JJNY : อ.รัฐศาสตร์มธ.เจาะปม'พปชร.'เปลี่ยนขั้ว/พท.ชี้งบฟื้นฟูเงินก้อนสุดท้าย/ก้าวไกลจี้ทบทวนเปิดเรียน/ธรรมนัสแฉคนวางแผน

อ.รัฐศาสตร์ มธ. เจาะปม 'พปชร.' เปลี่ยนขั้วอำนาจ เชื่อปรับ ครม. กระทบภาพลักษณ์ รบ.
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2212838
 

 
เผยแพร่  วันที่ 2 มิถุนายน 2563
 
เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงปมร้าวของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นใน พปชร.หลายครั้ง ก่อนหน้านี้มีความพยายามในการเปลี่ยนเลขาธิการพรรค จนตอนนี้เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งเมื่อก่อนจะใช้วิธีประชุมพรรคแล้วจึงมีการเปลี่ยนแปลง แต่หนนี้ใช้กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เปลี่ยนแปลง เป็นการเดินเกมอีกรูปแบบ
 
ด้วย พปชร.ประกอบไปด้วยกลุ่มมุ้งต่างๆ ที่มาอยู่รวมกัน การต่อรองอำนาจ หรือการจัดการการเมืองภายในพรรคจึงเกิดขึ้นไม่เฉพาะภายในพรรค แต่ยังเกิดขึ้นในกลุ่มมุ้งการเมืองซึ่งมีอำนาจต่อรองเนื่องจากเป็น ส.ส.พรรคฝ่ายรัฐบาล ทุกคนย่อมอยากเป็นรัฐมนตรี แต่หากมองให้ลึกกว่านั้น ที่ว่าจะปฏิรูป พปชร.แสดงให้เห็นแล้วจากปรากฏการณ์นี้ว่า การต่อรองอำนาจของกลุ่มมุ้งการเมืองนั้นกลับกลายเป็นการเมืองแบบเก่า กลับไปสู่การเป็นพรรคการเมืองชั่วคราว  เพราะการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง กก.บห.พรรค ไม่ได้เกิดจากการหมดวาระ แต่เป็นการเปลี่ยนจากการต่อรองอำนาจทางการเมือง ที่สำคัญผู้ที่จะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค พปชร.คนใหม่ อย่าง พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ คือสัญลักษณ์ของอะไรหรือไม่ เพราะในขณะเดียวกันสังคมมองปัญหาที่เกิดขึ้นใน พปชร.อีกแบบหนึ่ง ดังนั้น กก.บห.ชุดใหม่ที่จะเข้ามา ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องของการต่อรองขั้วอำนาจ และขุมอำนาจทางการเมืองภายในพรรค จะเห็นว่าถึงที่สุดแล้ว หากต้องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งบริหารในพรรคใช้ได้ด้วยวิธีการลาออก หรือเข้า กก.บห. ดังนั้น หากกรรมการบริหารชุดใหม่เข้ามา จะเป็น กก.บห.ตัวแทนของขุมกำลังในพรรคที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
 
“ต้องบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค หรือเกี่ยวข้องกับ พปชร.โดยตรง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยความที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ดังนั้น หากจะเปลี่ยน ครม. เรื่องต้องถึง พล.อ.ประยุทธ์ เท่ากับว่าพรรคส่งสัญญาณอะไรถึงนายกฯ หรือไม่ ในเมื่อหัวหน้าพรรคอย่างคุณอุตตม สาวนายน และ คุณสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ไม่ได้มีตำแหน่งบริหารแล้ว” ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์กล่าว
 
เมื่อถามว่าตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์กล่าวว่า ใน ครม.มีโควต้ารัฐมนตรีของแต่ละพรรค ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่เกี่ยวกับตน แต่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงใน พปชร.คือการส่งสัญญาณถึงการปรับ ครม.ด้วย คำถามคือ นายกฯ จะอยู่บนตำแหน่งนี้โดยที่ไม่สนใจได้มากน้อยแค่ไหน นี่คือการส่งสัญญาณไปถึงนายกรัฐมนตรีว่าจะต้องลงมาดู ถึงแม้นายกฯ จะพูดก่อนหน้านี้ว่า ถ้าจะเปลี่ยนอะไรขึ้นอยู่กับตน ตนไม่เปลี่ยน แต่หากพรรคขยับเช่นนี้ นายกฯ จะเป็นอย่างไร คำตอบอยู่ที่นายกฯ ว่าจะปรับ ครม.ตามนี้หรือไม่ และเหตุผลของการปรับ ครม.คืออะไร
 
ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์กล่าวต่อว่า ความจริงแล้วหากดูตามอายุของรัฐบาล ในประวัติศาสตร์ 1 ปีจะมีช่วงที่สามารถเปลี่ยน กก.บห.ได้ด้วยสาเหตุหลายประการ หลายครั้งรัฐบาลก็เปลี่ยนเพราะถึงคราวที่จะต้องให้คนอื่นมาเป็นรัฐมนตรีบ้าง เพื่อจัดการปัญหาการเมืองภายในพรรค ซึ่งก่อนหน้านี้ก็คาดการณ์กันว่าจะมีการปรับ ครม. มีการขย่มกันในพรรคมาหนหนึ่งแล้ว แต่ด้วยโควิดเข้ามาทำให้เวลาของการปรับ ครม.ครั้งนั้นถูกยืดออกไป เมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มดีขึ้น จึงต้องมองถึงอนาคตหลังจากนี้ในเรื่องของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การปรับ ครม.ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ไปด้วยกันได้ แต่เหตุผลในการปรับเปลี่ยน ครม.ครั้งนี้ เป็นไปเพื่อความเหมาะสม หรือเพื่อการเมือง ซึ่งทุกคนต่างบอกว่าเพื่อความเหมาะสม แต่สิ่งที่ประชาชนมองคือเพื่อการเมืองทั้งนั้น
 
ประการต่อมา หากจะมีการปรับ ครม. จะปรับแค่ใน พปชร.หรือไม่ หรือจะไปเกี่ยวข้องกับพรรคอื่นด้วย พรรคที่ได้คะแนนเสียง ส.ส.เพิ่ม จะขอโควต้ารัฐมนตรีเพิ่มหรือไม่ แม้บางพรรคจะบอกว่าทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม แต่การพูดกับการกระทำเป็นคนละเรื่อง นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้ทางการเมืองมาโดยตลอด
 
“สำหรับอนาคตทางการเมือง ต้องยอมรับว่าเรามีคณะรัฐมนตรีแบบรัฐบาลผสม รัฐบาลมี 270 กว่าเสียง ฝ่ายค้านมี 210 เสียง ดังนั้นเกมการเมืองในสภาอาจจะไม่มีปัญหา เพราะต้องยอมรับว่า พรรครัฐบาลอย่างไรก็คงไม่อยากเป็นฝ่ายค้าน ขณะเดียวกันเมื่อเป็น ครม.แล้ว การปรับ ครม.ครั้งนี้จะก่อให้เกิดความพอใจของทุกกลุ่มก้อนในพรรคต่างๆ หรือไม่ โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ การปรับ ครม.ครั้งนี้จะเป็นที่ยอมรับต่อสายตาประชาชนมากน้อยเพียงใด ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันคนมองภาพของรัฐบาลแบบหนึ่ง หากปรับ ครม.แล้วภาพไม่ไปกับความหวังของประชาชน การปรับ ครม.ก็อาจจะแก้ปัญหาทางการเมืองได้ แต่แก้ภาพลักษณ์ต่อประชาชนไม่ได้
 
“ถามว่าปรับ ครม.แล้ว พรรคฝั่งรัฐบาลจะมีปัญหาหรือไม่ ส่วนตัวมองว่ายากมาก หากมองอย่างตื้นๆ เป็นไปได้หรือไม่ที่พรรคก้าวไกล หรือพรรคเพื่อไทยจะมาป็นรัฐบาลร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ กล่าวคือไม่มีพรรคสำรองที่จะขยับเข้าหรือออก พรรคร่วมรัฐบาลจึงต้องจัดการให้อยู่ เพียงแต่จับกันแล้วมีปัญหาอะไรในพรรคก็ไปเคลียร์กันเองให้ได้
 
อย่างไรก็ดี หาก พปชร.เคลียร์ตำแหน่ง ครม.ของตนเองแล้ว ‘อยู่ได้’ แต่ภาพลักษณ์ของประชาชนไม่ออกมา จะเป็นอย่างไร ดังนั้นสิ่งที่ต้องมองคือ ภาพหลังปรับ ครม. เพราะกว่าจะเห็นผลงานต้องใช้เวลานาน ที่สำคัญเงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาทคือเม็ดเงินมหาศาลในประเทศ หากนักการเมืองที่มีประวัติมาบริหาร จะเกิดคำถามว่า กลุ่มคนเหล่านี้หรือที่จะมาบริหารเงินก้อนนี้ที่เราจะต้องใช้พัฒนาเศรษฐกิจหลังโควิด แล้วจะไปได้หรือไม่ ภาพลักษณ์คือภาระที่รัฐบาลต้องมอง แล้วภาพนั้นจะกระทบกับนายกฯ หรือไม่ ต้องมองส่วนนี้ด้วยเช่นกัน” ผศ.ดร.อรรถสิทธิ์กล่าว
  

 
พท.ชี้งบฟื้นฟูเงินก้อนสุดท้าย จี้'บิ๊กตู่'ให้ฝ่ายค้านสอบ
https://www.dailynews.co.th/politics/777885
 
"คุณหญิงสุดารัตน์" เห็นด้วยนายกฯ ออกตัวไม่เก่ง ศก. แต่หากจริงใจฟื้นฟูประเทศ ให้ฟัง 3 ข้อเรียกร้องพท. หากใช้ผิดวัตถุประสงค์เกิดหายนะ 
 
เมื่อวันที่ 2มิ.ย. ที่พรรคเพื่อไทย คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเห็นด้วยกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยอมรับกับสื่อต่างประเทศว่า ตนเองไม่เก่งเรื่องเศรษฐกิจ แต่ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ มีความจริงใจในการเยียวยาและฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบโควิดจริง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้ร่วมตรวจสอบการใช้งบประมาณมหาศาลในการเยียวยาและฟื้นฟูประเทศมูลค่าหลายล้านล้านบาท เพราะเงินก้อนนี้ คือ “น้ำมันถังสุดท้าย ในการติดเครื่องยนต์ประเทศไทย” ก่อนประเทศจะเกิดหายนะ โดยพรรคเพื่อไทยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ
 
1. รัฐบาลต้องใช้เงินให้มีประสิทธิภาพ เพราะที่ผ่านมา 6 ปี รัฐบาลกู้เงินไปแล้วกว่า 2.6 ล้านล้าน บาท เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งก่อนและหลังโควิด แต่ก็ล้มเหลวมาตลอด เพราะไม่มีวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจ
 
2. การใช้เงินต้องตรวจสอบได้ ดังนั้น ขอให้รัฐบาลสนับสนุน ร่าง พรบ. แก้ไขพรก. 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อให้ฝ่ายค้านได้ติดตามตรวจสอบ การใช้งบประมาณตาม พรก. 1.9 ล้านล้านบาท รวมทั้งก.ม.อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาและฟื้นฟูประเทศ รวมทั้ง ขอให้สรับสนุนการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณตาม พรก. 1.9 ล้านล้านบาท
 
3. การใช้งบประมาณต้องปราศจากการทุจริตเพราะเริ่มมีกระแสข่าวแล้วว่า มีการแจกโควต้างบประมาณให้นักการเมืองรายละ 80 ล้านบาท 
 
นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทย ยังข้องใจด้วยว่า เหตุใดในการเสนอ ร่าง พรบ.โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของสภา ในสัปดาห์นี้ ทำไมถึงเสนอให้โอนงบประมาณฯ 2563 จำนวน 88,452,597,900 บาท ไปไว้ในมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในรูปของ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า งบกลางฯ ซึ่งจะทำให้นายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจใช้จ่ายเงินเกือบ 9 หมื่นล้านบาท ทำไมจึงไม่โอนงบส่วนนี้ ไปไว้หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุข เพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์ ทำไมจึงจะโอนเงินเกือบ 9 หมื่นล้านบาทไปให้ นายกฯ ใช้ 
 
ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ไว้วางใจว่าจะมีการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเห็นจากความล้มเหลวในการใช้เงินของรัฐบาลที่ผ่านมา ตลอด6 ปี ซึ่งหากครั้งนี้ รัฐบาลไม่สามารถแก้ฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ภายใน 2-3 เดือนนี้ บ้านเมืองอาจเกิดหายนะ ตัวเลขคนตกงานอาจพุ่งสูงถึง 9-10 ล้านคน ไม่ใช่แค่ 7 ล้านคน อย่างที่คาดการณ์ไว้ เพราะรัฐบาลประยุทธ์ กู้เงินมหาศาลจนเกือบเต็มเพดานของกรอบวินัยการเงินการคลังแล้ว โดยในปีหน้า สัดส่วนของเงินกู้ จะอยู่ที่ 58 % ของ GDP ประเทศหากใช้เงินผิดพลาด ก็จะกู้ไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้น การใช้งบประมาณตาม พรก. 1.9 ล้านล้านบาท ทั้ง 3 ฉบับ จึงสำคัญมาก เพราะนี่คือ “น้ำมันถังสุดท้าย ในการติดเครื่องยนต์ประเทศไทย” หากใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ บ้านเมืองจะเกิดหายนะ.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่