(ขอคำปรึกษา)แต่งงานได้เดือนเดียวแต่ต้องแยกกันอยู่เพราะรู้สึกกลัวภรรยาที่พูดและทะเลาะแต่เรื่องเงินและผลประโยชน์ของตัวเอง

ผมแต่งงานได้เดือนเดียว แต่แยกกันอยู่กับภรรยาเพราะปัญหาเรื่องเงินและผลประโยชน์ ผมเครียดจนกลัวการใช้ชีวิตร่วมกัน กลัวจะเจอปัญหาเดิมๆ และดึงกลับมาเพราะไม่มีใครยอมใคร เรื่องราวเริ่มแรกมีดังนี้ครับ หรือจะข้ามไปอ่านหลังแต่งงานเลยก็ได้

ผมแต่งงานเข้าบ้านฝ่ายหญิง ยอมย้ายมาอยู่ต่างจังหวัด ด้วยความที่อยากเริ่มต้นชีวิตที่ต่างจังหวัดด้วย ถ้ากลับบ้านต่างจังหวัดตัวเอง ที่บ้านก็กลัวว่าจะต้องเลิกกัน ผมก็เห็นด้วย เพราะเราไม่ทะเลาะกันพักใหญ่ๆ รู้จักกันมานาน 10 ปี คบเป็นแฟนปีกว่าๆ และคิดว่ารู้จักกันดี ไว้ใจและเชื่อใจ คิดว่าถึงเวลาและอยากใช้ชีวิตร่วมกัน ถึงแม้ก่อนแต่งจะทะเลาะและอยากเลิกกันหลายครั้ง เพื่อนของเธอก็เข้าข้างเธอออยากให้เลิกกับผม บอกว่าผมไม่ได้รักจริง เธอชอบแคปหน้าจอเวลาปรึกษาเพื่อนมาให้ผมอ่านจนผมเครียดบ่อยๆ ส่วนเพื่อนผมก็เป็นห่วงบอกว่าผมไม่มีความสุข มีเรื่องให้ปวดหัวตลอด 

นิสัยผม
ไม่เอาเปรียบใคร ใจดีจนบางทีโดนเบี้ยวเรื่องเงิน
ไม่ชอบการควบคุม
คิดอะไรก็พูด เคยสอน ตำหนิเธอจนร้องไห้ แต่ใกล้แต่งผมยอมและเย็นลง
ความรับผิดชอบที่อาจยังน้อย

นิสัยเธอ
อ่อนกว่าผมปีนึง ผม 29 เธอเป็นรุ่นน้องที่มหาลัย
เรียบร้อย พูดเพราะ อ้อนเก่ง
การตัดสินใจทำอะไรต้องขออนุญาติพ่อแม่ก่อน
ทุ่มเทกับผมมากแบบไม่เคยมีใครทำแบบนี้ให้ จนผมเทให้หมดทั้งใจ เธอบอกชอบมาสิบปีแล้ว เธอทักมา แต่เมื่อก่อนไม่ได้คบกัน คบกันได้ปีกว่า ก่อนหน้านั้นเธอก็มีแฟนบ้าง ผมก็มีบ้าง
ขู่เลิกบ่อยๆ

สิ่งที่ผมทำกับเธอก่อนแต่ง
ผมพูดแรงๆ เวลาเธอไม่มีเหตุผล และความคิด ทัศนคติ ที่ไม่ถูกต้อง ผมสอนแต่บางทีพูดแรงและตรงจนเธอร้องไห้ แต่เธอจะยอมรับแค่ช่วงแรก จนเวลาผ่านไป อยู่ๆก็ดึงมันกลับขึ้นมาทะเลาะ เอาเหตุผลมาทำให้ผมผิด แคปหน้าจอเวลาปรึกษาเพื่อนมาให้อ่าน ที่เคยจับได้คือ เธอเล่าไม่หมด เล่าแค่ส่วนที่อยากเล่า จนคนอื่นด่าผม เราทะเลาะกันบ่อยมากเรื่องความคิด อีกเรื่องที่เคยทะเลาะหนักแบบไม่มีเหตุผลคือเธออยากแต่งงานมาก ทั้งที่คบกันแค่ปีเดียว เธอบอกรอผมมาสิบปีแล้ว แต่ก่อนหน้าผมยังไม่อยากแต่ง พอผมบอกจะซื้อรถเธอก็ทะเลาะหนักบอกว่าเมื่อไรจะมีเงินไปแต่ง และถ้าแต่งเธอจะได้เข้ามาทำงานในกรุงเทพ ถ้าไม่แต่งที่บ้านจะไม่ให้มา เพราะเธอตกงานหลายเดือน มีช่วงนึงผมก็สงสารเธอ ให้พ่อแม่มาคุย แต่ช่วงนั้นทะเลาะกันอีกเพราะผมไปเที่ยวผับและถ่ายรูปหน้าใกล้กับเพื่อนผู้หญิงอีกคน เพื่อนอีกคนมาเซลฟี่ ถ่ายกันหลายคน เค้าลงในไอจีเค้าเอง ผมไม่ได้สนใจ จริงๆมันไม่มีอะไร แต่เธอทะเลาะหนักปรึกษาเพื่อน แคปจอมาทำให้ผมเครียด ไปโพสเฟสว่าผมนอกใจ ซึ่งเพื่อนเธอหลายคนก็รู้จักผม จนทำให้ผมรู้สึกไม่มันใจ ขอให้ไม่ต้องไปขอ แต่จองตั๋วให้ที่บ้านมาแล้ว บ้านของเราสองคนได้คุยกัน ทำความรู้จัก ที่บ้านผมก็ชอบบ้านของเธอ เพราะดูจริงใจ น่าจะเข้ากันได้ หลังจากกลับกัน ผมก็เล่าปัญหาให้ที่บ้านฟังบ้าง แต่ไม่ได้เล่าทั้งหมดกลัวแม่จะไม่ชอบแฟน แต่แม่ผมชอบเธอเพราะเธอดูจริงใจ เนื่องจากชีวิตผมส่วนใหญ่ก็โสด แม่ก็อยากให้มีคนดีๆมาดูแล จนช่วงปลายปีผมรู้สึกอยากใช้ชีวิตต่างจังหวัด ถ้าไม่กลับบ้านตัวเอง ก็บ้านแฟน ซึ่งอยู่คนละภาค แม่ก็ถามว่าถ้าย้ายกลับบ้านก็กลัวจะห่างจนต้องเลิกกัน ผมก็คิดว่าพร้อมแล้ว ผมรักเธอ อยากใช้ชีวิตด้วยกันแล้ว คงไม่ทะเลาะอะไรกันอีก และจริงใจกับเธอ ย้ายไปอยู่ด้วยกัน เธอก็ดีใจมาก

เรื่องเงิน ไม่เคยมีปัญหา เวลาไปข้างนอก ผมจะออกเยอะกว่า บางทีก็เลี้ยง เธอก็มีเสนอช่วยออก แฟร์มาก

ช่วงเตรียมงานแต่ง
ก่อนหน้านานมาแล้วเธอบอกเธอจะช่วยผมเก็บเงินแต่งงาน แต่พอแต่งจริงผมก็ไม่ได้เรียกร้องให้เธอมาช่วยออก ที่บ้านของเธอก็เรียกเงินสินสอดไม่มากเกินไปเทียบกับอายุและรายได้ของผม และที่บ้านเค้าก็จะคืนให้เป็นเงินของเราหลังแต่ง ผมขอยืมที่บ้านด้วย แต่ทองสินสอด เธอจะช่วยออกสองบาท ผมต้องออกอีกสี่ เป็นช่วงทองขึ้นพอดี ตอนแรกผมเครียดมาก ทั้งเงินและทองกลัวหาไม่ทัน ผมเลยให้ไปก่อนสอง ส่วนอีกสองเธอขอยืมมาวางให้ก่อน ค่อยซื้อคืนตอนทองราคาลง ผมประทับใจมาก 
อีกอย่างแหวนแต่งงานซึ่งผมคิดว่าพิธีไทยวงเดียวก็พอ แต่เธออยากให้มีสองวงใส่ด้วยกัน ผมเลยให้ช่วยกันซื้อคนละวง เธอก็โอเค เพราะตอนนั้นผมออกจากงาน เตรียมมางานใหม่ในจังหวัดของเธอ แต่หลังจากแต่งทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลยครับ

หลังแต่งงาน
หลังวันแต่งงานวันนึง ผมชวนเธอไปจดทะเบียน ตอนแรกเธอก็จะไปจด เธอบอกแม่เธอบอกว่ายังไม่ต้องไปจดตอนนี้ ข่าวโควิดกำลังเริ่มมาไทย เธอบอกไปจดปีหน้าก็ได้ ผมบอกเธอว่าไปเปิดบัญชีร่วมกันมั้ย เก็บเงินร่วมกัน ฝากเท่าๆกัน แต่เธอก็ไม่ไป บอกว่าเหนื่อยแล้วค่อยไปวันหลัง และมีแพลนจะซื้อรถหลังแต่งงาน ผมบอกว่าถ้ายังทำงานที่นี่ ผมออกคนเดียว แต่เดี๋ยวเอาเงินสินสอดไปดาวน์รถ ผมบอกว่าหลักๆ ให้เธอเอาไปใช้ขับ อาทิตน์นึงผมคงใช้แค่วันหรือสองวันเวลามีประชุมเย็น แต่เธอก็เงียบๆ ไม่ให้ความเห็นอะไร และก่อนหน้านี้ ผมกำลังจะมีโอกาสไปทำงานต่างประเทศ แต่ก็ลังเล ผมบอกถ้าไปก็จะไปแค่ครึ่งปีแต่จะแต่งงานตามแพลนแน่นอน แม่แฟนก็บอกว่าถ้าย้ายมาอยู่ที่นี่จะดาวน์รถให้ แต่ผมก็ไม่ได้อยากได้ ผมไม่ชอบพึ่งพาใคร 
ก่อนแต่งเธอเคยส่งรูปการวิธีการเก็บเงินแบบคู่สามีภรรยา ผมเลยเลือกว่า เก็บแบบมีกองกลาง และฝากร่วมกัน ส่วนที่เหลือจากนั้นก็แยกกันเก็บ ไม่ได้คุยกันลงดีเทลเพราะเธอบอกยังไงก็ได้ 

ผ่านไปสี่วันหลังแต่งงาน ขอบอกก่อนว่า เธอทำงานเหมือนเป็นลูกจ้างของรัฐเงินเดือนเรทราชการ ส่วนผมทำเอกชน เงินเดือนเยอะกว่าสองเท่า เธอแชทมาบอกผมตอนผมกำลังกลับจากทำงาน ว่าเธอขอคุยเรื่องเงิน เธอบอกว่าที่บ้านเธอบอกให้ผมเอาเงินเดือนให้เธอแบ่งแล้วให้ได้เท่าๆกัน ไม่งั้นผมจะรวยอยู่คนเดียว  เหมือนไม่ใช่ผัวเมียกัน ที่จะฝากเงินเท่าๆกัน ทั้งที่เรื่องรถผมก็บอกจะรับผิดชอบเอง ผมชอบทำอาหาร เธอทำกับข้าวไม่เป็น ค่ากับข้าวผมก็ซื้อมาเรื่อยๆ แต่อาหารที่ผมทำที่บ้านเค้าอาจไม่ชิน ผมเลยบอกเดี๋ยวเราตกลงกัน กำลังจะคุยกันตอนวันเสาร์อาทิตย์ รีบจัง ที่บ้านเข้ามาทำไมนิ ผมบอกผมแฟร์อยู่แล้ว เธอก็บอก หนูจะดูอีกทีว่ามันจะแฟร์กับหนูรึเปล่า ผมเริ่มตกใจและเครียดแล้ว เพราะผมไม่เคยเจอเธอในโหมดนี้

ถึงบ้านกลางคืนเราคุยกัน ผมบอกผมจะให้เดือนละ 10,000 นะ
โดย 5,000 เป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน และอีก 5,000 เป็นเงินฝากร่วมกัน
เธอบอก 5,000 ไม่พอ ให้ค่าไฟที่บ้าน 1,000 ค่าอาหารให้แม่ 1,000 และค่าสบู่ ยีสีฟัน แฟ้บ อีก 3,000 ก็หมดแล้ว ไม่พอหรอก ไม่ให้เธอจ่ายส่วนตัวเลยหรอ เธอบอกเธอต้องการค่าใช้จ่ายในบ้านอีก ซึ่งผมคิดว่ามันเยอะไป พี่สาวและสามีพี่สาวเธอก็อยู่บ้านเดียวกัน ให้เค้าช่วยออกบ้าง เธอก็หยุด และดูงอนๆ ถามว่าโอเคมั้ย เธอบอกโอเคแค่บางส่วน ผมบอกผมต้องคืนเงินแม่ด้วยที่ยืมค่าสินสอดมา หลังจากนี้คุยเรื่องรถ ผมบอกว่าผมจะออกเองถ้ายังทำงานเอกชน แต่เธออยากให้ทำราชการเพราะเป็นค่านิยมคนต่างจังหวัด ผมก็โอเคถ้าสอบได้ ผมบอกว่าเราซื้อรถกันเลยมั้ย ต่างจังหวัดเดินทางยาก เวลาผมประชุมเลิกเย็นจะไม่ได้กลับรถบริษัท ผมเพิ่งทำงานได้ไม่นาน ยังไม่ผ่านโปร เลยบอกให้เธอไปทำเรื่องเพราะผ่านโปรแล้ว เธอเลยถามรถจะให้เป็นชื่อใคร ผมบอกถ้าเธอทำเรื่องให้เป็นชื่อเธอ เอาเงินสินสอดไปดาวน์ แล้วผ่อนคนละครึ่ง เธอเลยบอกว่า มันมีที่ไหนที่จะให้เธอไปทำเรื่องเป็นชื่อผมแล้วเธอยังต้องมาผ่อนอีก มีแต่ผัวผ่อนให้เมียขับกันทั้งนั้นและให้เป็นชื่อเมีย ผมเลยอธิบายใหม่ เผื่อผมพูดไม่เคลียร์หรือเธอฟังผิด ผมเลยบอกถ้ากู้ซื้อเป็นชื่อเธอ ใช้สินสอดไปดาวน์ แล้วค่างวดรายเดือนคนละครึ่ง แต่ถ้าเป็นชื่อผมซึ่งตอนนี้ก็ยังทำเรื่องไม่ได้เพราะยังทำงานไปเดือนเดียว ถ้าแบบนี้ผมรับผิดชอบคนเดียวทั้งหมด เธอไม่ต้องช่วยออก จริงๆที่เสนอ ก็น่าจะพอใจแล้วนะ รถก็เป็นชื่อเธอ เงินสินสอดก็ไม่ต้องหามาเอง แถมผมยังช่วยผ่อนครึ่งนึงอีก เธอก็เงียบๆไป ผมเลยเปิดเว็บดูรถกันเอารุ่นไหนดี แต่เธอก็บอกแล้วแต่ผม ซึ่งก่อนหน้าทั้งเธอกับผมก็อยากซื้อรถกัน เราใช้ชีวิตวันเสาร์ อาทิตย์ตามปกติ ผมเครียดนิดหน่อยที่เพิ่งเจอแฟนเป็นแบบนี้ แต่ก็คิดว่าโอเคก็ดี เพราะคิดว่าเคลียร์กันได้แล้ว

วันจันทร์ตอนเช้า ผมกำลังกินข้าวที่ทำงาน ผมทำให้ผมเครียดขมคอ กลืนข้าวไม่ลง และเครียดมากจนเข้าประชุมไม่รู้เรื่อง (เธอทำผมเครียดบ่อยๆก่อนแต่งแม้ว่าจะเป็นวันสำคัญของผม เช่นก่อนวันสัมภาษณ์งาน วันสอบ ไปเที่ยวกับครอบครัว หรือมีประชุมต่างๆ ผมเคยเตือนไปแล้วว่ารู้จักกาละเทศะหน่อย ทำผมพังหลายครั้ง จนก่อนแต่งบางทีเธอก็ตลกนะ ตอนผมกำลังประชุมเธอบอก หนูรู้ตอนนี้พี่กำลังประชุม หนูจะไม่ชวนทะเลาะเพราะก่อนหน้ามีเรื่องทะเลาะกัน แต่หลังประชุมเสร็จเธอก็ดึงมันมาได้น่าตกใจมาก) 
เธอทักไลน์มาว่า ขอเคลียร์เรื่องเงินอีกครั้ง ตอนนี้มีสติครบ อยากพิจารณาอีกรอบ
ผม: เหมือนที่บอกไป จะขอเปลี่ยนอะไรอีกมั้ย
เธอ: ขอทวนหน่อย
ผม: ที่บ้านเข้ามาบอกอะไรอีกป่าว
เธอ: ไม่นิ แค่อยากทวน
ผม: ก็เดือนละหมื่นไง ฝากห้าพัน
เธอ: ห้าพันคือกองกลาง อีก 5 พันคือให้ใช้ส่วนตัวใช่ไหม
ผม: ไม่ใช่ 5พันเป็นเงินฝาก คุยเคลียร์แล้ว กับข้าวอะไรพี่ก็ยังซื้อ
เธอ: ภายในบ้านก็หมดแล้วมั้งห้าพัน ไหนจะของใช้ แฟ้บ สบู่ ยาสีฟัน หนูจะไม่ได้เงินใช้ส่วนตัวที่สามีให้ภรรยาเลยหรอ เหมือนเราไม่ได้เป็นสามี ภรรยา เหมือนแค่มาอยู่ มานอนกับหนู ถ้าไม่ให้หนูก็ไม่นอนกับพี่ ผู้หญิงเลิกไปก็มีแต่เสียหาย เป็นแม่ม่าย ถ้าหนูป่วยหนักพี่ก็คงทิ้ง เลิกไปแล้วหนูจะเหลืออะไร 
ผม: ผมเครียดมากแล้วทีเห็นแฟนพูดแบบนี้ เลยบอกไม่เปลี่ยนแล้ว ตกลงกันแล้ว จะให้เงินเก็บพี่เหลือ 0 เลยหรอ เธอเลยแบบแจกแจงว่าเงินส่วนนี้จะเอาไปไหน ผมบอกพี่ยังต้องคืนเงินแม่ที่ยืมมา เหลือมาทำงานแค่นี้ ยังต้องมีเก็บส่วนตัวด้วย ถ้าเธอไม่มีเงินเดือนอะจะให้เพิ่ม แต่นี่ก็มี ถ้าพี่ป่วย หรือไม่มีงานทำจะทำไง
เธอ: ก็ยังมีเงินหนูมั้ย ถ้าพี่ไม่ให้ก็เก็บเงินพี่ไป อยู่กันไปแบบนี้แหละ ไม่ต้องมาแตะต้องตัวหนู โสเภณียังได้เงิน แต่หนูไม่ได้อะไรเลย ไม่ให้นอนด้วย มันเกินเยียวยาแล้วจริงๆ เธอบอกว่าผมเหมือนญาติเธอคู่นึงไม่มีผิด ที่ผู้ชายมาหลอก จนญาติเธอต้องเลิก ผมยังงงๆว่าสิ่งที่ทำผิดหรอ พอเคลียร์กันหลังจากวันนั้นเหมือนเธอโยงเรื่องเข้ามาให้ผมยอม ซึ่งจริงๆมันคนละเรื่องคนละเคสกันเลย และเธออ้างเรื่องทองที่เอามาตั้งให้ก่อนว่าไม่น่าจะยอมตั้งแต่แรก ทั้งที่เธอเสนอเองว่าค่อยซื้อมาคืนตอนทองลง และเรื่องแหวนแต่งงานที่ตกลงซื้อคนละวง เธอก็โอเค เพราะผมไม่ได้ทำงานช่วงนั้น เธออ้างมาว่าไม่มีแม้แต่จะเสนอว่าพอมีงานทำแล้วจะคืนเงินให้ มันคาใจอยู่นานแล้ว เพราะเหมือนซื้อแหวนให้ตัวเอง ซึ่งเธอดึงกลับมารวมๆกันอีก เงินค่าแหวนผมลืมเล่า ผมโอนคืนให้แล้วเพราะเธอทวงครั้งก่อนที่ตกลงเรื่องเงินกัน
ผม: มันคงไม่ใช่ความรักแล้ว

เล่าแค่คร่าวๆนะครับ หลังจากนี้มีดีเทลอีก วันนั้นผมเครียดมาก ผมกลับถึงบ้านช้ากว่าปกติ ชม.นึง ไม่กินข้าวที่บ้านเพราะเธอว่าผมแรงว่าแค่มาอยู่มากิน เห็นแก่ตัว ผมเครียดจนไม่รู้จะปรึกษาใคร เลยตัดสินใจบอกที่บ้าน ปกติผมแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเองตลอด ที่บ้านเป็นห่วงผมมาก เค้าไม่ได้อยากให้เลิก แต่ก็แนะนำทั้งสองทาง แต่ก็ให้ผมตัดสินใจทำสิ่งที่ตัวเองจะมีความสุข ผมไม่กินข้าวเย็นที่บ้านเค้า แต่ก็ลงไปคุยกับพ่อแม่เค้าว่าผมเครียด ขอโทษด้วย

จนผมบอกแม่ผมว่าผมอาจจะไปอยู่ใกล้ที่ทำงานแล้ว แฟนเปลี่ยนไปมาก แม่ผมขอเบอร์แม่เค้าเผื่อจะปรึกษา ผมก็ให้ไป ผู้ใหญ่คุยกัน แม่ผมก็บอกฝั่งพ่อแม่แฟนก็เข้าใจ ตอนค่ำเค้าก็เรียกคุย ผมเลยเล่าทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น รวมทั้งเรื่องแหวนที่เค้าไม่บอกพ่อแม่ไม่งั้นจะโดนดุ ที่บ้านเค้ายังถามว่ายังรักกันมั้ย ขอให้อภัยกัน เค้าขอให้เงินผมฝากเป็นชื่อแฟนได้มั้ย ผมเลยถามย้ำอีกครั้ง ผมบอกต้องฝากเป็นชื่อทั้งสองคน ผมเลยถามว่าสิ่งที่ผมคิดและจะทำมันเห็นแก่ตัวหรอ เค้าก็ไม่ตอบอะไร เรื่องรถผมจะจัดการเอง เค้าบอกเค้ายังไม่อยากให้ซื้อตอนนี้เพราะเพิ่งทำงาน ยังไม่แน่นอน ผมเลยจะขอย้ายไปอยู่ใกล้ที่ทำงาน เค้าบอกยอมให้ไปตอนหน้าฝน ซึ่งก็อีกสองเดือนตอนนั้น ซึ่งผมก็เลิกหวังเงินสินสอดที่จะเอามาดาวน์รถแล้ว ถึงผมจะให้บอกว่าให้อภัย แต่ความกลัวมันเต็มไปหมด

มีต่อนะครับ>>
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่