แชร์ประสบการณ์การรักษาภาวะมีบุตรยาก IUI & IVF
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เราแต่งงานตอนอายุ 27 ส่วนสามีอายุ 29 แต่งงานกันมา 1 ปีโดยไม่ได้คุมกำเนิดแต่ไม่ตั้งครรภ์สักที จึงไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและรักษาภาวะผู้มีบุตรยากคะ
ขั้นตอนแรกแพทย์ก็จะให้ตรวจสุขภาพทั้งสองฝ่าย ซึ่งผลตรวจเลือดและผลตรวจน้ำเชื้อของสามีก็ปกติ แพทย์จึงให้เราไปฉีดสี เพื่อดูท่อนำไข่และพบว่าท่อนำไข่ตีบอยู่หนึ่งข้าง จึงทำการรักษา…
แพทย์ให้เริ่มรักษาโดยวิธี IUI (Intrauterine insemination) ซึ่งวิธีนี้เป็นการฉีดเชื้ออสุจิที่เตรียมไว้ เข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง ด้วยการใช้ท่อพลาสติกเล็ก ๆ สอดผ่านปากมดลูกแล้วฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในช่วงที่ไข่ตก โดยที่อสุจิไม่ต้องว่ายผ่านปากมดลูก ทำให้มีอสุจิที่เคลื่อนไหวจำนวนมาก เข้าไปในโพรงมดลูก และพร้อมที่จะผสมกับไข่ที่ตกลงมา ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้
IUI ครั้งที่ 1 แพทย์จะให้ยามารับประทาน เพื่อเป็นการกระตุ้นรังไข่ให้ผลิตไข่ของรอบเดือนนั้น ได้หลายๆใบ เริ่มจากให้ยารับประทานในขนาดน้อยก่อน หลังจากนั้นแพทย์ก็นัดมาอัลตราซาวด์เพื่อดูขนาด จำนวนของไข่ และความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก เมื่อไข่มีขนาดพอเหมาะ แพทย์ก็จะให้ยาเพื่อฉีดกระตุ้นให้มีการตกไข่ แต่ในเดือนนี้ไข่ของเราที่กระตุ้นได้อยู่ในข้างที่ท่อนำไข่ตีบ แพทย์เลยไม่ได้ทำการฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูกแต่นับวันให้แล้วให้ไปทำตามวิธีธรรมชาติ ซึ่งผลสรุปก็คือไม่ประสบผลสำเร็จคะ😭
IUI ครั้งที่ 2 ขั้นตอนก็จะเหมือนกับการทำครั้งแรก แต่ครั้งนี้ได้ไข่ในข้างที่ท่อนำไข่ปกติ หลังจากผ่านกระบวนการรับประทานยากระตุ้นไข่ที่เพิ่มขนาดจากครั้งแรก และฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตกแล้ว แพทย์ก็จะนัดฉีดเชื้ออสุจิเข้าโพรงมดลูกในวันที่ไข่ตก ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ😭
ปล.การทำ IUI ครั้งที่ 1และ2 นี้เราเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลใน กทม. เราคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ IUI 2ครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะความตั้งใจที่มากเกินไปจนเกิดความเครียด และการเดินทางด้วย
โดยค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพ และการรักษา 2 ครั้งนี้ ประมาณ 60,000 บาทคะ
พักสักระยะ (หลายเดือน)…
IUI ครั้งที่ 3 มีแพทย์ด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก มาเปิดที่คลินิกในจังหวัดที่เราอยู่พอดี ก็เลยขอลองรักษาอีกสักครั้งนึง ซึ่งขั้นตอนการรักษาก็เหมือนกับที่เคยทำมา แต่เราก็ตั้งใจมาก แล้วก็เครียดเหมือนเดิม ผลสุดท้ายก็คือไม่ประสบผลสำเร็จ 😭
โดยค่าใช้จ่ายในการรักษาครั้งนี้ ประมาณ 30,000 บาทคะ
เสียใจ พักสักระยะเหมือนเดิมค่ะ (6เดือนได้ค่ะ)…
IUI ครั้งที่ 4 ครั้งนี้ย้ายคลินิกที่รักษาอีกแล้วค่ะ คลินิกนี้มีคนแนะนำแต่อยู่อีกจังหวัดนึงต้องเดินทาง ประมาณ 4 ชม.ต้องเดินทางอีกแล้ว แต่ขอลองดูสักครั้งคะ แพทย์ที่นี้น่ารักมาก ครั้งแรกที่ไปก็จะพูดคุยหาแนวทางร่วมกัน จากประวัติการรักษา แพทย์ก็ให้เลือกว่าจะลอง IUI อีกครั้ง หรือจะทำIVF เลย เราก็แล้วแต่แพทย์เลย สุดท้ายก็ได้ทำ IUI ครั้งที่ 4 เริ่มแรกด้วยการตรวจเลือดและตรวจน้ำเชื้อเหมือนเดิม ซึ่งผลก็ปกติคะ แล้วแพทย์ก็จะให้ยารับประทานกับยาฉีดมากระตุ้นไข่คะ จากนั้นก็นัดมาอัลตราซาวด์และฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตก แล้วนัดมาฉีดเชื้อคะ ครั้งนี้เราก็ยังคงความตั้งใจมากจนเครียด กินยาตรงเวลา ฉีดยาตรงเวลามากๆ ดูแลตัวเองและสามีแบบดีมาก ผลตรวจเชื้อก่อนฉีดเชื้อก็ดี แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเหมือนเดิมค่ะ😭 โดยค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพ และการรักษาครั้งนี้ประมาณ 20,000 บาทคะ
IVF ครั้งที่ 1 IVF (In – vitro Fertilization) หรือการทำเด็กหลอดแก้วเป็นการนำไข่กับอสุจิมาผสมกันนอกร่างกาย เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิในห้องปฏิบัติการ แล้วจึงนำไปใส่เข้าสู่มดลูก เพื่อให้เจริญเติบโตอยู่ในครรภ์ตามปกติต่อไป โดยเราก็รักษาที่คลินิกเดิมนี่แหละค่ะ รักษาต่อเนื่องเดือนต่อมาเลยคะ มาเริ่มกันเลยคะ…
แพทย์นัดมาอัลตราซาวด์ ตรวจฮอร์โมน แล้วให้รับประทานยาคุมกำเนิดเพื่อปรับไข่ ปรับฮอร์โมน (ค่าใช้จ่าย 3,600 บาท)
แพทย์นัดมาอัลตราซาวด์ และให้ยาฉีดกระตุ้นไข่ (ค่าใช้จ่าย 20,400 บาท)
แพทย์นัดมาอัลตราซาวด์ ให้ยาฉีดกระตุ้นไข่ต่อ และยาฉีดป้องกันไม่ให้ไข่ตก (ค่าใช้จ่าย 33,800 บาท)
แพทย์นัดมาอัลตราซาวด์ และยาฉีดกระตุ้นให้ไข่ตก (ค่าใช้จ่าย 3,200 บาท)
เมื่อได้ไข่ในขนาดที่เหมาะสม แพทย์จะนัดเก็บไข่ และน้ำเชื้อ (ค่าใช้จ่าย60,450 บาท) : โดยแพทย์จะวางยาสลบ เพื่อทำการดูดไข่ออกด้วยการใช้เข็มดูดผ่านทางช่องคลอด ร่วมกับการใช้อัลตราซาวด์ ซึ่งแพทย์จะใช้อุปกรณ์ดูดไข่ทั้งหมดที่มีอยู่ ซึ่งของเราเก็บได้ไข่ 19 ใบ แต่มีไข่ที่สมบูรณ์11 ใบ หลังจากผสมกับอสุจิและเลี้ยงไป 1 วัน มีการพัฒนาเป็นตัวอ่อน 9 ตัวอ่อน , 3 วัน เหลือ 6 ตัวอ่อน และ 5 วัน ได้ตัวอ่อนในระยะ blastocyst 3 ตัวอ่อนค่ะ
ปล. หลังการเก็บไข่จะมีอาการปวดหน่วงๆบริเวณท้องน้อย หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดเล็กน้อย แต่ของเรามีแต่อาการปวดหน่วงๆนิดหน่อย
ต่อมาแพทย์จะนัดเตรียมผนังมดลูก โดยให้ยาฮอร์โมนมารับประทานและมีค่าเก็บรักษาตัวอ่อนด้วยคะ (ค่าใช้จ่าย 14,600 บาท)
นัดอัลตราซาวด์ และให้ยาฮอร์โมนมารับประทาน และยาฮอร์โมนมาเหน็บช่องคลอด เพื่อเตรียมผนังมดลูกต่อคะ (ค่าใช้จ่าย 3,350 บาท)
นัดใส่ตัวอ่อน และให้ยาฮอร์โมนมารับประทาน กับยาฮอร์โมนมาเหน็บช่องคลอด เพื่อช่วยให้ผนังมดลูกพร้อมในการฝังตัวต่อเนื่องค่ะ (ค่าใช้จ่าย 25,800 บาท) ในขั้นตอนการใส่ตัวอ่อน แพทย์จะให้กลั้นปัสสาวะเพื่อให้กระเพาะปัสสาวะดันมดลูกให้ลอยขึ้นมาในลักษณะตรงๆ (เราคิดว่าน่าจะช่วยให้การใส่ตัวอ่อนง่ายขึ้น) ซึ่งวิธีการใส่ตัวอ่อนก็จะมีท่อพลาสติกขนาดเล็กใส่เข้าไปในมดลูกก่อนเหมือนเป็นท่อนำทาง แล้วค่อยนำตัวอ่อนที่อยู่ในสายเล็กๆใส่ตามเข้าไปในโพรงมดลูก เราก็จะเห็นตัวอ่อนเป็นก้อนขาวๆเล็กๆเข้ามาในโพรงมดลูกจากเครื่องอัลตราซาวด์ที่อยูบนหน้าท้องเรา ปล.เราใส่ตัวอ่อนครั้งแรก 1 ตัวอ่อนก่อน ขณะที่แพทย์กำลังใส่ตัวอ่อนเราพยามไม่เกร็ง ปล่อยตัวตามสบายๆ หายใจเข้าออกลึกๆ
หลังใส่ตัวอ่อน เรามีเลือดแบบจางๆนิดหน่อยติดผ้าอนามัย เราก็ปฏิบัติตัวตามปกติ แต่ระมัดระวังมากขึ้น ไม่ได้นอนติดเตียง เดินปกติ แต่ไม่มาก ไม่ยกของหนัก ไม่อาบน้ำอุ่น แต่ลางานอยู่บ้าน 1 อาทิตย์เวลากลับมาทำงานต้องเดินขึ้นลงบันได 4 ชั้น ก็เดินช้าๆ การใส่ตัวอ่อนครั้งนี้เหมือนจะรู้สึกสบาย ชิวๆ ไม่เครียด ไม่อยากคาดหวัง ทำใจให้สบายๆ
แพทย์จะนัดตรวจเลือด HCG ในวันที่ 12 หลังจากใส่ตัวอ่อน : ที่จริงเราแอบตรวจการตั้งครรภ์ ตั้งแต่วันที่ 7 หลังใส่ตัวอ่อน ขึ้นสองขีดแต่จางมาก เราก็ตรวจซ้ำทุกเช้า ขีดก็จะเข้มขึ้นเรื่อยๆคะ แต่ก็ยังไม่มั่นใจ รอผลตรวจเลือกอีกที เราตรวจได้ค่า HCG 3xx mIU/ml แสดงว่า ตั้งครรภ์แล้วค่ะ 😍 แพทย์ยังให้ยาฮอร์โมนรับประทาน กับยาฮอร์โมนมาเหน็บช่องคลอดต่อค่ะ (ค่าใช้จ่าย 5,600 บาท)
นัดอัลตร้าซาวด์ อายุครรภ์ 6 , 8 ,10 สัปดาห์ (นับอายุครรภ์จากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย)
จากนั้นก็ฝากครรภ์ตามปกติคะ 😍
เป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนนะคะ ระหว่างการรักษาอาจรู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจ แต่เมื่อมีลูกน้อยมาอยู่ในครรภ์ คุณแม่จะรู้สึกว่าคุ้มค่ากับความพยายามและการรอคอยมากคะ ✌️✌️✌️
[CR] ภาวะมีบุตรยาก IVF
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เราแต่งงานตอนอายุ 27 ส่วนสามีอายุ 29 แต่งงานกันมา 1 ปีโดยไม่ได้คุมกำเนิดแต่ไม่ตั้งครรภ์สักที จึงไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและรักษาภาวะผู้มีบุตรยากคะ
ขั้นตอนแรกแพทย์ก็จะให้ตรวจสุขภาพทั้งสองฝ่าย ซึ่งผลตรวจเลือดและผลตรวจน้ำเชื้อของสามีก็ปกติ แพทย์จึงให้เราไปฉีดสี เพื่อดูท่อนำไข่และพบว่าท่อนำไข่ตีบอยู่หนึ่งข้าง จึงทำการรักษา…
แพทย์ให้เริ่มรักษาโดยวิธี IUI (Intrauterine insemination) ซึ่งวิธีนี้เป็นการฉีดเชื้ออสุจิที่เตรียมไว้ เข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง ด้วยการใช้ท่อพลาสติกเล็ก ๆ สอดผ่านปากมดลูกแล้วฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในช่วงที่ไข่ตก โดยที่อสุจิไม่ต้องว่ายผ่านปากมดลูก ทำให้มีอสุจิที่เคลื่อนไหวจำนวนมาก เข้าไปในโพรงมดลูก และพร้อมที่จะผสมกับไข่ที่ตกลงมา ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้
IUI ครั้งที่ 1 แพทย์จะให้ยามารับประทาน เพื่อเป็นการกระตุ้นรังไข่ให้ผลิตไข่ของรอบเดือนนั้น ได้หลายๆใบ เริ่มจากให้ยารับประทานในขนาดน้อยก่อน หลังจากนั้นแพทย์ก็นัดมาอัลตราซาวด์เพื่อดูขนาด จำนวนของไข่ และความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก เมื่อไข่มีขนาดพอเหมาะ แพทย์ก็จะให้ยาเพื่อฉีดกระตุ้นให้มีการตกไข่ แต่ในเดือนนี้ไข่ของเราที่กระตุ้นได้อยู่ในข้างที่ท่อนำไข่ตีบ แพทย์เลยไม่ได้ทำการฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูกแต่นับวันให้แล้วให้ไปทำตามวิธีธรรมชาติ ซึ่งผลสรุปก็คือไม่ประสบผลสำเร็จคะ😭
IUI ครั้งที่ 2 ขั้นตอนก็จะเหมือนกับการทำครั้งแรก แต่ครั้งนี้ได้ไข่ในข้างที่ท่อนำไข่ปกติ หลังจากผ่านกระบวนการรับประทานยากระตุ้นไข่ที่เพิ่มขนาดจากครั้งแรก และฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตกแล้ว แพทย์ก็จะนัดฉีดเชื้ออสุจิเข้าโพรงมดลูกในวันที่ไข่ตก ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ😭
ปล.การทำ IUI ครั้งที่ 1และ2 นี้เราเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลใน กทม. เราคิดว่าสาเหตุที่ทำให้ IUI 2ครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะความตั้งใจที่มากเกินไปจนเกิดความเครียด และการเดินทางด้วย
โดยค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพ และการรักษา 2 ครั้งนี้ ประมาณ 60,000 บาทคะ
พักสักระยะ (หลายเดือน)…
IUI ครั้งที่ 3 มีแพทย์ด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก มาเปิดที่คลินิกในจังหวัดที่เราอยู่พอดี ก็เลยขอลองรักษาอีกสักครั้งนึง ซึ่งขั้นตอนการรักษาก็เหมือนกับที่เคยทำมา แต่เราก็ตั้งใจมาก แล้วก็เครียดเหมือนเดิม ผลสุดท้ายก็คือไม่ประสบผลสำเร็จ 😭
โดยค่าใช้จ่ายในการรักษาครั้งนี้ ประมาณ 30,000 บาทคะ
เสียใจ พักสักระยะเหมือนเดิมค่ะ (6เดือนได้ค่ะ)…
IUI ครั้งที่ 4 ครั้งนี้ย้ายคลินิกที่รักษาอีกแล้วค่ะ คลินิกนี้มีคนแนะนำแต่อยู่อีกจังหวัดนึงต้องเดินทาง ประมาณ 4 ชม.ต้องเดินทางอีกแล้ว แต่ขอลองดูสักครั้งคะ แพทย์ที่นี้น่ารักมาก ครั้งแรกที่ไปก็จะพูดคุยหาแนวทางร่วมกัน จากประวัติการรักษา แพทย์ก็ให้เลือกว่าจะลอง IUI อีกครั้ง หรือจะทำIVF เลย เราก็แล้วแต่แพทย์เลย สุดท้ายก็ได้ทำ IUI ครั้งที่ 4 เริ่มแรกด้วยการตรวจเลือดและตรวจน้ำเชื้อเหมือนเดิม ซึ่งผลก็ปกติคะ แล้วแพทย์ก็จะให้ยารับประทานกับยาฉีดมากระตุ้นไข่คะ จากนั้นก็นัดมาอัลตราซาวด์และฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตก แล้วนัดมาฉีดเชื้อคะ ครั้งนี้เราก็ยังคงความตั้งใจมากจนเครียด กินยาตรงเวลา ฉีดยาตรงเวลามากๆ ดูแลตัวเองและสามีแบบดีมาก ผลตรวจเชื้อก่อนฉีดเชื้อก็ดี แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเหมือนเดิมค่ะ😭 โดยค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพ และการรักษาครั้งนี้ประมาณ 20,000 บาทคะ
IVF ครั้งที่ 1 IVF (In – vitro Fertilization) หรือการทำเด็กหลอดแก้วเป็นการนำไข่กับอสุจิมาผสมกันนอกร่างกาย เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิในห้องปฏิบัติการ แล้วจึงนำไปใส่เข้าสู่มดลูก เพื่อให้เจริญเติบโตอยู่ในครรภ์ตามปกติต่อไป โดยเราก็รักษาที่คลินิกเดิมนี่แหละค่ะ รักษาต่อเนื่องเดือนต่อมาเลยคะ มาเริ่มกันเลยคะ…
แพทย์นัดมาอัลตราซาวด์ ตรวจฮอร์โมน แล้วให้รับประทานยาคุมกำเนิดเพื่อปรับไข่ ปรับฮอร์โมน (ค่าใช้จ่าย 3,600 บาท)
แพทย์นัดมาอัลตราซาวด์ และให้ยาฉีดกระตุ้นไข่ (ค่าใช้จ่าย 20,400 บาท)
แพทย์นัดมาอัลตราซาวด์ ให้ยาฉีดกระตุ้นไข่ต่อ และยาฉีดป้องกันไม่ให้ไข่ตก (ค่าใช้จ่าย 33,800 บาท)
แพทย์นัดมาอัลตราซาวด์ และยาฉีดกระตุ้นให้ไข่ตก (ค่าใช้จ่าย 3,200 บาท)
เมื่อได้ไข่ในขนาดที่เหมาะสม แพทย์จะนัดเก็บไข่ และน้ำเชื้อ (ค่าใช้จ่าย60,450 บาท) : โดยแพทย์จะวางยาสลบ เพื่อทำการดูดไข่ออกด้วยการใช้เข็มดูดผ่านทางช่องคลอด ร่วมกับการใช้อัลตราซาวด์ ซึ่งแพทย์จะใช้อุปกรณ์ดูดไข่ทั้งหมดที่มีอยู่ ซึ่งของเราเก็บได้ไข่ 19 ใบ แต่มีไข่ที่สมบูรณ์11 ใบ หลังจากผสมกับอสุจิและเลี้ยงไป 1 วัน มีการพัฒนาเป็นตัวอ่อน 9 ตัวอ่อน , 3 วัน เหลือ 6 ตัวอ่อน และ 5 วัน ได้ตัวอ่อนในระยะ blastocyst 3 ตัวอ่อนค่ะ
ปล. หลังการเก็บไข่จะมีอาการปวดหน่วงๆบริเวณท้องน้อย หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดเล็กน้อย แต่ของเรามีแต่อาการปวดหน่วงๆนิดหน่อย
ต่อมาแพทย์จะนัดเตรียมผนังมดลูก โดยให้ยาฮอร์โมนมารับประทานและมีค่าเก็บรักษาตัวอ่อนด้วยคะ (ค่าใช้จ่าย 14,600 บาท)
นัดอัลตราซาวด์ และให้ยาฮอร์โมนมารับประทาน และยาฮอร์โมนมาเหน็บช่องคลอด เพื่อเตรียมผนังมดลูกต่อคะ (ค่าใช้จ่าย 3,350 บาท)
นัดใส่ตัวอ่อน และให้ยาฮอร์โมนมารับประทาน กับยาฮอร์โมนมาเหน็บช่องคลอด เพื่อช่วยให้ผนังมดลูกพร้อมในการฝังตัวต่อเนื่องค่ะ (ค่าใช้จ่าย 25,800 บาท) ในขั้นตอนการใส่ตัวอ่อน แพทย์จะให้กลั้นปัสสาวะเพื่อให้กระเพาะปัสสาวะดันมดลูกให้ลอยขึ้นมาในลักษณะตรงๆ (เราคิดว่าน่าจะช่วยให้การใส่ตัวอ่อนง่ายขึ้น) ซึ่งวิธีการใส่ตัวอ่อนก็จะมีท่อพลาสติกขนาดเล็กใส่เข้าไปในมดลูกก่อนเหมือนเป็นท่อนำทาง แล้วค่อยนำตัวอ่อนที่อยู่ในสายเล็กๆใส่ตามเข้าไปในโพรงมดลูก เราก็จะเห็นตัวอ่อนเป็นก้อนขาวๆเล็กๆเข้ามาในโพรงมดลูกจากเครื่องอัลตราซาวด์ที่อยูบนหน้าท้องเรา ปล.เราใส่ตัวอ่อนครั้งแรก 1 ตัวอ่อนก่อน ขณะที่แพทย์กำลังใส่ตัวอ่อนเราพยามไม่เกร็ง ปล่อยตัวตามสบายๆ หายใจเข้าออกลึกๆ
หลังใส่ตัวอ่อน เรามีเลือดแบบจางๆนิดหน่อยติดผ้าอนามัย เราก็ปฏิบัติตัวตามปกติ แต่ระมัดระวังมากขึ้น ไม่ได้นอนติดเตียง เดินปกติ แต่ไม่มาก ไม่ยกของหนัก ไม่อาบน้ำอุ่น แต่ลางานอยู่บ้าน 1 อาทิตย์เวลากลับมาทำงานต้องเดินขึ้นลงบันได 4 ชั้น ก็เดินช้าๆ การใส่ตัวอ่อนครั้งนี้เหมือนจะรู้สึกสบาย ชิวๆ ไม่เครียด ไม่อยากคาดหวัง ทำใจให้สบายๆ
แพทย์จะนัดตรวจเลือด HCG ในวันที่ 12 หลังจากใส่ตัวอ่อน : ที่จริงเราแอบตรวจการตั้งครรภ์ ตั้งแต่วันที่ 7 หลังใส่ตัวอ่อน ขึ้นสองขีดแต่จางมาก เราก็ตรวจซ้ำทุกเช้า ขีดก็จะเข้มขึ้นเรื่อยๆคะ แต่ก็ยังไม่มั่นใจ รอผลตรวจเลือกอีกที เราตรวจได้ค่า HCG 3xx mIU/ml แสดงว่า ตั้งครรภ์แล้วค่ะ 😍 แพทย์ยังให้ยาฮอร์โมนรับประทาน กับยาฮอร์โมนมาเหน็บช่องคลอดต่อค่ะ (ค่าใช้จ่าย 5,600 บาท)
นัดอัลตร้าซาวด์ อายุครรภ์ 6 , 8 ,10 สัปดาห์ (นับอายุครรภ์จากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย)
จากนั้นก็ฝากครรภ์ตามปกติคะ 😍
เป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนนะคะ ระหว่างการรักษาอาจรู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจ แต่เมื่อมีลูกน้อยมาอยู่ในครรภ์ คุณแม่จะรู้สึกว่าคุ้มค่ากับความพยายามและการรอคอยมากคะ ✌️✌️✌️
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้