ความเดิมตอนที่แล้ว
ตอนที่ [1] ที่หมู่บ้านเหอมู่ (禾木乡)
เผื่อใครพลาดยังไม่ได้อ่าน เหอะๆ
ผมขอให้ทุกท่านนอนอ่านเลยครับและมาร่วมการเดินทางคลายร้อนไปพร้อมๆกับพวกผม...
สวัสดีครับพี่น้องคนไทยทุกคน
ต่อจากความเดิมนะครับ คนขับรถบอกว่าจะมารับประมาณสิบโมงกว่า พอถึงเวลาก็เงียบไป พวกผมก็เริ่มเอะใจแล้วว่าจะมาไหมนิ เริ่มกังวลนิดๆ เพราะเราไม่มีตัวเลือกแล้ว เลยโทรหาอีกที เขาก็บอกว่าเดี๊ยวบ่ายสองมารับ 555 หนักข้อๆ พวกผมเลยนั่งๆนอนๆรอในห้องจนถึงเวลาที่เขามารับ ประมาณบ่ายสองครึ่ง แล้วเขาก็บอกว่าเดียวไปรับลูกค้าคนอื่นก่อน แล้วพอไปรับมาก็บอกว่าหิวเดี๋ยวไปหาอะไรกินก่อน ผมนี้เครียดเลย 5555 ยอมใจครับ พี่เขาเหี้ยมจริง~
จากนั้นพวกผมก็ได้นั่งรถมากับใครก็ไม่รู้อีกสองคนจากหมู่บ้านเหอมู่ไปยังคานาสือ คือผมก็ไม่รู้ว่าโรงแรมที่พวกผมหามาจากแผนที่เนี้ย มันอยู่ในหมู่บ้านที่เรียกว่าอะไร เอาเป็นว่าอยู่ในอุทยานแห่งชาติคานาสือละกัน พอไปถึงที่นู้นก็ประมาณหกโมงเย็นพอดี (คนขับรถใจเหี้ยมจริง 55) ช่วงเวลานั้นพระอาทิตย์ก็ได้ตกดินไปเรียบร้อยแล้ว มืด กรึ๊บ!! ไฟมีน้อยมากครับ เขาไปส่งคนอื่นก่อน หลังจากนั้น ก็พาพวกผมไปส่งที่โรงแรม
เมื่อเปิดประตูออกจากรถที่อุ่นๆแบบพร้อมนอน เท่านั้นแหละครับ รู้เรื่อง!! -30 กว่าองศา
ผมว่าผมไปที่หนาวจัดมาหลายที่นะครับ อุณหภูมิที่กำลังดี (สำหรับตัวผมนะ) คืออยู่ที่ -10 ถึง -18 ครับ ถ้า ถึงประมาณ -20 นี้ก็เริ่มอยู่ยากละครับ จะปวดนู้นเจ็บนี้ ถ้าเลยลงไปถึง -30 นี้คืออยู่แทบไม่ได้ 5555 ความรู้สึกที่หายใจเข้าแล้วปวดหน้าอกอ่ะครับ ผมไม่ได้เวอร์เลยครับ รู้สึกเหมือนปอดจะเริ่มแข็ง 555
มันให้อารมณ์แบบเวลาเดินออกจากเซเว่น แล้วโดนลมร้อนตบหน้าแรงๆอ่ะครับ แต่ตรงกันข้าม โดนลมหนาวตบหน้าเข้าสามทิศเลย 555 รู้สึกถึงน้ำมูกในจมูกแข็งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วคนขับก็บอกให้รอแป๊บเดียวไปเอากุญแจห้องมาให้ คือด้วยความที่ยังช็อคกับอุณภูมิเปลี่ยนเฉียบพลันอยู่ ก็เริ่มสั่นเกร็ง พอเดินๆไปดูรอบๆแถวโรงแรม เจอพี่แกยืนดูดบุหรี่อยู่ 555 เหี้ยมแท้ ผมก็บอกไปว่าอยากเข้าห้องละนิไม่ไหวแล้วหนาว เขาก็พยักหน้าแล้วก็เดินไปเอากุญแจมาเปิดให้
ก่อนที่เขาจะมาพวกผมก็มองเห็นแมวอัลไตตัวหนึ่ง (เห็นอะไรที่ไหนก็เรียกชื่อตามสถานที่นั้น) ผมก็สงสัยว่ามันไม่หนาวรึไงนิ พอเปิดประตูเข้าห้องเท่านั้นแหละครับ...

และนี้คือคำตอบว่ามันหนาวไหม 555

นี้ผมลงทุนสร้างแชแนลยูทูป มาเพื่อให้พี่น้องได้เห็นกันเลยนะเนี้ย 555
พอเข้ามาในห้องก็รู้สึกอุ่นกว่าข้างนอก นิ๊ดดดดเดียววว 555 เพราะเครื่องทำความอุ่นที่เห็นอยู่นั้นคือได้มาจากที่บ้านเขาก่อกองไฟ (แท่งๆสีขาวข้างๆเตียงอ่ะครับ) สรุปถ้าเติมลมพัดเบาๆเข้าไปก็คือข้างนอกเลยอ่ะครับ อยู่ยากจริง แล้วสิ่งแรกที่ผมต้องเข้าไปเช็คก็คือน้ำครับ เพราะได้ยินเสียงเหมือนน้ำไหลตลอดเวลา พอเข้าไปเปิดไฟดูก๊อกน้ำเปิดทิ้งไว้เบาๆ ผมก็เลยปิด พอคนขับรถ (โรงแรมที่นี้เป็นของพี่สาวคนขับรถครับ ธุรกิจครอบครัวอ่ะนะ) แล้วเขาเข้ามาจะถามว่าวันพรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหนไหม ก่อนที่พวกผมจะตอบ เขาก็เดินเข้าไปเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้และก็บอกว่าถ้าปิดนะ ท่อน้ำจะเป็นน้ำแข็งและจะใช้ไม่ได้อีกเลย 555 หนักข้อเข้าไปอีก
พวกผมก็บอกเขาไปว่าพรุ่งนี้อยากไป หอคอยชมปลา (观鱼台) และก็จะกลับลงไปปูเออร์จินเลย (เพราะว่าใช้เวลาที่เหอมู่สองวัน บวกกับ ที่คานาสือมันไปไหนไม่ได้ถนนทางเดินหิมะบล็อกหมด) เขาก็บอกโอเครๆ
หลังจากนั้นผมก็ลืมถามเขาไปเรื่องน้ำอุ่น ผมเลยลองไปดูว่ามีไหม คือถึงจุดนี้แล้วขอให้มีน้ำอุ่นๆอาบหน่อยเหอะนะ พอผมเปิดรอให้น้ำอุ่นมาซักพักเครื่องทำน้ำอุ่นก็เริ่มทำงาน ดีใจมากครับ!! แต่... ความพอดีไม่มีครับ ร้อนจนลวก 555 พอปรับมาฝั่งเย็นแบบประมาณ 1° น้ำกลับมาเย็นเจี๊ยบทันทีครับ อันนี้ไม่เวอร์เลยครับ 555 พอปรับไปฝั่งอุ่นอีกครั้งแบบบิดไป แบบกระพิบตายังไม่ทันสุดเลย น้ำก็ร้อนจนลวกอีกเหมือนเดิม ผมนี้ยอมใจโรงแรมนี้เลยครับ 555 ผมก็เลยทักไปถามคนขับรถแล้วเขาก็บอกว่าปกติห้องนี้เขาเปิดให้ช่วงฤดูร้อนแต่เห็นว่ามีคนหาที่อยู่เลยเปิดให้พัก
จากนั้นก็เริ่มหิวกันแล้วเลยไปหาอะไรกินซึ่งคนขับรถบอกว่าให้ออกไปเดินหาตามถนนเอา ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ... 555 ก็เลยตัดสินใจออกไปหาอะไรกินและซื้อเสบียงอาหารมาตุนด้วย ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ทำใจอยู่ซักพักแล้วก็ออกมาข้างนอก แล้วก็เดินแบบเปิดไฟมือถือเดินหาทางเอา แล้วสัญญาณเน็ตก็ไม่ค่อยดี พอเดินไปเดินมาก็เจอถนน ก็เดินตามทาง และในที่สุดก็เจอครับ เข้าไปก็สั่งนู้นนี้ด้วยราคาที่แพงกว่าปกติประมาณ 3 เท่าตัว แต่ต้องยอมครับ เหอะๆ คือไม่ได้ถ่ายรูปอาหารเลยแบตมือถือดับกันหมด พอกินข้าวเสร็จก็พากันเดินกลับ

ระหว่างทางเจอคนกินบะหมี่ทิ้งไว้ คือต้องใจเย็นแค่ไหนกว่าจะเข้าปากแข็งกลางอากาศแล้วก็ทิ้งไว้เลย 555
พอเดินกลับ หาทางกลับไม่เจอครับเพราะมันมืด เปิดมือถือก็เปิดไม่ติดแล้วด้วย งานเข้าสิครับ 555 เดินไปเดินมาได้อยู่พักใหญ่ๆ อาการเริ่มแย่ลงเรื่อยๆครับ ยิ่งดึก ยิ่งเย็น ยิ่งชื้น คืออะไรที่ชื้นๆนี้มันแย่ที่สุดในโลกแล้วครับเช่น ที่ไทย ร้อนชื้น = “ร้อนอ่ะ ไม่ไหวแล้วๆ หลบร่มหน่อยดีกว่าๆ (เดินไปใต้ต้นไม้) ซื้อน้ำชาดำเย็นดื่มให้ชื่นใจดีกว่า...” และที่คานาสือ หนาวชื่น = “ย๊ะๆ แย่ แย่ๆ แล้วๆ (เงียบ… สั่น… ตัวเกร็ง...)” 5555 ผมเข้าใจอย่างสุดซึ้งแล้วครับ ไอ้ที่บอกว่าหนาวจนตายนี้มันเป็นยังไง ดังนั้นผมสามารถตอบคำถามโลกแตกที่พบเจอกันหลายครั้งในชีวิตว่าระหว่างร้อนกับหนาวอันไหนมันหนักข้อกว่ากัน หนาวครับ เพราะอันตรายมากกว่าหลายเท่าตัว แต่สุดท้ายเดินไปเดินมาก็เจอซอยเข้าโรงแรมจนได้ครับ

ตอนกลางคืนนอนหลับๆตื่นๆครับเพราะว่าหนาวบวกกับแมวมาคุ้ยขนมกิน แล้วไม่พอไปขูดประตูจะออกไปฉี่ข้างนอกอีก ผมเลยต้องลุกจากผ้าห่มเดินไปเปิดประตูให้ แล้วมันก็เงียบไปเลย ซักพัก ผมรู้สึกเป็นห่วงว่ามันจะหนาวตายข้างนอกไหมหน้อ เลยเปิดประตูออกไปดู ภาพเดจาวูเหมือนตอนแรกเลยครับ แมวอัลไตรีบวิ่งเข้ามาในห้องแล้วไปขดตัวที่ปลายเตียง 555
มาๆ พอเรื่องหนาวละ เด๊ะพวกเราไปดูว่าความ “หนาวกว่า” เป็นอย่างไร (ยังครับ ยังหนาวไม่พอ… เหอะๆ)

วันรุ่งขึ้นพวกผมได้ออกจากโรงแรมกันแต่เช้ามืดโดยมีใครก็ไม่รู้ติดรถไปด้วยอีกแล้วครับ นิจะเล่าอะไรให้ฟังเรื่องเวลาของคนแถวนี้เนี้ย คือเวลาจริงๆมันจะช้ากว่าเวลาที่ปักกิ่งกว่า 2 ชม. คือจะทำอะไรก็ช้ากว่า แล้วที่ช้ากว่าในที่นี้หมายถึง ก็ใช้ชีวิตกันตามปกติแหละครับแค่ตัวเลขเวลาจะเร็วกว่าเช่น ปกติคนปักกิ่งทำงาน 9 โมงเช้า ที่อุรุมชี ทำงาน 10 โมงเช้าในฤดูหนาว และ 9 โมงครึ่งในฤดูร้อน เพราะว่าประเทศจีนใช้เวลาตามปักกิ่งหมด (จริงๆเวลาที่ปักกิ่งใช้เวลาตามเมืองซีอานนะ เหอะๆ) เพื่อที่จะบ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจริงๆแล้วมีถึง 5 เขตเวลานู้นครับ
อ่าๆ ต่อครับๆ หยอดข้อน่าสนใจเป็นระยะๆ บ้าง 555
คนขับรถก็พาไปจอดที่ตีนเขาก่อนที่จะขึ้นหอคอยชมปลา แต่ว่าต้องนั่งรถสกู๊ตเตอร์หิมะขึ้นเท่านั้น พวกผมก็ตกลงจ่ายค่าพาขึ้นราคาคนละ 260 หยวน (ไม่คิดเป็นเงินไทยครับเดะเครียด 555) พวกผมก็ซ้อนสามพากันขึ้นไปบนเกือบถึงยอดภูเขาเป็นเวลาประมาณสิบกว่านาที คือจะเล่าอะไรให้ฟัง หมวกกันน็อคผมมันปิดสนิทไม่ได้ แล้วลมเข้าแบบเจ็บเลยอ่ะครับมันเย็นจัด (หมวกกันน็อคเต็มใบแต่กระจกหน้าปิดสนิทไม่ได้) พอไปถึงที่เขาจอดให้ลงก็เจ็บตัวล่ะ 555 คางชาจนปวดเลย

ไม่ได้ขับเองนะครับ ขอสร้างภาพทำเป็นว่าขับเอง 555

อีกซักรูป 555

ตอนนั้นสิบโมงกว่าๆครับ พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นพอดี...
[CR] ป่ะ...พวกเราไปเที่ยวพรมแดนสี่ประเทศในฤดูหนาวนี้กันดีกว่า!! คานาสือและหมู่บ้านเหอมู่ (喀纳斯和禾木乡) ตอนที่ [2]
ความเดิมตอนที่แล้ว ตอนที่ [1] ที่หมู่บ้านเหอมู่ (禾木乡)
เผื่อใครพลาดยังไม่ได้อ่าน เหอะๆ
ผมขอให้ทุกท่านนอนอ่านเลยครับและมาร่วมการเดินทางคลายร้อนไปพร้อมๆกับพวกผม...
สวัสดีครับพี่น้องคนไทยทุกคน
ต่อจากความเดิมนะครับ คนขับรถบอกว่าจะมารับประมาณสิบโมงกว่า พอถึงเวลาก็เงียบไป พวกผมก็เริ่มเอะใจแล้วว่าจะมาไหมนิ เริ่มกังวลนิดๆ เพราะเราไม่มีตัวเลือกแล้ว เลยโทรหาอีกที เขาก็บอกว่าเดี๊ยวบ่ายสองมารับ 555 หนักข้อๆ พวกผมเลยนั่งๆนอนๆรอในห้องจนถึงเวลาที่เขามารับ ประมาณบ่ายสองครึ่ง แล้วเขาก็บอกว่าเดียวไปรับลูกค้าคนอื่นก่อน แล้วพอไปรับมาก็บอกว่าหิวเดี๋ยวไปหาอะไรกินก่อน ผมนี้เครียดเลย 5555 ยอมใจครับ พี่เขาเหี้ยมจริง~
จากนั้นพวกผมก็ได้นั่งรถมากับใครก็ไม่รู้อีกสองคนจากหมู่บ้านเหอมู่ไปยังคานาสือ คือผมก็ไม่รู้ว่าโรงแรมที่พวกผมหามาจากแผนที่เนี้ย มันอยู่ในหมู่บ้านที่เรียกว่าอะไร เอาเป็นว่าอยู่ในอุทยานแห่งชาติคานาสือละกัน พอไปถึงที่นู้นก็ประมาณหกโมงเย็นพอดี (คนขับรถใจเหี้ยมจริง 55) ช่วงเวลานั้นพระอาทิตย์ก็ได้ตกดินไปเรียบร้อยแล้ว มืด กรึ๊บ!! ไฟมีน้อยมากครับ เขาไปส่งคนอื่นก่อน หลังจากนั้น ก็พาพวกผมไปส่งที่โรงแรม
เมื่อเปิดประตูออกจากรถที่อุ่นๆแบบพร้อมนอน เท่านั้นแหละครับ รู้เรื่อง!! -30 กว่าองศา
ผมว่าผมไปที่หนาวจัดมาหลายที่นะครับ อุณหภูมิที่กำลังดี (สำหรับตัวผมนะ) คืออยู่ที่ -10 ถึง -18 ครับ ถ้า ถึงประมาณ -20 นี้ก็เริ่มอยู่ยากละครับ จะปวดนู้นเจ็บนี้ ถ้าเลยลงไปถึง -30 นี้คืออยู่แทบไม่ได้ 5555 ความรู้สึกที่หายใจเข้าแล้วปวดหน้าอกอ่ะครับ ผมไม่ได้เวอร์เลยครับ รู้สึกเหมือนปอดจะเริ่มแข็ง 555
มันให้อารมณ์แบบเวลาเดินออกจากเซเว่น แล้วโดนลมร้อนตบหน้าแรงๆอ่ะครับ แต่ตรงกันข้าม โดนลมหนาวตบหน้าเข้าสามทิศเลย 555 รู้สึกถึงน้ำมูกในจมูกแข็งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วคนขับก็บอกให้รอแป๊บเดียวไปเอากุญแจห้องมาให้ คือด้วยความที่ยังช็อคกับอุณภูมิเปลี่ยนเฉียบพลันอยู่ ก็เริ่มสั่นเกร็ง พอเดินๆไปดูรอบๆแถวโรงแรม เจอพี่แกยืนดูดบุหรี่อยู่ 555 เหี้ยมแท้ ผมก็บอกไปว่าอยากเข้าห้องละนิไม่ไหวแล้วหนาว เขาก็พยักหน้าแล้วก็เดินไปเอากุญแจมาเปิดให้
ก่อนที่เขาจะมาพวกผมก็มองเห็นแมวอัลไตตัวหนึ่ง (เห็นอะไรที่ไหนก็เรียกชื่อตามสถานที่นั้น) ผมก็สงสัยว่ามันไม่หนาวรึไงนิ พอเปิดประตูเข้าห้องเท่านั้นแหละครับ...
และนี้คือคำตอบว่ามันหนาวไหม 555
นี้ผมลงทุนสร้างแชแนลยูทูป มาเพื่อให้พี่น้องได้เห็นกันเลยนะเนี้ย 555
พอเข้ามาในห้องก็รู้สึกอุ่นกว่าข้างนอก นิ๊ดดดดเดียววว 555 เพราะเครื่องทำความอุ่นที่เห็นอยู่นั้นคือได้มาจากที่บ้านเขาก่อกองไฟ (แท่งๆสีขาวข้างๆเตียงอ่ะครับ) สรุปถ้าเติมลมพัดเบาๆเข้าไปก็คือข้างนอกเลยอ่ะครับ อยู่ยากจริง แล้วสิ่งแรกที่ผมต้องเข้าไปเช็คก็คือน้ำครับ เพราะได้ยินเสียงเหมือนน้ำไหลตลอดเวลา พอเข้าไปเปิดไฟดูก๊อกน้ำเปิดทิ้งไว้เบาๆ ผมก็เลยปิด พอคนขับรถ (โรงแรมที่นี้เป็นของพี่สาวคนขับรถครับ ธุรกิจครอบครัวอ่ะนะ) แล้วเขาเข้ามาจะถามว่าวันพรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหนไหม ก่อนที่พวกผมจะตอบ เขาก็เดินเข้าไปเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้และก็บอกว่าถ้าปิดนะ ท่อน้ำจะเป็นน้ำแข็งและจะใช้ไม่ได้อีกเลย 555 หนักข้อเข้าไปอีก
พวกผมก็บอกเขาไปว่าพรุ่งนี้อยากไป หอคอยชมปลา (观鱼台) และก็จะกลับลงไปปูเออร์จินเลย (เพราะว่าใช้เวลาที่เหอมู่สองวัน บวกกับ ที่คานาสือมันไปไหนไม่ได้ถนนทางเดินหิมะบล็อกหมด) เขาก็บอกโอเครๆ
หลังจากนั้นผมก็ลืมถามเขาไปเรื่องน้ำอุ่น ผมเลยลองไปดูว่ามีไหม คือถึงจุดนี้แล้วขอให้มีน้ำอุ่นๆอาบหน่อยเหอะนะ พอผมเปิดรอให้น้ำอุ่นมาซักพักเครื่องทำน้ำอุ่นก็เริ่มทำงาน ดีใจมากครับ!! แต่... ความพอดีไม่มีครับ ร้อนจนลวก 555 พอปรับมาฝั่งเย็นแบบประมาณ 1° น้ำกลับมาเย็นเจี๊ยบทันทีครับ อันนี้ไม่เวอร์เลยครับ 555 พอปรับไปฝั่งอุ่นอีกครั้งแบบบิดไป แบบกระพิบตายังไม่ทันสุดเลย น้ำก็ร้อนจนลวกอีกเหมือนเดิม ผมนี้ยอมใจโรงแรมนี้เลยครับ 555 ผมก็เลยทักไปถามคนขับรถแล้วเขาก็บอกว่าปกติห้องนี้เขาเปิดให้ช่วงฤดูร้อนแต่เห็นว่ามีคนหาที่อยู่เลยเปิดให้พัก
จากนั้นก็เริ่มหิวกันแล้วเลยไปหาอะไรกินซึ่งคนขับรถบอกว่าให้ออกไปเดินหาตามถนนเอา ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ... 555 ก็เลยตัดสินใจออกไปหาอะไรกินและซื้อเสบียงอาหารมาตุนด้วย ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ทำใจอยู่ซักพักแล้วก็ออกมาข้างนอก แล้วก็เดินแบบเปิดไฟมือถือเดินหาทางเอา แล้วสัญญาณเน็ตก็ไม่ค่อยดี พอเดินไปเดินมาก็เจอถนน ก็เดินตามทาง และในที่สุดก็เจอครับ เข้าไปก็สั่งนู้นนี้ด้วยราคาที่แพงกว่าปกติประมาณ 3 เท่าตัว แต่ต้องยอมครับ เหอะๆ คือไม่ได้ถ่ายรูปอาหารเลยแบตมือถือดับกันหมด พอกินข้าวเสร็จก็พากันเดินกลับ
ระหว่างทางเจอคนกินบะหมี่ทิ้งไว้ คือต้องใจเย็นแค่ไหนกว่าจะเข้าปากแข็งกลางอากาศแล้วก็ทิ้งไว้เลย 555
พอเดินกลับ หาทางกลับไม่เจอครับเพราะมันมืด เปิดมือถือก็เปิดไม่ติดแล้วด้วย งานเข้าสิครับ 555 เดินไปเดินมาได้อยู่พักใหญ่ๆ อาการเริ่มแย่ลงเรื่อยๆครับ ยิ่งดึก ยิ่งเย็น ยิ่งชื้น คืออะไรที่ชื้นๆนี้มันแย่ที่สุดในโลกแล้วครับเช่น ที่ไทย ร้อนชื้น = “ร้อนอ่ะ ไม่ไหวแล้วๆ หลบร่มหน่อยดีกว่าๆ (เดินไปใต้ต้นไม้) ซื้อน้ำชาดำเย็นดื่มให้ชื่นใจดีกว่า...” และที่คานาสือ หนาวชื่น = “ย๊ะๆ แย่ แย่ๆ แล้วๆ (เงียบ… สั่น… ตัวเกร็ง...)” 5555 ผมเข้าใจอย่างสุดซึ้งแล้วครับ ไอ้ที่บอกว่าหนาวจนตายนี้มันเป็นยังไง ดังนั้นผมสามารถตอบคำถามโลกแตกที่พบเจอกันหลายครั้งในชีวิตว่าระหว่างร้อนกับหนาวอันไหนมันหนักข้อกว่ากัน หนาวครับ เพราะอันตรายมากกว่าหลายเท่าตัว แต่สุดท้ายเดินไปเดินมาก็เจอซอยเข้าโรงแรมจนได้ครับ
ตอนกลางคืนนอนหลับๆตื่นๆครับเพราะว่าหนาวบวกกับแมวมาคุ้ยขนมกิน แล้วไม่พอไปขูดประตูจะออกไปฉี่ข้างนอกอีก ผมเลยต้องลุกจากผ้าห่มเดินไปเปิดประตูให้ แล้วมันก็เงียบไปเลย ซักพัก ผมรู้สึกเป็นห่วงว่ามันจะหนาวตายข้างนอกไหมหน้อ เลยเปิดประตูออกไปดู ภาพเดจาวูเหมือนตอนแรกเลยครับ แมวอัลไตรีบวิ่งเข้ามาในห้องแล้วไปขดตัวที่ปลายเตียง 555
มาๆ พอเรื่องหนาวละ เด๊ะพวกเราไปดูว่าความ “หนาวกว่า” เป็นอย่างไร (ยังครับ ยังหนาวไม่พอ… เหอะๆ)
วันรุ่งขึ้นพวกผมได้ออกจากโรงแรมกันแต่เช้ามืดโดยมีใครก็ไม่รู้ติดรถไปด้วยอีกแล้วครับ นิจะเล่าอะไรให้ฟังเรื่องเวลาของคนแถวนี้เนี้ย คือเวลาจริงๆมันจะช้ากว่าเวลาที่ปักกิ่งกว่า 2 ชม. คือจะทำอะไรก็ช้ากว่า แล้วที่ช้ากว่าในที่นี้หมายถึง ก็ใช้ชีวิตกันตามปกติแหละครับแค่ตัวเลขเวลาจะเร็วกว่าเช่น ปกติคนปักกิ่งทำงาน 9 โมงเช้า ที่อุรุมชี ทำงาน 10 โมงเช้าในฤดูหนาว และ 9 โมงครึ่งในฤดูร้อน เพราะว่าประเทศจีนใช้เวลาตามปักกิ่งหมด (จริงๆเวลาที่ปักกิ่งใช้เวลาตามเมืองซีอานนะ เหอะๆ) เพื่อที่จะบ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจริงๆแล้วมีถึง 5 เขตเวลานู้นครับ
อ่าๆ ต่อครับๆ หยอดข้อน่าสนใจเป็นระยะๆ บ้าง 555
คนขับรถก็พาไปจอดที่ตีนเขาก่อนที่จะขึ้นหอคอยชมปลา แต่ว่าต้องนั่งรถสกู๊ตเตอร์หิมะขึ้นเท่านั้น พวกผมก็ตกลงจ่ายค่าพาขึ้นราคาคนละ 260 หยวน (ไม่คิดเป็นเงินไทยครับเดะเครียด 555) พวกผมก็ซ้อนสามพากันขึ้นไปบนเกือบถึงยอดภูเขาเป็นเวลาประมาณสิบกว่านาที คือจะเล่าอะไรให้ฟัง หมวกกันน็อคผมมันปิดสนิทไม่ได้ แล้วลมเข้าแบบเจ็บเลยอ่ะครับมันเย็นจัด (หมวกกันน็อคเต็มใบแต่กระจกหน้าปิดสนิทไม่ได้) พอไปถึงที่เขาจอดให้ลงก็เจ็บตัวล่ะ 555 คางชาจนปวดเลย
ไม่ได้ขับเองนะครับ ขอสร้างภาพทำเป็นว่าขับเอง 555
อีกซักรูป 555
ตอนนั้นสิบโมงกว่าๆครับ พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นพอดี...
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น