บ้านเกือบทุกหลัง ห้องนอนเกือบทุกห้อง มักจะมีอุปกรณ์ที่เราขาดเสียไม่ได้อยู่ชิ้นหนึ่ง เพราะหากเราขาดซึ่งอุปกรณ์ชิ้นนี้ไปเสียแล้ว เราก็คงต้องเดินออกจากบ้านด้วยความไม่มั่นใจเป็นแน่ เนื่องจากเรายังไม่เห็นภาพลักษณ์ของตัวเองในเจ้าอุปกรณ์ที่ว่านี้ ซึ่งก็คือ กระจกเงา
หลังตื่นนอนตอนเช้า ก่อนออกจากบ้านไปทำงาน หรือทำธุระต่าง ๆ เราโดยส่วนใหญ่แล้ว ก็จะมีพฤติกรรมเหมือน ๆ กัน คือ การส่องกระจก เพื่อดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้า หวีผมให้เข้าทรง เมื่อมีความมั่นใจมากพอแล้ว เราก็ออกจากบ้านไปด้วยความหวังว่าเราจะต้องดูดีในสายตาผู้อื่นที่พบเห็น
เหตุที่เราต้องทำกิจกรรมเช่นนี้ในทุก ๆ วัน ก็เพราะว่าคนในสังคมส่วนใหญ่แล้ว ก็มักจะตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่ตนเองเห็น มากกว่าสิ่งที่ผู้อื่นเป็นเสมอ และก็ไม่แปลกที่เราอาจเป็นหนึ่งในคนส่วนใหญ่ที่ว่านี้ อาจเป็นเพราะเราไม่รู้จักคน ๆ นั้นดีพออย่างลึกซึ้ง มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น กระจกเงาจึงมีส่วนสำคัญในชีวิตของเราเกือบจะทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่หากเราใช้ความคิดพินิจสักนิด เราจะเห็นความเป็นจริงที่กระจกเงาที่บ้านสะท้อนให้เราเห็นในทุก ๆ วันเช่นกัน เพราะนอกจากมันทำให้เราเห็นหน้าตาของตัวเอง เสื้อผ้าที่เราสวมใส่แล้ว มันสะท้อนชีวิตของเราในแต่ละช่วงวัย นับตั้งแต่วัยเยาว์เรื่อยมาจนถึงวัยชราภาพให้เราได้เห็นอย่างแจ่มชัดอีกด้วย
ในวัยเด็กกระจกสะท้อนให้เราได้เห็นถึงความน่ารัก ไร้เดียงสา เหมือนผ้าขาวที่รอการแต่งแต้มเติมสีให้ชีวิตจากพ่อและแม่ รอการสั่งสมประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อเอาไว้ใช้ในการดำเนินชีวิต ที่สำคัญกว่านั้น กระจกเงาบานนี้ยังสะท้อนความรักอันบริสุทธิ์จากพ่อแม่ของเรา ที่เฝ้าถ่ายทอดมันผ่านอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลก
แต่ด้วยวัยที่ยังเยาว์อยู่นั้น เด็กส่วนใหญ่จึงมักจะมองข้ามความหมายที่กระจกเงาบานนี้ ได้พยายามสะท้อนออกมาให้พวกเขาได้เห็น เพราะชีวิตของพวกเขายังคงไม่ต้องรับรู้ความคิดเห็นของผู้อื่น นอกจากคนภายในครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ กระจกเงาจึงดูด้อยความสำคัญสำหรับพวกเด็ก ๆ
เมื่อพวกเขาเริ่มเติบโตขึ้น ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น จะสังเกตได้ว่าช่วงวัยที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านนี้ พวกเขาเริ่มให้ความสนใจกับการส่องกระจกเงามากขึ้นกว่าช่วงวัยเด็ก เพราะเขาเริ่มให้ความสนใจกับภาพลักษณ์ของตัวเอง ที่มีต่อหน้าเพื่อน ๆ ซึ่งมีทั้งชายและหญิง มันจึงต้องดูดี ดูเท่ห์ ดูสวย ดูน่ารัก ดูหล่อ เพื่อการยอมรับจากหมู่เพื่อนฝูง แต่พวกเขาก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี คงไม่ได้เพ่งมองกระจกแล้วสามารถเห็นสิ่งอื่น ๆ ได้ นอกจากตัวของเขาเอง
จวบจนเมื่อพวกเขาได้เติบโต เข้าสู่ช่วงวัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว หลังเรียนจบ มีงานทำ หาเลี้ยงชีพได้ด้วยตัวเองแล้ว พวกเขามักจะใช้เวลาในการส่องกระจกเงาบานนี้นานขึ้นยิ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะดูหน้าตา และเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายต่าง ๆ ของตัวเองแล้ว พวกเขายังเริ่มมองเห็นสิ่งที่กระจกเงาได้สะท้อนออกมา พวกเขาเริ่มเห็น และนึกถึงความคิดเห็นของผู้อื่นที่มีต่อตัวเขามากขึ้น เริ่มนึกถึงผลกระทบด้านต่าง ๆ ที่มีต่อตัวเองมากขึ้น
และเนื่องจากพวกเขาพึ่งจะเริ่มเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ได้ไม่นาน ความเป็นเด็กก็ยังคงมีติดตัวมาบ้างไม่มากก็น้อย ความคิดความอ่านของเด็กก็ยังคงมีให้เห็นได้ทั่วไป พวกเขาจึงมองไม่เห็นบางสิ่งบางอย่างที่กระจกเงาได้พยายามสะท้อนให้พวกเขาได้เห็น ก็คือ
ชีวิตของพวกเขาเริ่มเดินไกลห่างจากครอบครัวเดิมที่มีพ่อแม่พี่น้องออกไปทุกขณะ ขณะเดียวกันพวกเขาก็พร้อมที่จะเริ่มสร้างครอบครัวใหม่เป็นของตัวเอง พวกเขาเรียนรู้ชีวิตมากขึ้นผ่านสังคมแห่งการทำงาน ผ่านสังคมของเพื่อนฝูงกลุ่มใหม่ ๆ เป็นเวลาอยู่หลายช่วงปี
เมื่อพวกเขาหันกลับมาดูตัวเองในกระจกเงาอีกครั้ง สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือ “ความเปลี่ยนแปลง” ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนแปลงไป ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในทุก ๆ วัน เส้นผมที่เคยเป็นสีดำก็เริ่มเปลี่ยนสีไปตามกาลเวลา ริ้วรอยแห่งประสบการณ์ก็เริ่มแสดงเห็นได้เด่นชัดขึ้นบนใบหน้า ตามหน้าที่ความรับผิดชอบของชีวิตที่มีมากขึ้น อีกทั้งแบบของเสื้อผ้าที่เคยสวมใส่ก็เริ่มเข้าใกล้คำว่า เชย เต็มที หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ พอพวกเขามารู้สึกตัวอีกที วัยชราภาพก็ได้เดินเข้ามาทักทายแบบไม่รู้ตัวเสียแล้ว
มันทำให้พวกเขาหันกลับไปส่องกระจกเงาด้วยความพินิจชีวิตมากขึ้น และกระจกเงาบานเก่าที่บ้าน ก็ได้ผันผ่านกาลเวลามาหลายสิบปีเช่นเดียวกัน ก็คงเปรียบเสมือนชีวิตของพวกเขาที่เดินมุ่งหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เผชิญหน้ากับความทุกข์บ้าง สุขบ้าง สลับสับเปลี่ยนกันไปมา จนกว่าจะเดินทางถึงเป้าหมายของชีวิตที่ตั้งใจ
เป็นสิ่งที่จำเป็นสิ่งหนึ่ง ที่พวกเราควรทบทวนชีวิตของเราเองให้เป็นกิจวัตร หากพบว่า บางช่วงเวลามีความไม่สมดุลของชีวิตเกิดขึ้นกับเรา ก็ให้ลองหันไปส่องกระจกเงาที่บ้านอีกครั้ง สำรวจดูตัวของเราว่ามีสิ่งใดบ้างที่เปลี่ยนแปลงไป จากเดิม และการเปลี่ยนแปลงนั้นมันส่งผลดีหรือไม่ กับชีวิตที่ยังเหลืออยู่ของเรา?
เชื่อว่า ภายหลังจากที่เราได้มีเวลาขบคิดใคร่ควรชีวิต ผ่านกระจกเงาที่เฝ้าสะท้อนความเป็นจริงให้เราได้เห็น เรียบร้อยแล้ว เราก็จะสามารถหาวิธีต่าง ๆ ที่ทำให้ชีวิตที่ยังเหลือของเรา เดินทางไปสู่จุดหมายอย่างมีความสุขในท้ายที่สุด
Cr. เปลือกชีวิต The Series (Series ที่จะทำให้คุณเข้าใจชีวิตมากขึ้น) By ดช.จุ่น
ติดตามบทความอื่น
เปลือกชีวิต The Series 1 (ชีวิตไร้เปลือก)
https://pantip.com/topic/39762209
เปลือกชีวิต The Series 2 (ณ จุดเริ่มต้นเดียวกัน!)
https://pantip.com/topic/39827051
เปลือกชีวิต The Series 3 (อย่าให้ความสุข..ทิ้งเราไว้ข้างหลัง)
https://pantip.com/topic/39848005
เปลือกชีวิต The Series 4 (ในนิยาม แห่งความว่างเปล่า!)
https://pantip.com/topic/39889086
เปลือกชีวิต The Series 5 (มีความว่างเปล่า = มีความสุข!)
https://pantip.com/topic/39918508
เปลือกชีวิต The Series 6 (ใน..กระจกเงา )
หลังตื่นนอนตอนเช้า ก่อนออกจากบ้านไปทำงาน หรือทำธุระต่าง ๆ เราโดยส่วนใหญ่แล้ว ก็จะมีพฤติกรรมเหมือน ๆ กัน คือ การส่องกระจก เพื่อดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้า หวีผมให้เข้าทรง เมื่อมีความมั่นใจมากพอแล้ว เราก็ออกจากบ้านไปด้วยความหวังว่าเราจะต้องดูดีในสายตาผู้อื่นที่พบเห็น
เหตุที่เราต้องทำกิจกรรมเช่นนี้ในทุก ๆ วัน ก็เพราะว่าคนในสังคมส่วนใหญ่แล้ว ก็มักจะตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่ตนเองเห็น มากกว่าสิ่งที่ผู้อื่นเป็นเสมอ และก็ไม่แปลกที่เราอาจเป็นหนึ่งในคนส่วนใหญ่ที่ว่านี้ อาจเป็นเพราะเราไม่รู้จักคน ๆ นั้นดีพออย่างลึกซึ้ง มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น กระจกเงาจึงมีส่วนสำคัญในชีวิตของเราเกือบจะทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่หากเราใช้ความคิดพินิจสักนิด เราจะเห็นความเป็นจริงที่กระจกเงาที่บ้านสะท้อนให้เราเห็นในทุก ๆ วันเช่นกัน เพราะนอกจากมันทำให้เราเห็นหน้าตาของตัวเอง เสื้อผ้าที่เราสวมใส่แล้ว มันสะท้อนชีวิตของเราในแต่ละช่วงวัย นับตั้งแต่วัยเยาว์เรื่อยมาจนถึงวัยชราภาพให้เราได้เห็นอย่างแจ่มชัดอีกด้วย
ในวัยเด็กกระจกสะท้อนให้เราได้เห็นถึงความน่ารัก ไร้เดียงสา เหมือนผ้าขาวที่รอการแต่งแต้มเติมสีให้ชีวิตจากพ่อและแม่ รอการสั่งสมประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อเอาไว้ใช้ในการดำเนินชีวิต ที่สำคัญกว่านั้น กระจกเงาบานนี้ยังสะท้อนความรักอันบริสุทธิ์จากพ่อแม่ของเรา ที่เฝ้าถ่ายทอดมันผ่านอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดในโลก
แต่ด้วยวัยที่ยังเยาว์อยู่นั้น เด็กส่วนใหญ่จึงมักจะมองข้ามความหมายที่กระจกเงาบานนี้ ได้พยายามสะท้อนออกมาให้พวกเขาได้เห็น เพราะชีวิตของพวกเขายังคงไม่ต้องรับรู้ความคิดเห็นของผู้อื่น นอกจากคนภายในครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ กระจกเงาจึงดูด้อยความสำคัญสำหรับพวกเด็ก ๆ
เมื่อพวกเขาเริ่มเติบโตขึ้น ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น จะสังเกตได้ว่าช่วงวัยที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่านนี้ พวกเขาเริ่มให้ความสนใจกับการส่องกระจกเงามากขึ้นกว่าช่วงวัยเด็ก เพราะเขาเริ่มให้ความสนใจกับภาพลักษณ์ของตัวเอง ที่มีต่อหน้าเพื่อน ๆ ซึ่งมีทั้งชายและหญิง มันจึงต้องดูดี ดูเท่ห์ ดูสวย ดูน่ารัก ดูหล่อ เพื่อการยอมรับจากหมู่เพื่อนฝูง แต่พวกเขาก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี คงไม่ได้เพ่งมองกระจกแล้วสามารถเห็นสิ่งอื่น ๆ ได้ นอกจากตัวของเขาเอง
จวบจนเมื่อพวกเขาได้เติบโต เข้าสู่ช่วงวัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว หลังเรียนจบ มีงานทำ หาเลี้ยงชีพได้ด้วยตัวเองแล้ว พวกเขามักจะใช้เวลาในการส่องกระจกเงาบานนี้นานขึ้นยิ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะดูหน้าตา และเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายต่าง ๆ ของตัวเองแล้ว พวกเขายังเริ่มมองเห็นสิ่งที่กระจกเงาได้สะท้อนออกมา พวกเขาเริ่มเห็น และนึกถึงความคิดเห็นของผู้อื่นที่มีต่อตัวเขามากขึ้น เริ่มนึกถึงผลกระทบด้านต่าง ๆ ที่มีต่อตัวเองมากขึ้น
และเนื่องจากพวกเขาพึ่งจะเริ่มเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ได้ไม่นาน ความเป็นเด็กก็ยังคงมีติดตัวมาบ้างไม่มากก็น้อย ความคิดความอ่านของเด็กก็ยังคงมีให้เห็นได้ทั่วไป พวกเขาจึงมองไม่เห็นบางสิ่งบางอย่างที่กระจกเงาได้พยายามสะท้อนให้พวกเขาได้เห็น ก็คือ
ชีวิตของพวกเขาเริ่มเดินไกลห่างจากครอบครัวเดิมที่มีพ่อแม่พี่น้องออกไปทุกขณะ ขณะเดียวกันพวกเขาก็พร้อมที่จะเริ่มสร้างครอบครัวใหม่เป็นของตัวเอง พวกเขาเรียนรู้ชีวิตมากขึ้นผ่านสังคมแห่งการทำงาน ผ่านสังคมของเพื่อนฝูงกลุ่มใหม่ ๆ เป็นเวลาอยู่หลายช่วงปี
เมื่อพวกเขาหันกลับมาดูตัวเองในกระจกเงาอีกครั้ง สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือ “ความเปลี่ยนแปลง” ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนแปลงไป ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในทุก ๆ วัน เส้นผมที่เคยเป็นสีดำก็เริ่มเปลี่ยนสีไปตามกาลเวลา ริ้วรอยแห่งประสบการณ์ก็เริ่มแสดงเห็นได้เด่นชัดขึ้นบนใบหน้า ตามหน้าที่ความรับผิดชอบของชีวิตที่มีมากขึ้น อีกทั้งแบบของเสื้อผ้าที่เคยสวมใส่ก็เริ่มเข้าใกล้คำว่า เชย เต็มที หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ พอพวกเขามารู้สึกตัวอีกที วัยชราภาพก็ได้เดินเข้ามาทักทายแบบไม่รู้ตัวเสียแล้ว
มันทำให้พวกเขาหันกลับไปส่องกระจกเงาด้วยความพินิจชีวิตมากขึ้น และกระจกเงาบานเก่าที่บ้าน ก็ได้ผันผ่านกาลเวลามาหลายสิบปีเช่นเดียวกัน ก็คงเปรียบเสมือนชีวิตของพวกเขาที่เดินมุ่งหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เผชิญหน้ากับความทุกข์บ้าง สุขบ้าง สลับสับเปลี่ยนกันไปมา จนกว่าจะเดินทางถึงเป้าหมายของชีวิตที่ตั้งใจ
เป็นสิ่งที่จำเป็นสิ่งหนึ่ง ที่พวกเราควรทบทวนชีวิตของเราเองให้เป็นกิจวัตร หากพบว่า บางช่วงเวลามีความไม่สมดุลของชีวิตเกิดขึ้นกับเรา ก็ให้ลองหันไปส่องกระจกเงาที่บ้านอีกครั้ง สำรวจดูตัวของเราว่ามีสิ่งใดบ้างที่เปลี่ยนแปลงไป จากเดิม และการเปลี่ยนแปลงนั้นมันส่งผลดีหรือไม่ กับชีวิตที่ยังเหลืออยู่ของเรา?
เชื่อว่า ภายหลังจากที่เราได้มีเวลาขบคิดใคร่ควรชีวิต ผ่านกระจกเงาที่เฝ้าสะท้อนความเป็นจริงให้เราได้เห็น เรียบร้อยแล้ว เราก็จะสามารถหาวิธีต่าง ๆ ที่ทำให้ชีวิตที่ยังเหลือของเรา เดินทางไปสู่จุดหมายอย่างมีความสุขในท้ายที่สุด
Cr. เปลือกชีวิต The Series (Series ที่จะทำให้คุณเข้าใจชีวิตมากขึ้น) By ดช.จุ่น
ติดตามบทความอื่น
เปลือกชีวิต The Series 1 (ชีวิตไร้เปลือก) https://pantip.com/topic/39762209
เปลือกชีวิต The Series 2 (ณ จุดเริ่มต้นเดียวกัน!) https://pantip.com/topic/39827051
เปลือกชีวิต The Series 3 (อย่าให้ความสุข..ทิ้งเราไว้ข้างหลัง) https://pantip.com/topic/39848005
เปลือกชีวิต The Series 4 (ในนิยาม แห่งความว่างเปล่า!) https://pantip.com/topic/39889086
เปลือกชีวิต The Series 5 (มีความว่างเปล่า = มีความสุข!) https://pantip.com/topic/39918508