
ค่อนข้างเห็นความเชื่อมต่อกันระหว่าง Season 2 มา Season 3 มากเลยล่ะ เรียกว่าเปิดดูต่อกันก็ไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง เหมือนถ่ายทำต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ แบบไม่พักเลยด้วยซ้ำ (นั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไม Season 4 ของ Queer Eye ถึงพยายามบิดคอนเซ็ปต์รายการผ่านตัวแขกรับเชิญไปแบบนั้น) แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ใน Season 3 ก็มีหลาย EP หลายโมเมนต์ที่น่าจดจำ ควรค่าแก่การรับชม และโคตรบันดาลใจ!
.
Queer Eye เป็นรายการเรียลิตี้สไตล์เมคโอเวอร์ ที่มีทีม The Fab Five เป็นกูรูเกย์ผู้รอบรู้ในหลากหลายด้านมาคอยดูแลปรับเปลี่ยนปรุงโฉมให้แขกรับเชิญได้พัฒนาตัวเองขึ้นในหลายๆ ด้าน ซึ่ง 5 เกย์หนุ่มที่ว่าก็ได้แก่ Antoni ดูแลเรื่องอาหารการกิน, Tan ดูแลเรื่องแฟชั่นการแต่งตัว, Jonathan ดูแลเรื่องทรงผมและกรูมมิ่ง, Bobby ดูแลเรื่องดีไซน์การตกแต่งบ้าน และ Karamo ดูแลเรื่องการปรับวิธีคิด วิธีการใช้ชีวิต
.
แขกรับเชิญที่ดีมากๆ ของ Season นี้ สำหรับเรามีอยู่ 3 EP เริ่มที่ Deborah และ Mary สองพี่น้องผิวสีร่างใหญ่ยักษ์เจ้าของร้านบาร์บีคิวที่สืบสานธุรกิจต่อจากครอบครัว ตัวแทนของคนที่ทุ่มเททุกอย่างให้กับการทำงานหน้าเตา หาเช้ากินค่ำ จนไม่เคยมีเวลาปรนเปรอความสุขหรือดูแลตัวเองเลย เสน่ห์ของสองพี่น้องนั้นทำให้เรายิ้มได้ตลอดเวลา และที่ทำให้น้ำตาอาบก็คือซีนที่ Jonathan พา Deborah ไปทำฟันใหม่เพื่อแก้ปัญหาฟันซี่หน้าที่หายไป ซึ่งทำให้เธอไม่มั่นใจมาตลอดหลายสิบปี, Jess สาวเลสเบี้ยนผิวสีที่ถูกครอบครัวเตะออกจากบ้านทันทีที่รู้ว่าเธอเป็นเลสฯ ทำให้เธอโดดเดี่ยว และไม่เคยรู้สึกถึงการมีอยู่ของครอบครัว เป็นอีกครั้งที่ Bobby ได้เปิดเผยเรื่องราวในชีวิตที่คล้ายกันกับเธอ และความเข้มแข็งของ Jess ก็ทำให้เราชื่นชมเธอมาก และ Rob คุณพ่อลูกสองที่สูญเสียภรรยาไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วจากโรคมะเร็ง เรื่องราวการ Move on โดยมียังเก็บผู้หญิงที่เค้ารักที่สุดไว้ในใจและมุมเล็กๆ ของบ้านมันทั้งอบอุ่นและสะเทือนใจจริงๆ
.
มีหลายๆ อย่างที่เราได้จาก Queer Eye และมีอีกหลายอย่างที่เราพบว่าตัวเราเองก็มีปัญหา ทั้งการปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงคำชม เพราะคิดว่าตัวเองดีไม่พอ, ความรู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งก็มาจากการตัดขาดหรือสร้างกำแพงขึ้นมากีดกันคนอื่นๆ ออกไปจากชีวิตของตัวเองแท้ๆ หรือแม้แต่ความไม่มั่นใจในตัวเอง ที่เกิดขึ้นเป็นพักๆ ถึงเราจะเสแสร้งแกล้งทำว่าตัวเองมั่นอกมั่นใจมากแค่ไหนก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ... ก็นั่นล่ะ ชีวิตยังมีเรื่องให้เราเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองต่อไปไม่จบสิ้น พยายามต่อไปนะ!
.
ป.ล. ชอบมากที่ในที่สุดเราก็เจอคนดื้อที่ต่อต้าน The Fab Five ทั้งๆ ที่ Jonathan อุตส่าห์จัดแต่งเคราและทรงผมให้หล่อสุดๆ แล้ว แต่ก็มีแขกรับเชิญคนหนึ่งตัดสินใจโกนหนวดนั้นซะเกลี้ยง หลังจากที่ The Fab Five กลับไปแล้ว เหวอดี!
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่
เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
[CR] [Review] Queer Eye: Season 3 (2019)
ค่อนข้างเห็นความเชื่อมต่อกันระหว่าง Season 2 มา Season 3 มากเลยล่ะ เรียกว่าเปิดดูต่อกันก็ไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง เหมือนถ่ายทำต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ แบบไม่พักเลยด้วยซ้ำ (นั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไม Season 4 ของ Queer Eye ถึงพยายามบิดคอนเซ็ปต์รายการผ่านตัวแขกรับเชิญไปแบบนั้น) แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ใน Season 3 ก็มีหลาย EP หลายโมเมนต์ที่น่าจดจำ ควรค่าแก่การรับชม และโคตรบันดาลใจ!
.
Queer Eye เป็นรายการเรียลิตี้สไตล์เมคโอเวอร์ ที่มีทีม The Fab Five เป็นกูรูเกย์ผู้รอบรู้ในหลากหลายด้านมาคอยดูแลปรับเปลี่ยนปรุงโฉมให้แขกรับเชิญได้พัฒนาตัวเองขึ้นในหลายๆ ด้าน ซึ่ง 5 เกย์หนุ่มที่ว่าก็ได้แก่ Antoni ดูแลเรื่องอาหารการกิน, Tan ดูแลเรื่องแฟชั่นการแต่งตัว, Jonathan ดูแลเรื่องทรงผมและกรูมมิ่ง, Bobby ดูแลเรื่องดีไซน์การตกแต่งบ้าน และ Karamo ดูแลเรื่องการปรับวิธีคิด วิธีการใช้ชีวิต
.
แขกรับเชิญที่ดีมากๆ ของ Season นี้ สำหรับเรามีอยู่ 3 EP เริ่มที่ Deborah และ Mary สองพี่น้องผิวสีร่างใหญ่ยักษ์เจ้าของร้านบาร์บีคิวที่สืบสานธุรกิจต่อจากครอบครัว ตัวแทนของคนที่ทุ่มเททุกอย่างให้กับการทำงานหน้าเตา หาเช้ากินค่ำ จนไม่เคยมีเวลาปรนเปรอความสุขหรือดูแลตัวเองเลย เสน่ห์ของสองพี่น้องนั้นทำให้เรายิ้มได้ตลอดเวลา และที่ทำให้น้ำตาอาบก็คือซีนที่ Jonathan พา Deborah ไปทำฟันใหม่เพื่อแก้ปัญหาฟันซี่หน้าที่หายไป ซึ่งทำให้เธอไม่มั่นใจมาตลอดหลายสิบปี, Jess สาวเลสเบี้ยนผิวสีที่ถูกครอบครัวเตะออกจากบ้านทันทีที่รู้ว่าเธอเป็นเลสฯ ทำให้เธอโดดเดี่ยว และไม่เคยรู้สึกถึงการมีอยู่ของครอบครัว เป็นอีกครั้งที่ Bobby ได้เปิดเผยเรื่องราวในชีวิตที่คล้ายกันกับเธอ และความเข้มแข็งของ Jess ก็ทำให้เราชื่นชมเธอมาก และ Rob คุณพ่อลูกสองที่สูญเสียภรรยาไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วจากโรคมะเร็ง เรื่องราวการ Move on โดยมียังเก็บผู้หญิงที่เค้ารักที่สุดไว้ในใจและมุมเล็กๆ ของบ้านมันทั้งอบอุ่นและสะเทือนใจจริงๆ
.
มีหลายๆ อย่างที่เราได้จาก Queer Eye และมีอีกหลายอย่างที่เราพบว่าตัวเราเองก็มีปัญหา ทั้งการปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงคำชม เพราะคิดว่าตัวเองดีไม่พอ, ความรู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งก็มาจากการตัดขาดหรือสร้างกำแพงขึ้นมากีดกันคนอื่นๆ ออกไปจากชีวิตของตัวเองแท้ๆ หรือแม้แต่ความไม่มั่นใจในตัวเอง ที่เกิดขึ้นเป็นพักๆ ถึงเราจะเสแสร้งแกล้งทำว่าตัวเองมั่นอกมั่นใจมากแค่ไหนก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ... ก็นั่นล่ะ ชีวิตยังมีเรื่องให้เราเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองต่อไปไม่จบสิ้น พยายามต่อไปนะ!
.
ป.ล. ชอบมากที่ในที่สุดเราก็เจอคนดื้อที่ต่อต้าน The Fab Five ทั้งๆ ที่ Jonathan อุตส่าห์จัดแต่งเคราและทรงผมให้หล่อสุดๆ แล้ว แต่ก็มีแขกรับเชิญคนหนึ่งตัดสินใจโกนหนวดนั้นซะเกลี้ยง หลังจากที่ The Fab Five กลับไปแล้ว เหวอดี!
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่ เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้