดหุ้น Nasdaq (ราคา IPO $18) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาถึง 2,000%
สาเหตุที่นักลงทุนให้คุณค่ามากกับหุ้นในธุรกิจ SaaS 3 ข้อคือ
1.โมเดลธุรกิจมีรายได้ต่อเนื่องที่เรียกว่า Recurring Revenue สมัยก่อนขายไลเซ้นท์ครั้งเดียว ใช้กันเป็นสิบปี โมเดลใหม่นี้องค์กรลูกค้าต้องจ่ายต่อหัวทุกปีถึงใช้บริการได้ จึงทำให้ในแง่ของการคาดการณ์รายได้และการเติบโตแม่นยำกว่าธุรกิจพวกสินค้าโภคภัณฑ์ บริษัทมีอัตราการต่อสัญญาสูงถึง 97-99% ในช่วง 5 ไตรมาสที่ผ่านมา
2.โมเดลธุรกิจเอื้อให้บริษัทมีต้นทุนสินค้าและบริการ (Cost of goods sold) ที่ลดลง ยิ่งมีลูกค้ามาใช้งานมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรองรับบริการ เช่น ค่าพนักงานไอที ค่าใช้จ่ายของศูนย์ข้อมูล (Datacenter) ก็จะมีอัตราการเพิ่มที่ลดลงไป สวนทางกับรายได้ที่เติบโตขึ้น
ในกรณีของ ServiceNow ต้นทุนนี้มีอัตราการเพิ่มที่ลดลงในไตรมาสแรกของปี 2020 โดยเพิ่มขึ้นมา 19.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนๆที่เพิ่มระดับ 24-27% ต่อปี เทรนด์เป็นแนวโน้มที่ลดลง
นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายทางด้านวิจัยและการขายและการตลาดก็มีแนวโน้มที่จะลดลงไปด้วย เนื่องจากทำการวิจัยครั้งเดียวก็ใช้ได้กับลูกค้าทุกราย ต้นทุนต่อลูกค้ายิ่งลดลงไปเมื่อมีลูกค้ามากขึ้น พนักงานขายก็ไม่ต้องเพิ่มขึ้นเยอะเพราะบริษัทสามารถให้บริษัทคู่ค้าช่วยขายแล้วให้พวก Rebate แทนเมื่อขายสินค้าได้
3.สินค้าและบริการจะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเมื่อมีคนมาใช้งานมากขึ้น ได้ประโยชน์จาก Network Effect จากใช้งาน Workflow ของบริษัท A อาจจะต้องมีการเชื่อมต่อไปยัง B และ C ก็เลยทำให้ทั้ง B และ C ต้องใช้บริการไปด้วย
ผมมองว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนหุ้นธุรกิจแบบ SaaS ต้องเข้าใจโซลูชั่นและมองออกก่อนคนอื่น ว่าบริการนี้จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน คู่แข่งจะเข้ามาทำและแย่งลูกค้าไปได้หรือไม่
คนที่ลงทุนในธุรกิจแบบนี้ตั้งแต่เริ่มต้นจะได้กำไรอย่างมหาศาลถ้าบริษัทประสบความสำเร็จไปทั่งโลก
แต่คนที่เข้ามาลงทุนตอนที่มีลูกค้าจำนวนมากแล้ว หุ้นตอบรับกับอนาคตของบริษัทไปแล้ว จะทำให้นักลงทุนมีความเสี่ยงในการลงทุนมาก
เพราะอย่าลืมถ้าบริษัทใหญ่เห็นว่าธุรกิจดีจริง ก็อาจจะลงมาทำเองได้เหมือนกัน