JJNY : 'ธนาธร'แนะเปลี่ยนเงินกู้โควิด/จับตา‘พปชร.’ผลัดใบ/สิระ-เอ๋แท็กทีมฉะเต้/รับมือวิกฤต“หนี้เสีย”ท่วมประเทศ

'ธนาธร'แนะเปลี่ยนเงินกู้โควิด มุ่งผลิตอุปกรณ์แพทย์-อุตสาหกรรมรถไฟ- รบ.ดิจิทัล
https://voicetv.co.th/read/ocM4ApudI
 
 
'ธนาธร' บรรยาย Common School ชวนคิดเปลี่ยนการจัดการงบฯ ฟื้นฟูหลังโควิด -19 แนะผลิตอุปกรณ์แพทย์ - อุตสาหกรรมรถไฟ - เกษตรก้าวหน้า - สร้างรัฐบาลดิจิตอล" เชื่อยกระดับประเทศได้
 
เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ร่วมบรรยายในหลักสูตร "โควิด -1984" ซึ่งเป็นซีรีส์บรรยายสาธารณะของ "Common School" ผ่านช่องทางยูทูบ คณะก้าวหน้า - Progressive Movement โดยระบุในหัวข้อ "มองโลกผ่านซัพพลาย เชน (supply chain) : จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย" ตอนหนึ่งว่า วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกับห่วงโซ่การผลิตหรือซัพพลายเชน ทำให้เกิดภาวะช็อกขึ้นในห่วงโซ่การผลิตของโลกในหลายอุตสาหกรรม ทำให้ซัพพลายเชนในระดับโลกชะงักลง เเละบทบาทของซัพพลายเชนมีรูปแบบที่น่าสนใจอยู่ 2 อย่างด้วยกัน คือ 
  
1. ความรู้สึกของประชาชนทั่วประเทศของตัวเองที่ไม่มีความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ
  
2. ความรู้สึกของประชาชนที่รู้สึกว่าประเทศของตัวเองไม่มีความมั่นคงทางด้านการสาธารณสุข ซึ่งมีมาก่อนแล้วแต่โคโรน่าไวรัสทำให้ความรู้สึกแบบนี้ทวีคูณขึ้นไปอีก ดังนั้น จึงทำให้ความพยายามที่จะรักษาซัพพลายเชนไว้ มีความซับซ้อนสูงขึ้น การแยกย้ายกันผลิตตามความเชี่ยวชาญในแต่ละพื้นที่ของโลก ถูกมองให้กลับมาเป็นการดึงงานกลับมาอยู่ในประเทศ หรืออยู่ในแถบภูมิภาคของตัวเองมากขึ้น
  
นายธนาธร กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้จัดเตรียมงบประมาณไว้ก้อนหนึ่งเพื่อต่อสู้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งพบก้อนนี้มีจำนวนเงิน 1.9 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็น 
1. งบประมาณเพื่อการเยียวยาเพื่อการสาธารณสุขและเพื่อการฟื้นฟูประเทศ 1 ล้านล้านบาท 
2. งบประมาณเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี 500,000 ล้านบาท 
3. งบประมาณเพื่อพยุงเสถียรภาพทางด้านการเงินในตลาดทุนผ่านการพยุงหุ้นกู้อีก 4 แสนล้านบาท รวมกันทั้งหมด 1.9 ล้านบาท ที่สำคัญจริงๆ คือ การฟื้นฟูประเทศกับการพาประเทศไปข้างหน้ากับการปรับเปลี่ยนบทบาทของประเทศไทยในห่วงโซ่การผลิตโลก
 
"งบฟื้นฟู 4 แสนล้านบาทที่อยู่ใน 1 ล้านล้านบาทก้อนแรก จนถึงวันนี้ ได้ให้หน่วยงานภาครัฐต่างๆ ยื่นโครงการข้อเสนอว่าใครจะต้องการใช้เงิน โดยส่งข้อเสนอเข้ามาตั้งแต่วันที่ 5 - 15 มิ.ย. พบว่าโครงการเข้ามาเป็นจำนวนมากและเกินกรอบงบประมาณไปแล้ว ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ที่ส่งเข้ามา โดยมากเป็นการทำถนนกว่า 12,000 กว่าโครงการ เป็นเรื่องการจัดการน้ำ 7,000 โครงการ เป็นเรื่องการจัดการด้านการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอบรมเกษตรกร หรือการส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ อีก 5,461 โครงการ ซึ่งถ้าเราดูภาพรวมของโครงการต่างๆ เหล่านี้ จะเห็นว่าเราไม่มีโครงการ หรือไม่มียุทธศาสตร์ที่คำนึงว่าประเทศไทยจะอยู่ตรงไหนในห่วงโซ่การผลิตใหม่ของโลกหลังโควิดเลย เราเห็นแต่รูปแบบการบริหารจัดการภาครัฐแบบเดิม ถ้ายังจัดการใช้แบบนี้ประเทศไทยจะไม่ไปข้างหน้า จะไม่พร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ข้อเสนอที่ผมอยากจะให้ทุกคนได้เห็น คือ ต้องจัดการงบ 4 แสนล้านตัวนี้เสียใหม่ โดยการคำนึงถึงซัพลายเชนของโลก ณ ปัจจุบันนี้ด้วย" นายธนาธร กล่าว
 
ในการบรรยายดังกล่าว นายธนาธร ได้นำเสนอตัวอย่างโครงการและงานที่จะเกิดขึ้นภายใต้การคิดคำนึงถึง ห่วงโซ่การผลิต หรือ supply chain ของโลกในปัจจุบัน เช่น การเสนอผลิตเครื่องช่วยหายใจใช้ภายในประเทศ โดยมีรัฐมีบทบาทสำคัญทั้งในฐานะผู้ซื้อ ผู้สนับสนุน และอำนวยความสะดวกให้เกิดการลงทุนดังกล่าว, อุตสาหกรรมรถไฟในประเทศ แทนที่จะนำเข้ารถไฟทั้งหมดก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นผู้ผลิตในแต่ละระดับ จนสามารถผลิตเองได้ทั้งหมด, อุตสาหกรรมเกษตร อาทิ ยางพารา ต้องมีการจัดวางตำแหน่งของผู้เล่นต่างๆ ในห่วงโซ่การผลิตยางใหม่ โดยเกษตรกรไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ขายออกจากสวนอีกต่อไป แต่ต้องมีส่วนร่วมในการแปรรูปขั้นต้น และผลิตภัณฑ์ขั้นต้นด้วย ขณะที่บริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ต้องออกไปแข่งขันในตลาดโลกแล้วเอามูลค่าเพิ่มกลับเข้าในประเทศไทย
 
นายธนาธร พูดถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีสมัยใหม่ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงบริการของภาครัฐ ต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน ลดค่าใช้จ่าย เวลา เอกสารต่างๆ และเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างแท้จริง
 

 
จับตา‘พปชร.’ผลัดใบ ต่ออายุรัฐนาวา‘บิ๊กตู่’
https://www.matichon.co.th/politics/politics-in-depth/news_2237518
 
จับตา‘พปชร.’ผลัดใบ
ต่ออายุรัฐนาวา‘บิ๊กตู่’
 
หมายเหตุ – ความเห็นจากนักวิชาการกรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เตรียมประชุมใหญ่ เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ วันที่ 27 มิถุนายนนี้ โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะมาเป็นหัวหน้าพรรค และกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศจะเป็นรัฐบาลนิว นอร์มอล ถือเป็นการปรับโครงสร้างครั้งสำคัญของ พปชร. จะมีผลต่ออายุรัฐบาลบิ๊กตู่หรือไม่ อย่างไร
 
วีระ เลิศสมพร
คณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.พะเยา
 
เรื่อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้รับการวางตัวให้เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) คนใหม่ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ เพราะมีข่าวอยู่ตลอด อันที่จริงก็มีข่าวมาตั้งแต่ก่อนโควิด-19 ด้วยซ้ำไป ขณะเดียวกันก็มีการเปลี่ยนแปลงทีมงานชุดใหม่ น่าสนใจว่าจะจัดวางอย่างไรให้ลงตัวทุกฝ่าย เพื่อไม่ให้เกิดคลื่นใต้น้ำ
 
ความเปลี่ยนแปลงภายในพรรคพปชร.มองได้ทั้งการแย่งชิงอำนาจและเกมการเมือง 2 คำนี้ตรงไปตรงมา สอดคล้องกับการเมืองไทยมาตลอด นั่นคือการเล่นเกมการเมือง แต่นี่เป็นเกมการเมืองที่เกิดขึ้นภายในพรรคแกนนำรัฐบาล แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นการเมืองเก่าหรือปัจจุบันก็ยังคงอยู่
 
หากมองในมุมวิชาการถือว่าเป็นโจทย์สำคัญที่ว่าคนทั่วไปอยากเห็นการเมืองไทยในมิติใหม่ หมายความว่าลดการแย่งชิงอำนาจภายในพรรค หากใช้คำด้านบวกคือการต่อสู้กันในทางการเมือง เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ โดยแข่งขันกันตามกติกา แต่ถ้าทำจนเกินพอดี เกิดภาพลักษณ์ไม่ดีก็จะเข้าสู่โหมดของการแก่งแย่งชิงอำนาจ นี่เป็นเส้นคั่นบางๆ ถ้าข้ามพรมแดนไปแล้วก็จะเป็นการแก่งแย่งชิงอำนาจ หรือเป็นคำในเชิงลบทันที ขณะเดียวกัน หากถอยกลับไปแบบการแข่งขันอย่างยุติธรรม มีกติกา รู้จักมารยาททางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอยู่พรรคเดียวกัน ก็จะเข้าสู่โหมดการแข่งขัน
 
ดังนั้น จึงมองว่าคำ 2 คำนี้เป็นคำที่อยากเห็นมาตลอด แต่ไม่เกิดขึ้นเลย เราจึงได้ยินแต่คำว่าแก่งแย่งชิงอำนาจ รวมทั้งคำว่าเล่นเกมการเมือง ดูเบาขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ในเรื่องคำเหล่านี้มีผลเป็นลูกโซ่ในการวิเคราะห์ทางวิชาการ เพราะเป็นคำที่นำมาสู่การสร้างภาพลักษณ์ให้ประชาชนได้เห็น ถ้าเขาเห็นคำในเชิงลบมากๆ ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย หรือรู้สึกไม่ดีต่อการเมือง
 
ส่วนกรณีไม่นานมานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมากล่าวถึงการทำงานแบบนิว นอร์มอลนั้น หากมองในมุมแรกคือท่านใช้คำที่สอดคล้องกับยุคสมัย พยายามสื่อสารกับคนในสังคมว่ารัฐบาลพร้อมและมีการวางแผนว่าจะปรับเปลี่ยนการทำงาน โครงสร้างต่างๆ ให้เกิดในยุคใหม่ หรือนิว นอร์มอล แต่จะนิว นอร์มอลอย่างไรก็ต้องดูในรายละเอียดอีกครั้ง ขณะนี้ยังไม่ชัดเจน
 
ประการต่อมา ถามว่าจะเป็นวาทกรรมสวยหรูหรือไม่ ก็สามารถมองได้ในแง่ที่ว่าประชาชนควรติดตามให้คะแนน หรือทำการประเมินว่าสิ่งที่ท่านพูดวันนี้นั้น ในวันพรุ่งนี้ หรือต่อๆ ไปจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ หากในอนาคตได้ประเมินแล้วว่าไม่เป็นไปอย่างที่กล่าวไว้ ก็แสดงว่าเป็นเพียงวาทกรรมสวยหรูเท่านั้นเอง
 
สุขุม นวลสกุล
นักวิชาการรัฐศาสตร์
 
การปรับเปลี่ยนหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐมีเป้าประสงค์เพียงจะแสดงให้เห็นว่าการปรับ ครม.ครั้งต่อไป จะต้องทำให้นักการเมืองในพรรคมีความพอใจ เพราะเดิมกลุ่มที่เคลื่อนไหวไม่สามารถต่อสายคุยโดยตรงกับ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ และเชื่อว่า พล.อ.ประวิตร น่าจะนำความเห็นหรือสิ่งที่ต้องการไปเจรจาให้ประสบความสำเร็จได้ หรือทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มากกว่าการมองว่าพรรคนี้เข้ามาอาศัยบุญบารมีทางการเมืองจากท่าน
 
ส่วนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่าการปรับ ครม.เป็นการตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว แต่ในทางการเมือง ใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องพูดแบบนี้ แต่การทำงานในระบบก็ต้องฟังความเห็นรอบด้าน และคราวนี้ต้องดูว่าอำนาจต่อรองของนายกรัฐมนตรีมีมากแค่ไหน หลังจาก 3 ป.ถูกมองว่าเป็นระดับ 3 ทหารเสือ กลับกลายเป็นว่าวันนี้ พล.อ.ประวิตร พลิกบทบาทเป็นผู้บุกเบิกมาเป็นนักการเมืองเต็มตัว ทั้งที่ไม่ได้เป็น ส.ส.อย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน และคนภายนอกอาจจะมองว่าเป็นการลดชั้น แต่ พล.อ.ประวิตร อาจจะมีเหตุผลอื่นที่บอกไม่ได้ แต่การทำหน้าที่หัวหน้าพรรคหลังโดนทาบทาม ต้องผ่านความเห็นหรือมีไฟเขียวจาก พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ แล้ว
 
หลังจาก พล.อ.ประวิตร มาทำหน้าที่หัวหน้า หากพรรคยังไม่สงบ ทั้งที่ให้บางสิ่งที่ต้องการไปแล้ว ก็ไม่มีหนทางอื่น เพราะ 3 ป.เชื่อว่านักการเมืองหลายกลุ่มในพรรคก็คงไม่มีใครต้องการปลีกตัวออกไป เนื่องจากเชื่อว่านักการเมืองทุกคนต้องการทำหน้าที่ในสายปฏิบัติการในฐานะพรรครัฐบาล ไม่มีใครอยากเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการมาของ พล.อ.ประวิตร จะส่งผลกระทบกับบรรดา 4 กุมาร จะต้องดูว่าในอนาคตจะถูกตัดบัวไม่เหลือเยื่อใยหรือไม่ หรือว่าอาจตัดสินใจจะดึงบางคนไว้ทำงาน
 
ขณะที่การกำหนดทิศทางหรือนโยบายในการทำงานด้านเศรษฐกิจจะมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไม่มีใครเหมาะสมกับทุกสถานการณ์หรือปัญหาที่รอให้แก้ไขทั้งระยะสั้น ระยะยาว แต่คนมีอำนาจต้องเลือกใช้คนให้ถูกกับงาน เหมาะกับสถานการณ์เฉพาะหน้า ไม่ทราบว่าการปรับ ครม.ที่จะเกิดขึ้นมองจุดนี้หรือไม่ ที่น่าสนใจที่สุดต้องดูว่านายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เชื่อมโยงกับกลุ่มธุรกิจได้ ยังมีโอกาสทำงานต่อไปหรือไม่ หรือจะใช้บริการเทคโนแครต
 
ชัยธวัช เสาวพนธ์
นักวิชาการอิสระ
  
กรณี ส.ส.พรรค พปชร.สนับสนุน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ พปชร.เป็นพรรคมาจากนักการเมืองหลายกลุ่ม ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งง่าย หลังร่วมรัฐบาลมากว่า 5 ปี ปรากฏว่าทีมเศรษฐกิจแก้ปัญหาไม่ได้ ใช้มุขเดิม คือแจกเงินอย่างเดียว ตามแนวทางประชานิยม แต่ไม่ตรงเป้าหมาย เพราะผู้มีรายได้น้อย หรือคนจน ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือเยียวยามากนัก จึงเกิดปัญหาการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่ไม่สามารถเดินไปสู่เป้าหมาย คือฟื้นเศรษฐกิจฐานรากได้
 
การเปลี่ยน พล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้า พปชร. เชื่อว่ามีเป้าหมายนำไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ เพราะสภาได้ผ่านพิจารณากู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาทแล้ว เพื่อฟื้นเศรษฐกิจในระยะยาว หากไม่เปลี่ยนทีมเศรษฐกิจอาจส่งผลให้รัฐบาลล้มเหลวได้ จำเป็นต้องมีทีมเศรษฐกิจใหม่ที่เข้มแข็ง และคิดนอกกรอบ หาวิธีการใหม่ๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า และให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงโลก หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายลงแล้ว
 
กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีแนวคิดปรับการทำงาน ครม.เป็นนิว นอร์มอล หรือชีวิตวิถีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกว่าเป็นแนวคิดที่ดี แต่การปฏิบัติไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะการเมืองไทยเป็นอำนาจนิยมที่ปลูกฝังมายาวนาน ยึดผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องเป็นหลัก ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำเป็นตัวอย่างก่อน ลดทิฐิและอคติกับคนเห็นต่างเป็นอันดับแรก ถ้าทำไม่ได้ อย่าหวังการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่