เปรี้ยง !!!
เสียงยมทูตแห่งความตาย ดังมาจากปืนในมือของชายรูปร่างสันทัดผู้หนึ่ง เขาสวมกางเกงยีนส์เก่าๆ สวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีดํา ใบหน้าปกคลุมด้วยหนวดเคราและผมที่ยาวรุงรัง ช่วยอําพรางใบหน้าเหี้ยมเกรียมไว้อย่างมิดชิด จนแทบไม่มีใคร ที่จะสามารถจินตนาการถึงใบหน้าตา ภายใต้หนวดเคราของชายนักฆ่าผู้นี้
หลังจากเสียงปีนสิ้นสุดลง ผู้คนในพื้นที่สังหาร ซึ่งเป็นร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งในย่านพระราม 3 ต่างตกใจกับเสียงปืนที่ดังขึ้น จนร้องเอะอะ ไปทั่วบริเวณ และสับสนว่าเสียงปืนดังมาจากไหน มีเพียงกลุ่มเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเถ้าแก่เส็งเท่านั้น ที่ยังตกตะลึงพรึงเพริดกับการลงมือสังหารเถ้าแก่เส็งอย่างอุกอาจในครั้งนี้
เพื่อนเถ้าแก่เส็งทั้ง 3 คน ที่นั่งร่วมโต๊ะกับเถ้าแก่เส็ง ล้วนแต่อยู่ในวัยเกษียณแล้วทั้งสิ้น แม้ด้วยวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แต่ชายทั้งสาม ไม่มีใครเลยที่เคยพบกับเหตุการณ์ลอบสังหาร ในระยะกระชั้นชิดขนาดนี้มาก่อน จึงทําให้ชายสูงวัยทั้งสาม ต่างก็อยู่ในสภาพตกตะลึง ทําอะไรไม่ถูก และยังอกสั่นขวัญแขวนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ขณะที่ทุกคนในร้านตกอยู่ในห้วงแห่งความสับสนนั้น ใครซักคนในร้านคาราโอเกะ ก็กลับมามีสติพอ แล้วตะโกนขึ้นว่า
"เฮ้ย มีคนถูกยิง"
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่ถึง 10 วินาที ชายนิรนามผู้ทำหน้าที่เพชรฆาตปลิดชีพเถ้าแก่เส็ง กึ่งวิ่งกึ่งเดินแบบระวังหลังออกจากร้านไป พร้อมกับทิ้งปริศนาแห่งการลงมือสังหารในครั้งนี้ไว้
เถ้าแก่เส็งอยู่ในท่านั่ง ลําตัวเอี้ยวฟุบ และหน้าคว่ำอยู่กับโซฟา หลังจากที่ร่างของแกสะดุ้งเฮือกใหญ่ ในจังหวะที่กระสุนกระทบกับร่างท้วมของชายเชื้อสายจีนผู้นี้
ไฟนีออนในร้านคาราโอเกะถูกเปิดขึ้น เพื่อเพิ่มความสว่างให้กับภายในร้าน เพราะความสว่างในร้านในขณะนั้น มีเพียงแสงริบหรี่ จากหลอดไฟหลากสี ดวงเล็กที่เกาะกลุ่มกันเป็นหย่อมๆ ประกอบกับความสว่างอีกเล็กน้อย ที่มาจากจอฉายคาราโอเกะเท่านั้น ในร้านจึงมีทัศนวิสัยที่จำกัดภายใต้บรรยากาศสลัว ที่พบได้จากร้านคาราโอเกะทั่วไป
"คายก็ล่ายเรียกตำหรวก กับโรงบางให้หน่อย เถ้าแก่เส็งถูกยิง"
หนึ่งในเพื่อนร่วมโต๊ะของเถ้าแก่เส็งแผดเสียงตะโกนออกไปเป็นสำเนียงจีน พร้อมกับช่วยกันประคองร่างอันไร้สติของเถ้าแก่เส็งขึ้นอย่างทุลักทุเล ทันใดนั้น มีเสียงหลุดลอดออกมาจากปากเถ้าแก่เส็ง
"ปล่อยอั๊วก่อง อั๊วไม่เป็งไร"
เพื่อนทั้งสามของเถ้าแก่เส็งหน้าซีดเผือดอีกรอบ และทำตาเบิกโพลงราวกับเห็นผีพร้อมกันทั้งสามคน และได้มองที่หน้าของเถ้าแก่เส็ง และทั้งสามเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ไม่มีรอยเลือดแม้แต่หยดเดียวในบริเวณนั้น
ขณะเดียวกัน เริ่มมีไทยมุงทะยอยกันมาที่โต๊ะของเถ้าแก่เส็งเพื่อดูว่าเถ้าแก่เส็งจะรอดหรือไม่ แต่ไทยมุงล้วนต้องประหลาดใจ เพราะไม่มีเลือดในที่เกิดเหตุเลย มีเพียงกลิ่นควันปืนจางๆ ที่ยังลอยตลบบริเวณนั้น
เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น?
คำถามนี้ลอยวนๆ อยู่ในสมองของไทยมุงและเพื่อนของเถ้าแก่เส็ง ยังไม่ถึง 5 วินาที เสียงของไทยมุงคนหนึ่งก็เริ่มให้ความกระจ่างกับคำถาม โดยลองโยนหินถามทางไปที่เถ้าแก่เส็ง
"เถ้าแก่หนังเหนียวนี่ เถ้าแก่คล้องหลวงพ่ออะไรน่ะ"
ยังไม่ทันที่คำตอบจะหลุดออกจากปากเถ้าแก่เส็ง ในระหว่างนั้นมีเด็กเสิร์ฟในร้านคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มไทยมุง มุดโต๊ะเข้าไปสำรวจ และพบกับหัวกระสุนปืนในสภาพบุบเหมือนกระแทกเข้ากับแผ่นเหล็กหนาไม่มีผิด เด็กเสิร์ฟผู้นั้น หยิบหัวกระสุนนั้นออกมาจากใต้โต๊ะ แล้วลุกพรวดขึ้นยืน พร้อมกับชูหัวกระสุนปืนในมือขึ้น
"นี่ไง หัวลูกปืน เจอความเหนียวของเถ้าแก่เส็งเข้าไป บุบไม่เป็นท่าเลย"
ขณะนั้น ทั้งวัตถุพยานและพยานบุคคลต่างก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า เถ้าแก่เส็งรอดตายจากคมกระสุนครั้งนี้เพราะสิ่งที่เรียกว่า
"คงกระพันชาตรี" ศาสตร์ลึกลับที่เชื่อกันว่า นักรบไทยโบราณมักจะร่ำเรียน เพื่อป้องกันตัวจากคมหอกคมดาบของอริราชศัตรู
"เถ้าแก่เส็งไปเรียนวิชานี้มาจากที่ไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เห็นแต่แกค้าขายไปวันๆ ไม่เห็นสนใจเรื่องพรรค์นี้เลย"
ห้วงคิดคำนึงนี้ผุดขึ้นในสมองของเถ้าแก่ฮวด เพื่อนร่วมโต๊ะของเถ้าแก่เส็งคนหนึ่ง แต่แทนที่เถ้าแก่ฮวดจะถามไปตรงๆ กลับถามแบบอ้อมค้อมตามชั้นเชิงของคนค้าขาย
"เส็ง ลื้อมีลีอาราย ทำมายปึงยิงลื้อไม่เข้าล่ะ"
แทนที่เถ้าแก่เส็งจะตอบ เถ้าแก่เส็งกลับก้มหน้าก้มตา แกะกระดุมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่แกใส่ทุกเม็ด พร้อมกับแหวกเสื้อให้ดูพระที่ห้อยคอ นอกจากทุกคนจะเห็นพระที่ห้อยคอเถ้าแก่เส็งแล้ว ยังเห็นรอยแดงที่เด่นชัดขนาดเท่าเหรียญบาทตรงอกด้านซ้ายข้างหัวนมของเถ้าแก่เส็ง ตรงกลางรอยช้ำนั้นมีรอยไหม้ ขนาดหัวบุหรี่ด้วยเป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่า คมกระสุนไม่สามารถเจาะผ่านเนื้อของเถ้าแก่เส็ง แต่ทิ้งไว้เพียงแค่รอยช้ำและแผลไหม้เท่านั้น "นี่ มัน ปาฏิหารย์ ชัดๆ" ใครบางคนหลุด ปากพึมพำออกมาเบาๆ
"อั๊วคล้องเหรียงหลวงพ่อเณงคามองค์เดียว"
พูดจบเถ้าแก่เส็งใช้สองมือรวบพระที่ห้อยคอแล้วพนมมือ หลับตา ยกมือไหว้ท่วมหัว หลายคนที่มุงอยู่ยกมือพนมแล้วลูบศีรษะ โดยหวังว่าจะได้รับอำนาจคงกระพันชาตรี แห่งเหรียญหลวงพ่อเณรคามบ้าง
ในระหว่างที่หลายคนกำลังตกอยู่ในภาวะเลื่อมใสศรัทธาในปาฏิหารย์ของเหรียญหลวงพ่อเณรคาม ได้มีชายคนหนึ่งซึ่งหลายคนรู้จักเค้าดี ในนาม
"เซียนป๋อง" เซียนพระตัวยงบนถนนสาธุประดิษฐ์ เซียนป๋องเดินแหวกไทยมุงเข้ามา พร้อมกับเอ่ยข้อเสนอในการเช่าพระกับเถ้าแก่เส็งทันที
"เถ้าแก่ครับ เถ้าแก่มีเหรียญหลวงพ่อกี่เหรียญ ผมจะขอเช่าเหรียญนึง ซัก 1 ล้านได้มั้ยครับ"
เกือบทุกคนที่ได้ยินข้อเสนอ ถึงกับหูผึ่ง และอ้าปากหวอ เพราะไม่คิดว่า เหรียญหลวงพ่อเณรคามที่ยังไม่เคยขึ้นทำเนียบพระเครื่องดังเลย จะมีเซียนพระชื่อดังมาขอเช่าในราคาที่สูงขนาดนี้ พร้อมกับรอฟังคำตอบจากเถ้าแก่เส็ง แต่ยังไม่ทันที่เถ้าแก่เส็งจะเอ่ยปาก เถ้าแก่ฮวดกลับชิงตอบเซียนป๋องก่อน
"เซียงป๋อง อั๊วว่า เรื่องเช่าพระไว้คุยวังหลังลีกว่า รอให้ตำหรวกกับหมอมาลูอากางเถ้าแก่เส็งก่องดีมั้ย"
ยังไม่ทันที่เซียนป๋องจะตอบ เถ้าแก่ฮวด ก็ตะโกนถามคนในร้านว่า
"มี คายโทรเรียกตำหรวก กับโรงบางหรือยัง ทำมายมาช้ากังอย่างนี้ คงร้ายหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว โถ่"
เถ้าแก่เส็งคิดว่า คงยังไม่มี ใครโทรเรียกตำรวจกับโรงพยาบาล จึงตะโกนบอกออกไปว่า
"ไม่ต้องโทรเรียกตำหรวกกับโรงบาง อั๊วไม่เป็งไร อั๊วไม่อยากให้เรื่องนี้เป็งข่าว"
แล้วเถ้าแก่ฮวดก็ หันไปมองที่เซียนป๋อง ซึ่งรอฟังคำตอบยืนยันจากเขาอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
"เซียงป๋อง อั๊วมี 2 เหรียง อั๊วขอคิดลูก่องนะ เดี๋ยวอั๊วจะติกต่อไป อั๊วมีเบอร์ร้างลื้ออยู่แล้ว"
แล้วเซียนป๋อง ก็ยิ้มอย่างมีความหวังและเดินแหวกไทยมุงออกไป เพื่อกลับไปนั่งดื่มต่อที่โต๊ะที่เซียนป๋องมานั่งเป็นประจำที่ร้านนี้
ระหว่างนั้น กำนันคง นักการเมืองท้องถิ่นหนึ่งในเพื่อนร่วมโต๊ะเถ้าแก่เส็ง ซึ่งกำลังประคองแขนเถ้าแก่เส็งอยู่ก็ ถามด้วยความสงสัย
"เฮ้ยเส็ง ทำแบบนี้ไม่ได้นะ คดีนี้เป็นคดีอาญา ยังไงก็ต้องแจ้งตำรวจ ให้ตามจับคนร้ายมารับโทษ"
อาจารย์ชู ข้าราชบำนาญ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนที่เพิ่งจะปล่อยมือที่ประคองเถ้าแก่เส็ง เมื่อรู้ว่าลูกปืนไม่สามารถทำอะไรเถ้าแก่เส็งได้ จึงพูดสำทับไปอีกว่า
"ผมเห็นด้วยกับกำนันคงนะ คนร้ายมันจะไปก่อคดีที่ไหนอีกหรือเปล่า ก็ไม่รู้ ให้ตำรวจไปตามจับมันดีกว่านะเฮียเส็ง"
เถ้าแก่เส็งขยับแขน และยกมือขึ้นโอบไหล่ กำนันคงและอาจารย์ชู พยักหน้า 2-3 ครั้ง พร้อมกับมองหน้ากำนันคงและอาจารย์ชู ก่อนที่จะก้มหน้านิ่ง แล้วพูดว่า
"อั๊วเข้าใจความหวังลี ของลื้อทั้งสองคง แต่อั๊วยางไม่รู้เลยว่า ครายมังต้องกางชีวิกอั๊ว"
“ถ้ามีข่าวออกไปว่า มือปึงที่ส่งมาทำงางพลาก มังต้องส่งมือปึงมาซ้ำแน่ๆ"
"ครอบครัวของอั๊วจะตกที่นั่งลำบากไปล่วย อั๊วคงต้องหลบไปที่อึ่งก่อง อั๊วเลยไม่อยากเป็งข่าว"
ทั้งกำนันคง อาจารย์ชู และเถ้าแก่ฮวดต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย กับความรอบคอบของเถ้าแก่เส็ง แล้วเถ้าแก่ฮวดจึงพูดตัดบทขึ้นว่า
"วังนี้อั๊วหมกอารมณ์ กิงเหล้าแล้ว อั๊วจากลับแล้ว อาจางชู กับกำนังคง ลื้อจากิงเหล้าต่อมั้ย"
กำนันคง และอาจารย์ชู ส่ายหน้าแทบจะพร้อมๆ กัน สรุปว่าชายทั้งสี่จะแยกย้ายกันกลับ และร้านคาราโอเกะ ก็เริ่มหรี่ไฟลง และ ดำเนินกิจการต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในบรรดาชายสูงวัยทั้งสี่คนนี้ ที่มักจะแวะเวียนมานั่งคุยกันเคล้าเสียงดนตรี และกลิ่นแอลกอฮอล์ ผู้ที่มีฐานะร่ำรวยที่สุด ก็คือ เถ้าแก่ฮวด ซึ่งเริ่มต้นกิจการจากร้านขายเศษเหล็กเล็กๆ แถวพระราม 3 และด้วยความบากบั่นกับเวลาที่ทุ่มเทกว่า 30 ปี กิจการของเถ้าแก่ฮวด จึงรุ่งเรือง แตกเป็นหลายสาขา และปัจจุบัน ได้ยกธุรกิจให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ที่มีดีกรีปริญญาโทจากอเมริกา มาดำเนินกิจการต่อ และในการมาย่ำราตรีของชายทั้งสี่ มีเพียงเถ้าแก่ฮวดเท่านั้น ที่ขับรถยุโรปคันหรูมาจอดไว้ ในที่จอดรถ VIP ของร้านคาราโอเกะ ส่วนเพื่อนอีกสามคน ล้วนแต่นั่งแท็กซี่มา เถ้าแก่ฮวดจึงเอ่ยปากแสดงน้ำใจต่อมิตรทั้งสามคน
"วังนี้เราสี่คงเจอเรื่องหนักๆ มาล่วยกัง อั๊วขอขับรกไปส่งลื้อทั้งสามคงถึงประตูบ้างเลยนะ"
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง อาจารย์ชูเป็นคนแรกที่ปฏิเสธออกไปอย่างนุ่มนวล พร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยน
"ไม่รบกวนล่ะครับเฮียฮวด ผมว่าไปส่งเฮียเส็งเถอะ ไม่รู้ว่าขวัญกลับมาอยู่กับตัวหรือยัง"
อาจารย์ชูหันไปมองและยื่นมือไปจับแขนซ้ายเถ้าแก่เส็ง ที่กำลังยืนฟังเพื่อนๆ คุยกันอยู่ แล้วอาจารย์ชูก็อวยพรเถ้าแก่เส็งว่า
"จะไปอยู่ที่ไหน ก็ขอให้ปลอดภัยนะเฮียเส็ง กลับมาเมื่อไหร่ ส่งข่าวให้ผมรู้ด้วย"
เถ้าแก่เส็งมองหน้าอาจารย์ชู พร้อมกับพยักหน้า และใช้มือขวาตบเบาๆ ที่มือของอาจารย์ชู ที่จับแขนซ้ายของตนอยู่ เพื่อแสดงการรับรู้ต่อน้ำจิตน้ำใจที่เพื่อนมอบให้
กำนันคงซึ่งยืนอยู่ด้านขวาของเถ้าแก่เส็ง มองเถ้าแก่เส็ง พร้อมกับอวยพรให้เถ้าแก่เส็งเช่นกัน
"เดินทางโดยสวัสดิภาพนะเส็ง"
"เรื่องทางนี้ข้าจะประสานกับตำรวจ"
"และกำชับตำรวจให้ดํำเนินการแบบเงียบๆ"
"รับรองว่าไม่มี ชื่อเอ็งเป็นข่าวแน่นอน"
"เอ็งให้ฮวดไปส่งเถอะ ข้าจะกลับเอง จะได้ไม่ต้องรบกวนฮวดมัน"
เถ้าแก่เส็งหันมามองกำนันคง พร้อมกับพยักหน้า และเอ่ยปากขอบคุณ
"ขอบคุงกำนังมาก ที่เป็งธุระให้ อั๊วคงต้องขอตัวกลับละ"
หลังจากเรียกพนักงานร้านมาลงบัญชีเรียบร้อย ชายสูงวัยทั้งสี่จึงแยกย้ายกันกลับบ้าน จะมีก็เพียงเถ้าแก่ฮวดเท่านั้น ที่ได้ทำหน้าที่เป็นสารถี ขับรถไปส่งเถ้าแก่เส็ง โดยมีจุดหมายปลายทางที่บ้านของเถ้าแก่เส็งบนถนนเจริญกรุง
(-----ฝากติดตาม ==>
ตอนจบ ต่อด้วยนะครับ-----)
นำนิยายที่ผมแต่งมาให้อ่าน เป็นกระทู้แรกของ Pantip.com ครับ (หลวงพ่อเณรคาม #1/2)
หลังจากเสียงปีนสิ้นสุดลง ผู้คนในพื้นที่สังหาร ซึ่งเป็นร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งในย่านพระราม 3 ต่างตกใจกับเสียงปืนที่ดังขึ้น จนร้องเอะอะ ไปทั่วบริเวณ และสับสนว่าเสียงปืนดังมาจากไหน มีเพียงกลุ่มเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเถ้าแก่เส็งเท่านั้น ที่ยังตกตะลึงพรึงเพริดกับการลงมือสังหารเถ้าแก่เส็งอย่างอุกอาจในครั้งนี้
เพื่อนเถ้าแก่เส็งทั้ง 3 คน ที่นั่งร่วมโต๊ะกับเถ้าแก่เส็ง ล้วนแต่อยู่ในวัยเกษียณแล้วทั้งสิ้น แม้ด้วยวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แต่ชายทั้งสาม ไม่มีใครเลยที่เคยพบกับเหตุการณ์ลอบสังหาร ในระยะกระชั้นชิดขนาดนี้มาก่อน จึงทําให้ชายสูงวัยทั้งสาม ต่างก็อยู่ในสภาพตกตะลึง ทําอะไรไม่ถูก และยังอกสั่นขวัญแขวนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ขณะที่ทุกคนในร้านตกอยู่ในห้วงแห่งความสับสนนั้น ใครซักคนในร้านคาราโอเกะ ก็กลับมามีสติพอ แล้วตะโกนขึ้นว่า
เถ้าแก่เส็งอยู่ในท่านั่ง ลําตัวเอี้ยวฟุบ และหน้าคว่ำอยู่กับโซฟา หลังจากที่ร่างของแกสะดุ้งเฮือกใหญ่ ในจังหวะที่กระสุนกระทบกับร่างท้วมของชายเชื้อสายจีนผู้นี้
ไฟนีออนในร้านคาราโอเกะถูกเปิดขึ้น เพื่อเพิ่มความสว่างให้กับภายในร้าน เพราะความสว่างในร้านในขณะนั้น มีเพียงแสงริบหรี่ จากหลอดไฟหลากสี ดวงเล็กที่เกาะกลุ่มกันเป็นหย่อมๆ ประกอบกับความสว่างอีกเล็กน้อย ที่มาจากจอฉายคาราโอเกะเท่านั้น ในร้านจึงมีทัศนวิสัยที่จำกัดภายใต้บรรยากาศสลัว ที่พบได้จากร้านคาราโอเกะทั่วไป
ขณะเดียวกัน เริ่มมีไทยมุงทะยอยกันมาที่โต๊ะของเถ้าแก่เส็งเพื่อดูว่าเถ้าแก่เส็งจะรอดหรือไม่ แต่ไทยมุงล้วนต้องประหลาดใจ เพราะไม่มีเลือดในที่เกิดเหตุเลย มีเพียงกลิ่นควันปืนจางๆ ที่ยังลอยตลบบริเวณนั้น
ในระหว่างที่หลายคนกำลังตกอยู่ในภาวะเลื่อมใสศรัทธาในปาฏิหารย์ของเหรียญหลวงพ่อเณรคาม ได้มีชายคนหนึ่งซึ่งหลายคนรู้จักเค้าดี ในนาม "เซียนป๋อง" เซียนพระตัวยงบนถนนสาธุประดิษฐ์ เซียนป๋องเดินแหวกไทยมุงเข้ามา พร้อมกับเอ่ยข้อเสนอในการเช่าพระกับเถ้าแก่เส็งทันที
ระหว่างนั้น กำนันคง นักการเมืองท้องถิ่นหนึ่งในเพื่อนร่วมโต๊ะเถ้าแก่เส็ง ซึ่งกำลังประคองแขนเถ้าแก่เส็งอยู่ก็ ถามด้วยความสงสัย
ในบรรดาชายสูงวัยทั้งสี่คนนี้ ที่มักจะแวะเวียนมานั่งคุยกันเคล้าเสียงดนตรี และกลิ่นแอลกอฮอล์ ผู้ที่มีฐานะร่ำรวยที่สุด ก็คือ เถ้าแก่ฮวด ซึ่งเริ่มต้นกิจการจากร้านขายเศษเหล็กเล็กๆ แถวพระราม 3 และด้วยความบากบั่นกับเวลาที่ทุ่มเทกว่า 30 ปี กิจการของเถ้าแก่ฮวด จึงรุ่งเรือง แตกเป็นหลายสาขา และปัจจุบัน ได้ยกธุรกิจให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ที่มีดีกรีปริญญาโทจากอเมริกา มาดำเนินกิจการต่อ และในการมาย่ำราตรีของชายทั้งสี่ มีเพียงเถ้าแก่ฮวดเท่านั้น ที่ขับรถยุโรปคันหรูมาจอดไว้ ในที่จอดรถ VIP ของร้านคาราโอเกะ ส่วนเพื่อนอีกสามคน ล้วนแต่นั่งแท็กซี่มา เถ้าแก่ฮวดจึงเอ่ยปากแสดงน้ำใจต่อมิตรทั้งสามคน
กำนันคงซึ่งยืนอยู่ด้านขวาของเถ้าแก่เส็ง มองเถ้าแก่เส็ง พร้อมกับอวยพรให้เถ้าแก่เส็งเช่นกัน