ในระยะแรกของการระบาดโรคโควิด...
พบว่ามีปัญหาจากธรรมชาติของการเป็นรัฐบาลผสม ที่ดูแลในกระทรวงต่างกัน
ซึ่งก็มีความรับผิดชอบในเรื่องต่างกันไป
ทำให้การประสานงานไม่ราบรื่นเท่าที่ควร
กท.สธ....ก็ต้องพยายามให้มีคนป่วย และเสียขีวิตน้อยที่สุด
กท.ด้านเศรษฐกิจ...ก็ต้องพยายามให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด
เป็นการชักคะเย่อกันทางความคิด...ส่งผลถึงวิธีการจัดการกับสถานการณ์ที่ล่าช้า กระอักกระอ่วน ลังเล
อันอาจส่งผลเสียหายร้ายแรงมากยิ่งขึ้น หากปล่อยให้ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำต่อไป
จุดเปลี่ยนน่าจะอยู่ที่...พบการติดเขื้อจากคลัสเตอร์สนามมวย และสถานบันเทิงต่างๆ
แถมถูกกระตุ้นด้วยมีการมั่วสุมกินเหล้าในยามวิกาลอยู่ทั่วไป
เมื่อนายกฯตัดสินใจประกาศใข้พรก.ฉุกเฉิน...
ความเกรงใจต่อพรรคร่วมรัฐบาลก็เก็บใส่ลิ้นชักไปได้
ขอลุงเถอะ...หลานๆไปพักก่อน
เพราะลุงย่อมเป็นผู้รับผิดชอบต่อการตัดสินใจอย่างเลี่ยงไม่พ้น
การนำที่เด็ดขาด... โดยตัดสินใจจัดการสถานการณ์ ผ่านทีมสาธารณสุขเป็นธงนำ
ให้ผลลัพธ์เป็นไปอย่างน่าพอใจ ในระดับหนึ่ง...จนถึงวันนี้
แต่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลคงไม่ปลื้มเท่าไรนัก...
สังเกตได้จากการใช้วิธีการ " เสนอหน้ารายวัน เฟื่องฝันตูนำ ผื่นคันทุกเรื่อง "
รัฐบาลทำอะไร...ฝ่ายต่อต้านจะเสนออีกอย่างทุกครั้งไป
หากเคยเสนออะไรไว้...ถ้ารัฐบาลทำ...ก็โม้ว่า เพราะตูบอก
การออกมาด่ากราดในแทบทุกมาตรการที่รัฐบาลทำ...เป็นสิ่งที่เห็นจนเจนตา
นกม.บางคนหนักกว่านั้นอีก
ดันทุรังแต่เรื่องแก้รธน.
หมกมุ่นแต่สองสี่เจ็ดห้า
เผยธาตุแท้ให้เด็กมันเห็นจะๆ...
ต่อมา...การผ่อนคลายระยะแรก...ก็เกิดขึ้น
ท่ามกลางความคาดหวังอย่างสูงจากทุกฝ่ายว่า
ประชาชนจะให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการต่างๆอย่างเคร่งครัด
เพราะผลการประเมินความร่วมมือดังกล่าว
จะนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการระยะต่อไปตามลำดับ
แต่ก็ยังมีเรื่องที่ชวนให้เสียวไส้อยู่บ้าง...
คือเริ่มพบการติดเชื้อจากการไปแหล่งชุมชนเกิดขึ้น
การ์ดที่เริ่มตกจาก social distancing ที่พบในสถานที่ต่างๆ
รวมทั้งกำหนดเปิดภาคเรียนของลูกหลานของเราทุกคนในไม่กี่วันนี้
จะเห็นว่าช่วงมิ.ย.ยังเป็นช่วงที่ตุ๊มๆต่องๆอยู่...ต้องคอยมอนิเตอร์อย่างใจจดใจจ่อ
หากไร้ปัญหาใดๆในเดือนมิย. จะยกเลิกพรก.ฉุกเฉินก็สมควร
แม้รัฐบาลจะใช้แนวคิด...พยายามบาลานซ์สุขภาพกับเศรษฐกิจไปด้วยกัน
แต่ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ความรุนแรงของการระบาดระลอกสองได้
ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอน
เพียงหวังว่า...ระบบสาธารณสุขจะสามารถรองรับได้
และทีมสาธารณสุขจะได้มีเวลาพักหายใจ...มีเวลาอยู่กับครอบครัวบ้าง
หลังจากตรากตรำมานานหลายเดือน
แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ได้นึกถึงประเด็นนี้เลย...
คงคิดว่าทีมสาธารณสุขใช้ถ่านเป็นแรงผลักดันในการทำงานมั้ง
คงคิดว่าทีมสาธารณสุขไม่มีครอบครัวเหมือนกัยคนอื่นมั้ง
แน่นอนว่า...วิกฤตสาหัสครั้งนี้
ทุกคน ทุกครอบครัว ทุกรัฐบาลในโลกนี้ ...ล้วนเจ็บกันทั่วหน้า
โดยเฉพาะคนด้อยโอกาส คนรากหญ้า คนที่ไม่เคยคิดจะออมเงิน คนที่แม้จะคิดแต่ก็ไม่มีปัญญาที่จะออม
ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องดูแลให้ทั่วถึง
การต่อพรก.ฉุกเฉินหรือไม่...เป็นวิวาทะอันโอชะของคนบางกลุ่ม
ที่เดือดร้อนแทบเป็นแทบตาย...ที่เห็นกันอยู่ชัดเจน...ก็คือฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่
แน่นอนที่ว่า...ทุกอย่างล้วนมีข้อดี - ข้อด้อยเสมอ
ผู้มีหน้าที่ทุกฝ่ายจำต้องตัดสินใจร่วมกันในหลากมิติ
ทั้งสาธารณสุข เศรษฐกิจ ความมั่นคง ฯลฯ
คนที่อยากให้ต่อพรก.ฉุกเฉิน...ก็มี
คนที่ไม่อยากให้ต่อพรก.ฉุกเฉิน...ก็มี
จะต่อหรือไม่ต่อพรก.ฉุกเฉิน...ก็ย่อมมีทั้งฝ่ายที่พอใจและไม่พอใจวันยังค่ำ
แต่สิ่งที่ประจักษ์ชัดเจนคือ...
พรก.ฉุกเฉิน ส่งผลให้เราทุกคนอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงวันนี้
...บางคนก็บอกว่าใช้พรบ.โรคติดต่อ ...ก็น่าจะพอ...เพราะเหมือนกับพรก.ฉุกเฉิน
บางคนก็บอกว่ามันต่างกัน...
จึงได้ลองสรุปสาระสำคัญบางประเด็น...ที่คิดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโควิดมาให้ลองพิจารณาด้านล่าง
( ซึ่งอาจจะมีประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องแต่จขกท.มองข้ามไป ...จึงควรตามไปอ่านฉบับเต็มนะครับ )
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
■ พรบ.โรคติดต่อ ๒๕๕๘
สรุปสาระสำคัญคร่าวๆ...
มาตรา ๕
ให้รมต.สาธารณสุขรักษาการตามพรบ.นี้
มาตรา ๓๙ และ ๔๐
กำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
■ พรก.ฉุกเฉิน ๒๕๔๘...
สรุปสาระสำคัญคร่าวๆที่ไม่มีในพรบ.โรคติดต่อ...
มาตรา ๗
มีการโอนอำนาจหน้าที่ของรมต.มาเป็นของนายกฯขั่วคราว
เพื่อให้สามารถสั่งการ และแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างมีเอกภาพ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
นายกฯมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามพรก.นี้
มาตรา ๘
นายกฯ หรือผู้ซึ่งนายกฯมอบหมายสามารถแต่งตั้งคณะบุคคลหรือบุคคลมาเป็นที่ปรึกษาของพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือผู้ช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่ได้
มาตรา ๙
-"กรณีเป็นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน" นายกฯมีอำนาจออกข้อกำหนดดังนี้
๑. ห้ามบุคคล ออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่
๒. ห้ามชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ
๓. ห้ามแพร่ข่าวที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว
หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิด
๔. ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคม
หรือการใช้ยานพาหนะ
๕. ห้ามการใช้อาคาร หรือเข้าไปหรืออยู่ในสถานที่ใดๆ
๖. ให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนดเพื่อความปลอดภัยของประชาชนดังกล่าว
หรือห้ามผู้ใดเข้าไปในพื้นที่ที่กำหนด
●● ต่อพรก.ฉุกเฉินอีกสักเดือน...จะเป็นไรไป ?
พบว่ามีปัญหาจากธรรมชาติของการเป็นรัฐบาลผสม ที่ดูแลในกระทรวงต่างกัน
ซึ่งก็มีความรับผิดชอบในเรื่องต่างกันไป
ทำให้การประสานงานไม่ราบรื่นเท่าที่ควร
กท.สธ....ก็ต้องพยายามให้มีคนป่วย และเสียขีวิตน้อยที่สุด
กท.ด้านเศรษฐกิจ...ก็ต้องพยายามให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด
เป็นการชักคะเย่อกันทางความคิด...ส่งผลถึงวิธีการจัดการกับสถานการณ์ที่ล่าช้า กระอักกระอ่วน ลังเล
อันอาจส่งผลเสียหายร้ายแรงมากยิ่งขึ้น หากปล่อยให้ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำต่อไป
จุดเปลี่ยนน่าจะอยู่ที่...พบการติดเขื้อจากคลัสเตอร์สนามมวย และสถานบันเทิงต่างๆ
แถมถูกกระตุ้นด้วยมีการมั่วสุมกินเหล้าในยามวิกาลอยู่ทั่วไป
เมื่อนายกฯตัดสินใจประกาศใข้พรก.ฉุกเฉิน...
ความเกรงใจต่อพรรคร่วมรัฐบาลก็เก็บใส่ลิ้นชักไปได้
ขอลุงเถอะ...หลานๆไปพักก่อน
เพราะลุงย่อมเป็นผู้รับผิดชอบต่อการตัดสินใจอย่างเลี่ยงไม่พ้น
การนำที่เด็ดขาด... โดยตัดสินใจจัดการสถานการณ์ ผ่านทีมสาธารณสุขเป็นธงนำ
ให้ผลลัพธ์เป็นไปอย่างน่าพอใจ ในระดับหนึ่ง...จนถึงวันนี้
แต่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลคงไม่ปลื้มเท่าไรนัก...
สังเกตได้จากการใช้วิธีการ " เสนอหน้ารายวัน เฟื่องฝันตูนำ ผื่นคันทุกเรื่อง "
รัฐบาลทำอะไร...ฝ่ายต่อต้านจะเสนออีกอย่างทุกครั้งไป
หากเคยเสนออะไรไว้...ถ้ารัฐบาลทำ...ก็โม้ว่า เพราะตูบอก
การออกมาด่ากราดในแทบทุกมาตรการที่รัฐบาลทำ...เป็นสิ่งที่เห็นจนเจนตา
นกม.บางคนหนักกว่านั้นอีก
ดันทุรังแต่เรื่องแก้รธน.
หมกมุ่นแต่สองสี่เจ็ดห้า
เผยธาตุแท้ให้เด็กมันเห็นจะๆ...
ต่อมา...การผ่อนคลายระยะแรก...ก็เกิดขึ้น
ท่ามกลางความคาดหวังอย่างสูงจากทุกฝ่ายว่า
ประชาชนจะให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการต่างๆอย่างเคร่งครัด
เพราะผลการประเมินความร่วมมือดังกล่าว
จะนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการระยะต่อไปตามลำดับ
แต่ก็ยังมีเรื่องที่ชวนให้เสียวไส้อยู่บ้าง...
คือเริ่มพบการติดเชื้อจากการไปแหล่งชุมชนเกิดขึ้น
การ์ดที่เริ่มตกจาก social distancing ที่พบในสถานที่ต่างๆ
รวมทั้งกำหนดเปิดภาคเรียนของลูกหลานของเราทุกคนในไม่กี่วันนี้
จะเห็นว่าช่วงมิ.ย.ยังเป็นช่วงที่ตุ๊มๆต่องๆอยู่...ต้องคอยมอนิเตอร์อย่างใจจดใจจ่อ
หากไร้ปัญหาใดๆในเดือนมิย. จะยกเลิกพรก.ฉุกเฉินก็สมควร
แม้รัฐบาลจะใช้แนวคิด...พยายามบาลานซ์สุขภาพกับเศรษฐกิจไปด้วยกัน
แต่ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ความรุนแรงของการระบาดระลอกสองได้
ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอน
เพียงหวังว่า...ระบบสาธารณสุขจะสามารถรองรับได้
และทีมสาธารณสุขจะได้มีเวลาพักหายใจ...มีเวลาอยู่กับครอบครัวบ้าง
หลังจากตรากตรำมานานหลายเดือน
แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ได้นึกถึงประเด็นนี้เลย...
คงคิดว่าทีมสาธารณสุขใช้ถ่านเป็นแรงผลักดันในการทำงานมั้ง
คงคิดว่าทีมสาธารณสุขไม่มีครอบครัวเหมือนกัยคนอื่นมั้ง
แน่นอนว่า...วิกฤตสาหัสครั้งนี้
ทุกคน ทุกครอบครัว ทุกรัฐบาลในโลกนี้ ...ล้วนเจ็บกันทั่วหน้า
โดยเฉพาะคนด้อยโอกาส คนรากหญ้า คนที่ไม่เคยคิดจะออมเงิน คนที่แม้จะคิดแต่ก็ไม่มีปัญญาที่จะออม
ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องดูแลให้ทั่วถึง
การต่อพรก.ฉุกเฉินหรือไม่...เป็นวิวาทะอันโอชะของคนบางกลุ่ม
ที่เดือดร้อนแทบเป็นแทบตาย...ที่เห็นกันอยู่ชัดเจน...ก็คือฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่
แน่นอนที่ว่า...ทุกอย่างล้วนมีข้อดี - ข้อด้อยเสมอ
ผู้มีหน้าที่ทุกฝ่ายจำต้องตัดสินใจร่วมกันในหลากมิติ
ทั้งสาธารณสุข เศรษฐกิจ ความมั่นคง ฯลฯ
คนที่อยากให้ต่อพรก.ฉุกเฉิน...ก็มี
คนที่ไม่อยากให้ต่อพรก.ฉุกเฉิน...ก็มี
จะต่อหรือไม่ต่อพรก.ฉุกเฉิน...ก็ย่อมมีทั้งฝ่ายที่พอใจและไม่พอใจวันยังค่ำ
แต่สิ่งที่ประจักษ์ชัดเจนคือ...
พรก.ฉุกเฉิน ส่งผลให้เราทุกคนอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงวันนี้
...บางคนก็บอกว่าใช้พรบ.โรคติดต่อ ...ก็น่าจะพอ...เพราะเหมือนกับพรก.ฉุกเฉิน
บางคนก็บอกว่ามันต่างกัน...
จึงได้ลองสรุปสาระสำคัญบางประเด็น...ที่คิดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโควิดมาให้ลองพิจารณาด้านล่าง
( ซึ่งอาจจะมีประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องแต่จขกท.มองข้ามไป ...จึงควรตามไปอ่านฉบับเต็มนะครับ )
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
■ พรบ.โรคติดต่อ ๒๕๕๘
สรุปสาระสำคัญคร่าวๆ...
มาตรา ๕
ให้รมต.สาธารณสุขรักษาการตามพรบ.นี้
มาตรา ๓๙ และ ๔๐
กำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
■ พรก.ฉุกเฉิน ๒๕๔๘...
สรุปสาระสำคัญคร่าวๆที่ไม่มีในพรบ.โรคติดต่อ...
มาตรา ๗
มีการโอนอำนาจหน้าที่ของรมต.มาเป็นของนายกฯขั่วคราว
เพื่อให้สามารถสั่งการ และแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างมีเอกภาพ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
นายกฯมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามพรก.นี้
มาตรา ๘
นายกฯ หรือผู้ซึ่งนายกฯมอบหมายสามารถแต่งตั้งคณะบุคคลหรือบุคคลมาเป็นที่ปรึกษาของพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือผู้ช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่ได้
มาตรา ๙
-"กรณีเป็นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน" นายกฯมีอำนาจออกข้อกำหนดดังนี้
๑. ห้ามบุคคล ออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่
๒. ห้ามชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ
๓. ห้ามแพร่ข่าวที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว
หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิด
๔. ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคม
หรือการใช้ยานพาหนะ
๕. ห้ามการใช้อาคาร หรือเข้าไปหรืออยู่ในสถานที่ใดๆ
๖. ให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนดเพื่อความปลอดภัยของประชาชนดังกล่าว
หรือห้ามผู้ใดเข้าไปในพื้นที่ที่กำหนด