ไอ้ ด่าง..

ไอ้ด่าง
ราสส์ กิโลหก

หมาแก่อายุ กว่า 15 ปี สีดำสลับขาว น้ำหนักร่วม 10 กิโล นอนนิ่งอยู่บน แคร่ตะแกรงเหล็ก  พอๆกับตัวมัน  มันนอนนิ่งเหมือนตาย แต่ช่วงท้องยังขยับขึ้นลง แสดงถึงลมหายใจของมันที่ยังทำงานอยู่  

เมื่อ สิบกว่าปีก่อน...

ไอ้ด่างมันเป็นหมาจรจัด ซึ่งผมไม่ได้ตั้งใจเลี้ยง ตอนนั้นมันเป็นลูกหมา ไม่รู้อีผีบ้าคนไหนเอามาปล่อยทิ้งในซอย ฝนตกพร่ำๆผมขับรถกลับบ้านเกือบ 4 ทุ่มเพราะเป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ นั่งดวดเหล้ากันข้างที่ทำงาน กลับบ้านดึกเหมือนเคย .

เปิดประตูรถวิ่งลงไปเพื่อจะเปิดประตูรั้ว สายตาแลเห็นก้อนดำๆอยู่ข้างเสารั้ว เข้าไปมองดูใกล้ๆเป็นลูกหมาสีดำสลับขาว นอนขดตัวด้วยความกลัวเพราะความหนาวเย็นของบรรยากาศทั้งฝนทั้งลม..เนื้อตัวเปียกปอนไปหมด ตัวสั่นเทาครางหงิงๆๆ

สรุปได้ว่า เรา คือผมและเมีย รับเอาลูกหมาหรือไอ้ด่าง มาเลี้ยงด้วยความจำใจ บ้านเราไม่ค่อยชอบหมาเท่าไหร่ รำคาญเสียงเห่าหอน กัดกันยามค่ำคืน ที่สำคัญมันชอบหอนเวลามีคนในซอย ตาย !  หอนรับกันตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย..

ผมกับไอ้ด่างไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่ ตอนเด็กๆก็ดีไม่ดื้อไม่ซน วิ่งเล่นไปมาอยู่ในบ้าน ไม่สร้างความเดือดร้อนอะไร แต่พอโตขึ้นมาหน่อย เริ่มซ่า เห่าด่าคนเดินผ่านหน้าบ้านประเภทหมาปากเปาะ พอตะโกนด่ามันก็หยุด แต่ไม่เคยจำ ไม่นานก็เป็นแบบเดิม และที่หนักขึ้นคือเริ่มวิ่งไล่ คนขี่จักรยาน หรือรถเครื่อง แต่ก็ไม่ถึงกับไปกัดใคร เราคิดว่าถ้ามันกัดใครก็จะไม่เลี้ยง..เล่าประวัติมาพอสังเขป..

วันเวลาไม่เคยปราณีใคร มันเป็นกฎของธรรมชาติ เมื่ออายุมันมากขึ้น กลายเป็นหมาแก่ ไอ้ด่างเริ่มซึมเศร้าเหงาหงอย ถึงแม้เป็นเดือน 12 เหมือนทุกๆปีที่ผ่านมา มันก็ไม่ออกไปซ่า แย่งชิง อีเตี้ย หมาแสนสวย บ้านไอ้ติ๊กคนขับรถขยะเทศบาล  ซึ่งอยู่ซอยถัดไป แต่ไม่เคยเห็นว่ามันจะสำเร็จโทษอีเตี้ยได้ เพราะซอยนั้นไม่ธรรมดา มีไอ้แมคโคร พันธ์บางแก้ว ไอ้โล่ หมาสี่ตา ไอ้ทอม หมาพันธ์ไทยก็จริงแต่ตัวใหญ่ เพราะเป็นลูกผสม..สรุปได้ว่ามันคงได้แต่ไปแลดูพวกเจ้าถิ่นฟัดกันแค่นั้น จากนั้นก็คงเดินน้ำลายย้อยกลับเข้าบ้าน ฝันหวานไปตามประสาหมา.เดือน 12.

ไอ้ด่างเริ่มมีอาการผิดปกติ การเดินเริ่มเป๋ๆเหมือนขาหลังไม่มีแรง ชอบแอบไปนอนตามมุมมืด เรียกให้มากินข้าว กว่าจะเยื้องกายมาได้ต้องเรียกแล้วเรียกอีก ลักษณะเหมือนไม่อยากเดิน บางครั้งคนขุนข้าวคือเมียผม นึกโมโห พาลหมั่นใส้ ออกปากด่าหมาด้วยความลืมตัว  

“เดี๋ยวโยนทิ้งให้หมากินซะเลย” 

เธอคงลืมตัวพูดด้วยความเคยชิน ด้วยว่าทุกครั้งถ้าผมยังไม่กลับบ้าน จนเวลาล่วงเลยดึกดื่นตอนโทรตามให้กลับบ้าน มักพูดทิ้งท้ายด้วยคำนี้เสมอ..จนจำติดหู

อาการไอ้ด่าง หนักขึ้นทุกวัน จนเช้าวันหนึ่งผมเห็นมันนอนอยู่ตรงริมรั้ว โดยผมจำได้ว่า ตอนบ่ายมันก็นอนอยู่ตรงนี้ นั่นก็คือมันไม่ได้ขยับไปไหน ตั้งแต่บ่าย ที่สำคัญกลิ่นเยี่ยวหมาเหม็นจนรู้สึกได้ พอมันเห็นผม หางมันกระดิกทักทาย ส่งสายตามองเหมือนจะบอกว่า ผมไม่ไหวแล้วเจ้านาย..

ผมปล่อยให้มันนอนจมขี้เยี่ยวอยู่หลายวัน เพราะมันเดินไม่ได้ บางครั้งมันยกขาหน้าขึ้นและพยายามจะยกขาหลังขึ้นเดิน แต่ก็ทำไม่ได้ ถึงไปได้ก็แค่นิดเดียว แล้วก็ล้มลงอีก เมียผมทำได้แค่เอาข้าวและน้ำใส่ถาดให้มันกิน

ผมไม่ได้สนใจอะไรมาก มันคงแก่มากแล้ว เดี๋ยวก็คงตายเหมือนหมาทั่วๆไป หมดเวรหมดกรรมกันไป..

แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด มันไม่ยอมตาย ซ้ำช่วงกลางคืน มันจะครางเสียง อิ๊ดๆๆเป็นระยะๆทั้งคืน แม้ไม่ดังมาก ผมก็รำคาญจนนอนไม่หลับ ออกไปด่ามันบ้างเอาน้ำสาดมันบ้างเพื่อให้หยุดคราง 

แต่วันต่อๆไปก็เหมือนเดิม คือพอร้องครางก็ออกไปด่ามัน เอาน้ำสาด..

หลายวันเข้าชักไม่ไหวมันทนทายาทจริงๆ ความคิดแวบๆเข้ามาในหัว

“การุณยฆาต” ผมเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง คือทำให้สัตว์ตายโดยไม่ทรมาน..

ผมกะว่าวันศุกร์ตอนเย็น จะซื้อลูกชิ้นและยาเบื่อหมา และวันเสาร์จะจัดการกับมัน ตอนเช้าก่อนไปทำงาน ขับรถผ่านไปบอกตาปอง คนขี่ซาเล้งเก็บของเก่า ซึ่งอยู่ท้ายซอย บอกแกว่าจะให้เอาหมาตายไปฝังให้ 200 บาท ตาปองพยักหน้าหงึกๆๆฉีกยิ้มจนเห็นฟันดำ.เงิน 200 ไม่ใช่น้อยๆ
เก็บขยะทั้งวันยังได้ไม่ถึง เอาหมาไปฝังไม่ถึงชั่วโมง 

สถานที่ไอ้ด่างนอนป่วย คือริมรั้วมีต้นไม้พอเป็นร่มให้กันแดดได้ พื้นเป็นปูน มันนอนอยู่เช่นนี้ ร่วม 10 กว่าวัน ยังมีคราบขี้เยี่ยวให้เห็น กลิ่นเหม็นแตะจมูก 

พรุ่งนี้แล้ววันจัดการไอ้ด่าง  ลูกชิ้น ยาเบื่อจัดเตรียม นัดตาปองประมาณ 7 โมงเช้า ต้องจัดการก่อน สัก 10 นาที

แปลก คืนนี้ทั้งคืนไม่ได้ยินเสียงครางไอ้ด่าง ผมออกมาดูมัน ยังคงนอนอยู่ที่เดิม 

ผมตื่นแต่เช้า เพราะเป็นวันหยุด และมีภารกิจต้องเอาไอ้ด่างไปดาวหมา หาถุงปุ๋ยสำหรับเตรียมห่อร่างมัน เพื่อความสะดวกและไม่ให้ชาวบ้านแลเห็น

พลันที่เดินไปทีมันนอนซมอยู่.. 

“เฮ้ย !..” ผมร้องด้วยความตกใจ ไม่มีอะไร ว่างเปล่า     

แต่มีรอยเป็นทางยาวบนพื้นปูน ไปทางประตูหน้าบ้าน เป็นรอยดำๆในช่วงแรก  จากนั้นเป็นรอยเลือดสีแดงเห็นได้ชัด จนไปเจอตัวมันซุกอยู่ที่เสารั้วด้านในบ้าน ซึ่งเป็นเสาเดียวกับที่สมัยเมื่อ 10 กว่าปีก่อนแต่ครั้งนั้นเป็นด้านนอก

ผมเดินไปถึง มันหันหน้ามามอง ด้วยสายตาที่เศร้าหมอง ขาหลังทั้งสองข้างสั่นดิกๆๆ คงสั่นด้วยความเจ็บปวด ยังมองเห็นเลือดไหลออกมาที่ใต้ขา..

“เดินมาได้ไง” ผมรำพึงอยู่ในใจ ความรู้สึกมันอลวน จับต้นชนปลายไม่ถูก

“มีอะไรหรือโยม” พระซึ่งจำพรรษาอยู่วัดใกล้บ้าน ซึ่งเดินเป็นแถว 3 รูป ออกมารับบาตรเป็นประจำและต้องเดินผ่านเส้นทางนี้ 

ท่านเดินมาพอดี และเห็นไอ้ด่างนอนขาบิด ซ้ำมีเลือดไหลออกมาบนพื้น จนมองเห็นได้ชัดเจน
ยังไม่ทันตอบอะไร

“ศพหมาอยู่ไหน ครับ”  

ตาปองขี่ซาเล้ง มาจอดข้างๆพระ..

ปรากฏว่าภารกิจผมล้มเหลว 

ตาปองบ่นปอดแปด ไม่เอาด้วย เพราะเห็นว่าหมายังไม่ตาย..

ส่วนพระก็มองผมด้วยสายตา เหมือนผมเป็นผีเปรต..

ผมหน้าชา จนหยิกไม่เจ็บ ผมกลายเป็นตัวร้าย คนใจร้ายใจดำ เป็นเปรตข้างวัด..

หันไปมองไอ้ด่าง เห็นสภาพของมัน เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก มันเหมือนดวงตาเห็นธรรม ความจริงแล้วอายุผมก็ไม่ใช่น้อยๆ พรรคพวกคนอื่นๆเขาทำบุญใส่บาตร เข้าวัดเข้าวากัน แต่ผมไม่ค่อนสนใจ บาปคงหนาน่าดู   ดวงตาที่มืดมิด เกิดสว่างจนเจิดจ้า..
                                               
                                              ****************************************
ตอนสาย ผมโทรไปที่คลินิกรักษาสัตว์ คุยปรึกษากับคุณหมอ ซึ่งเป็นหมอจบใหม่ เป็นผู้หญิง ไฟแรงซะด้วย เธออาสามาตรวจให้ที่บ้าน เพราะเห็นว่าบ้านผมและคลินิกไม่ห่างไกลมากนัก ขี่รถเครื่องมาได้สบายๆ..

หมอเป็นผู้หญิงร่างเล็กออกท้วม มาพร้อมกับผู้ช่วยอีกคนเป็นผู้หญิง แต่ท่าทางแข็งแรง..
ผมกับผู้ช่วยหมอ ช่วยกันอุ้มไอ้ด่างมาวางที่แคร่ไม้ ข้างบ้าน.

“เห็บเต็มเลย ในชีวิตคงไม่เคยเจอน้ำ หอมกรุ่นเลย ค่ะ คุณลุง” 

หมอเด็กพูดไปเรื่อยๆไม่ได้มองหน้าผม เหมือนพูดลอยๆ ผ่านลม

เธอเอามือแหกปากดูเหงือกของไอ้ด่าง ไอ้หมาเวรนอนนิ่ง ไม่ร้องไม่ขัดขืน เหมือนมันรู้ว่าจะมีหมอมาช่วย 

“เหงือกซีดขาว เนื่องจากโลหิตจาง เกิดจากเห็บที่กัดกินเลือด น้องหมา” 

พร้อมเอามือดึงเห็บ ออกมาตัวหนึ่งให้ผมดู ตัวบวมเต่งคงซัดเลือดไอ้ด่างมานาน 
ผมเพิ่งสังเกต ที่ตัวไอ้ด่างมีเห็บตัวกลมๆและตัวแดงๆอีกแยะ 

“ขาหลังไม่มีแรง คงเป็นผลจากพยาธิเม็ดเลือด แต่เดี๋ยวต้องเจาะเลือดไปตรวจก่อน..”หมอพูดไม่หยุด ท่าทางคงอยากพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ก็ไม่พูด

เช้าวันรุ่งขึ้น สายๆหมอและผู้ช่วย มาที่บ้าน 

แจ้งผลเลือดว่า ไอ้ด่างเป็นพยาธิเม็ดเลือด ค่าไต ค่าตับ ไม่ค่อยดี 

หมอจัดมาให้ชุดใหญ่

ยาฆ่าเห็บหมัดชนิด 1 เดือน เป็นยาเม็ดเดียวเม็ดใหญ่เกือบเท่านิ้วโป้ง และยาฆ่าพยาธิเม็ดเลือด ยาบำรุงเลือด และมีวิตามินอีกซอง..
จ่ายค่ายา ค่าหมอ ไป พันกว่าบาท

ก่อนกลับกระซิบว่า “น้องด่างเป็นมากพอสมควร เป็นมานาน เลือดจางจนเหงือกเป็นสีขาว เพราะไม่ได้รับการรักษา ไม่รู้ว่าจะได้แค่ไหน”

“ไม่เป็นไร ก็ขอทำให้เขาเต็มที่ละ ครับ” ผมบอกหมอ..

ธรรมดาเมียผมเป็นคนงกเงิน ผมไม่กล้าบอกว่าค่าหมอค่ายาถึงหลักพันบาท

“ค่าหมอเท่าไหร่ คุณ”

“ไม่กี่ร้อย” ผมพูดปัดๆไป..

“โกหกจนเป็นสันดาน ชั้นคุยกับหมอเมื่อกี้ พันกว่าบาท” แต่พูดแล้วยิ้มๆ..

ผมก็ยิ้มตอบ ซิ รออะไร..

พฤติกรรมของเราสองคนผัวเมียเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเต่า..

อาบน้ำชำระร่างกายให้ไอ้ด่าง ก่อนอาบเหม็นจริงๆ อาบกันหลายรอบจนมั่นใจ เสียสละผ้าเช็ดตัวมาเช็ดตัวให้มัน ผมสังเกตไอ้ด่างทำท่าทางเหมือนไม่ค่อยไว้ใจ มันมองตาเหลือกๆ แต่ก็ช่างมัน.. 

ยาฆ่าเห็บหมัดดีจริงๆ ไม่ถึงอาทิตย์ แห้งตายคาตัวหมา และตายหล่นออกมามากมาย..

เนื่องจากมันเดินไม่ได้ เราทำรถแผ่นตะแกรงเหล็ก มีลูกล้อที่มุมสี่มุม ทำที่ลาก มีผ้านิ่มๆปูทับ เมียผมไปซื้อกางเกงซับฉี่(แพมเพิด)ห่อใหญ่  เอามาตัด 1 ตัวได้ 2 ชิ้นรองตรงใกล้ๆไอ้จู๋มัน มันจะได้ฉี่ไม่เรี่ยราด..

ตัวมันหนักน่าดู เวลาเคลื่อนย้าย เอาผ้าขนหนู วางใกล้ๆตัว ใช้มือพลิกตัวบนผ้า แล้วยกขึ้นลง..

ไม่นานไอ้ด่าง จอมสกปรก สะอาดจนผิดตา ดีที่มันกินได้ (เพราะเราคัดอาหารให้มันกิน) ขับถ่ายได้ 

ตอนเช้าลากรถไปที่ ข้างบ้านให้ได้รับลมรับแดด ยกตัวจากรถ ให้มันนอนกับพื้น เก็บอึ เอาน้ำฉีดทำความสะอาด ตอนค่ำเก็บยกตัวขึ้นรถ ลากรถไปที่หลังบ้านตรงประตู ซึ่งจะดูใกล้ชิดกับพวกเรา แค่ผนังกั้น

และทุกครั้งที่เคลื่อนย้าย จะขยับตัวไปอีกด้านเสมอ ไม่ให้มีแผลกดทับ

ตอนนี้เห็บหมัดไม่มีให้เห็นแล้ว เนื้อตัวสะอาด ดวงตาไอ้ด่างสดใส เจอหน้าทีไรกระดิกหาง ทักทาย

หมอสาวโทรถามอาการ เพราะคำนวณยาที่ให้ น่าจะหมดแล้ว 

ผมขอให้หมอมาดูอาการอีกครั้ง

พอเห็นสภาพหมา หมอยิ้ม มองหน้าผมเหมือนชื่นชมอยู่ในที..

“ยาฆ่าเห็บหมัด ตัวนี้ป้องกันได้ 3 เดือน และยาบำรุงเลือด” หมอจัดยามาให้

เมียผมควักเงินจ่ายให้คุณหมอ ด้วยความสุข..

บ้านเราไม่มีลูก ตอนนี้มีภาระดูแลหมาพิการ ซึ่งป่วยติดเตียง..

แต่แปลกพวกเรารู้สึกมีความสุข ที่เห็นสิ่งที่เราดูแล มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้ว่าเขาจะจากเราไปเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้
ตื่นเช้าผมมักมามองดูว่า บริเวณท้องของมันยังขยับขึ้นลงอยู่หรือเปล่า ... 

ผมยังนึกถึง หมาจรจัดที่ไม่มีเจ้าของ หากมันป่วยไข้ ประสบอุบัติเหตุ แข้งขาหัก หรือถูกมนุษย์ใจร้าย ทำร้าย จนพิกลพิการ มันจะอยู่ยังไง ใครจะมาดูแล หาอาหารให้กิน  ......
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่