กระทู้นี่ยืม login คุณสามีมาโพสนะคะ ก่อนอื่นเราขอแนะนำตัวซักหน่อยนะคะ เราเป็นเจ้าหน้าที่บุคคลที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนที่มีการตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไป คุณหมอตรวจพบและแจ้งกับเราว่าเรามีเสียงฟู่ๆที่หัวใจ อาการเบื้องต้นเหมือนจะเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว แนะนำให้เราไปตรวจละเอียดกับคุณหมอเฉพาะทางโรคหัวใจอีกครั้ง เรายังนึกขำในใจว่าตรวจผิดหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไรเลย ไม่เคยเหนื่อยง่าย และก็ไม่คิดว่าคนอายุไม่เยอะจะเป็นได้ ซึ่งตอนนั้นเราอายุประมาณยี่สิบกว่าๆเอง แต่เพื่อความสบายใจเราก็ได้ไปปรึกษาคุณหมอเฉพาะทางโรคหัวใจเพื่อทำการตรวจแบบละเอียด คุณหมอลงความเห็นว่าเราเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว คุณหมอเฉพาะทางแจ้งในขณะนั้นว่ายังไม่ต้องทำอะไรและนัดตรวจติดตามอาการเรามาเรื่อยๆ ปีละ 1 ครั้ง เราก็ไปตามนัด ทุกๆ ครั้งที่ไปคุณหมอก็บอกว่าอาการของโรคยังเหมือนเดิมและยังไม่มีอะไรต้องกังวล
กระทั่งต้นปีนี้เองค่ะ(2563) เรามีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงมาก ทำให้ต้องแอดมิดในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นคนละโรงพยาบาลกับที่เราไปตรวจติดตามอาการทางหัวใจ คุณหมอเฉพาะทางด้านทางเดินอาหาร สั่งให้ทำเอกซเรย์ ซีทีสแกน และจะขอส่องกล้องเพื่อดูภาพภายในกระเพาะอาหารเพื่อหาสาเหตุที่ปวดท้อง เนื่องจากไม่มีอาการไข้ ทำให้วินิจฉัยสาเหตุอาการไม่เจอ แต่ก่อนที่จะไปส่องกล้องนั้น ได้มีคุณหมอทางด้านโรคหัวใจมาตรวจเราก่อนเนื่องจากเราแจ้งโรงพยาบาลไว้ว่าเรามีโรคประจำตัวเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว หลังจากที่คุณหมอโรคหัวใจตรวจได้แจ้งกับเราว่าจากเสียงที่คุณหมอได้ยินนั้นเราน่าจะเป็นเยอะมากนะ และดูจากผลเอกซเรย์หัวใจก็เริ่มโตแล้ว คุณหมอบอกว่าเราควรจะต้องมาพบหมอเฉพาะทางด้านโรคหัวใจเพื่อตรวจอย่างละเอียดไม่ควรปล่อยไว้แบบนี้ เราเริ่มมีความกังวลเนื่องจากเราก็ตรวจอยู่อย่างสม่ำเสมอและก็ไม่มีพบอาการผิดปกติอะไรรุนแรงก่อนหน้านี้
หลังจากที่รักษาอาการปวดท้องจนหาย เราจึงได้ไปพบคุณหมอโรคหัวใจ ณ โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่และมีอาจารย์หมอที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อทำการตรวจละเอียดอีกครั้ง คุณหมอแจ้งผลว่าเราเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วระดับรุนแรง สำหรับวิธีการรักษาโรคนี้ คือ ต้องได้รับการผ่าตัดเท่านั้น ซึ่งการผ่าตัดมี 2 แบบ คือ 1 เปลี่ยนลิ้นหัวใจ 2 ซ่อมแซมลิ้นหัวใจ ซึ่งการเปลี่ยนลิ้นหัวใจนั้นจะทำได้ง่ายกว่าแต่มีอายุการใช้งาน อยู่ที่ประมาณ 10 ปี ซึ่งถ้าเราผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนลิ้นหัวใจในตอนนี้ก็อาจจะต้องผ่าอีกหลายครั้งเนื่องจากเราอายุไม่มากเท่าไหร่เพิ่ง สามสิบกว่าๆเอง
และต้องทานยาละลายลิ่มเลือดไปตลอดชีวิตอีกด้วย!!
และสำหรับวิธีที่ 2 การซ่อมแซมลิ้นหัวใจนั้น เป็นวิธีที่ดีกว่าเพราะเป็นการซ่อมแซมลิ้นหัวใจจริงๆ ของเราเองก็จะอยู่กับเราไปตลอดและไม่ต้องทานยาละลายลิ่มเลือดไปตลอดชีวิตด้วย แต่คุณหมอยังไม่ลงความเห็นว่าให้เราผ่าตัดได้เลยเนื่องจากไม่สามารถรับรองว่าผ่าไปแล้วจะสามารถซ่อมแซมลิ้นหัวใจให้เราได้ จะขอติดตามอาการไปเรื่อย ๆ ในขณะที่บอกกับเราว่าลิ้นหัวใจเราเสียหายรุนแรงยังไงวันนึงเราก็ต้องผ่าตัดเพราะถึงยังไงก็ไม่สามารถยื้อไปได้ตลอดชีวิต และจะมีอาการรุนแรงและอันตรายขึ้นเรื่อยๆ ถ้าถึงตอนนั้นก็จะผ่าตัดให้ เรามีความกังวลมากและถามคุณหมอไปว่า ถ้าเราจะขอผ่าเลยได้หรือไม่เพราะเราไม่อยากจะอยู่กับความเสี่ยงแบบนี้ต่อไปแล้ว คุณหมอบอกว่า ”ถ้าเราอยากผ่ามากจริงๆ หมอแนะนำให้เราไปตามหา คุณหมอทวีศักดิ์ โชติวัฒนพงษ์ แต่หมอไม่แน่ใจนะว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่โรงพยาบาลไหน” เราก็ถามไปว่าแล้วท่านจะซ่อมได้เหรอคะ คุณหมอบอกว่า ถ้าในประเทศไทยก็มีท่านนี่แหละที่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ หมอคิดว่าท่านสามารถซ่อมแซมลิ้นหัวใจให้เราได้ หมอยังบอกทิ้งท้ายกับเราว่า หมอไม่กั๊กเลย ลองไปตามหาท่านนะ
เราก็เริ่มมีความหวัง และคิดว่าลองดูกันอีกซักตั้ง
เราก็ได้ตามหาคุณหมอทวีศักดิ์ โชติวัฒนพงษ์จาก google และได้รู้ว่าปัจจุบันท่านประจำอยู่ที่โรงพยาบาลเวชธานี เราได้โทรไปที่โรงพยาบาลเพื่อขอนัดพบคุณหมอ และเมื่อถึงวันนัดเราก็ไปตามนัด ก่อนเข้าห้องตรวจคือลุ้นมาก เพราะเหมือนเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ถ้าคุณหมอบอกว่าไม่สามารถซ่อมได้ คงหมดหวังและต้องอยู่แบบติตตามอาการไปเรื่อยๆ เหมือนเดิม วันที่เราไปพบกับคุณหมอ คุณหมอน่ารักมาก ท่านได้พูดคุยสอบถามข้อมูลกับเราด้วยความเป็นกันเอง และใจเย็นมาก ท่านได้ตรวจเบื้องต้นโดยใช้หูฟัง ฟังเสียงหัวใจพร้อมกับอ่านผลการตรวจจากโรงพยาบาลก่อนหน้านี้ที่เราได้แนบไป และสุดท้ายท่านบอกเราว่าท่านสามารถซ่อมแซมลิ้นหัวใจให้เราได้ คืออาจจะไม่ต้องผ่าตัดแบบด่วนมาก แต่ก็ไม่ควรรอต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้ ท่านอธิบายให้เราฟังแบบง่ายๆ ว่าตอนนี้เหมือนหัวใจเรากำลังทำงานล่วงเวลาอยู่และถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆคงไม่ดีแน่ และถ้าเราผ่าตอนที่เรายังไม่มีอาการแทรกซ้อนก็จะทำให้การผ่าตัดนั้นง่ายกว่าและฟื้นตัวเร็วกว่าด้วย คือพอได้ยินแบบนั้นเราดีใจมากๆ เหมือนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเราก็กลับมาปรึกษากันในครอบครัวและขอนัดคุณหมอเพื่อวางแผนการผ่าตัด ระหว่างที่รอวันผ่าก็ตื่นเต้น นับวันรอเลยทีเดียว ถือเป็นวันสำคัญสำหรับชีวิตเรามาก เหมือนจะได้ชีวิตใหม่เลย และระหว่างทางก่อนผ่านั้น เราก็ได้รับการดูแลที่ดีมากๆ จากพี่พยาบาลจากทางศูนย์หัวใจ ที่โทรมาให้กำลังใจ และให้คำแนะนำ อีกทั้งยังให้เราสามารถติดต่อไปทางไลน์ได้ตลอดอีกด้วย ซึ่งทำให้เราอุ่นใจได้มาก หลายๆครั้งที่เราติดใจสงสัยหรือมีคำถามอะไรอยากถามคุณหมอหรือพี่พยาบาล ก็ได้รับคำตอบกลับอย่างรวดเร็วเสมอ
และก่อนผ่าสามวันเราต้องไปเจาะเลือดเพื่อทำการจองเลือดที่เหมาะสมกับเราไว้ใช้ในการผ่าตัดเนื่องจากเป็นการผ่าตัดใหญ่ ร่างกายเราจะต้องเสียเลือดในปริมาณมากต้องมีการให้เลือด
และแล้ววันที่เรารอคอยก็มาถึง วันที่จะได้ผ่าตัด คืนนั้นหลังเที่ยงคืนเราต้องงดน้ำงดอาหาร
เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณ 8 โมงเช้า พอไปถึงพยาบาลก็ทำการเจาะเลือดเพื่อไปตรวจและคาเข็มทิ้งไว้เพื่อใช้ในห้องผ่าตัดเลย จากนั้นก็มีการเอกซเรย์ปอด พบคุณหมอปอด ร่วมถึงพูดคุยกับนักกายภาพเพื่อฝึกการหายใจ ที่เราต้องฝึกการหายใจก่อนผ่าเพราะผ่าแล้วเราจะเจ็บแผลและทำให้เรียนรู้ได้ไม่ดีเท่าตอนปกติ คุณหมอบอกว่าการฝึกหายใจนั้นสำคัญมาก ถ้าเราหายใจไม่ถูกต้องหลังผ่ามีโอกาสที่ปอดจะแฟบและติดเชื้อได้ หลังจากที่เราได้รับการตรวจร่างกายและพบแพทย์ทุกคนในขั้นตอนก่อนผ่าเสร็จสิ้น พยาบาลก็ให้รับประทานอาหารได้ และให้งดอาหารอีกครั้งหลังจาก 11 โมงไปแล้ว ซึ่งตอนนี้ได้ห้องแล้วค่ะ ระหว่างนั้นก็นอนรอการผ่าในช่วงเย็น ช่วงนั้นคุณหมอทวีศักดิ์ก็มาเยี่ยมที่ห้อง มาพูดคุยให้กำลังใจอีกครั้งเพื่อให้เราสบายใจและอธิบายเกี่ยวกับรายละเอียดในห้องผ่า รวมถึงคอนเฟิร์มกำหนดการอีกครั้งด้วย อีกทั้งยังมีทีมพยาบาลมาพูดคุยด้วยตลอด ช่วยผ่อนคลายความกังวลไปได้เยอะ ซึ่งตอนนั้นไม่ได้กังวลเรื่องการผ่าเท่าไหร่เพราะเรามั่นใจในคุณหมอและทีมงานมากๆ จะกังวลเรื่องความเจ็บและเรื่องการฟื้นตัวมากกว่า
พอถึงเวลา 6 โมงเย็นก็มีคนมาเข็นเราไปที่ห้องผ่าตัดเรารู้สึกตัวแค่ตอนที่เข้าห้องผ่า คุณหมอถามชื่อนามสกุล และบอกว่าจะฉีดยาให้เราหลับไปนะ ต่อจากนั้นก็ไม่รู้อะไรแล้ว สามีบอกว่าเราออกจากห้องผ่าตัด ตอน 3 ทุ่มกว่าๆ (คุณหมอบอกว่าใช้เวลาผ่าจริงประมาณชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งถือว่าเร็วมาก หลังจากนั้นคุณหมอให้นอนรอดูอาการอยู่ในห้องผ่าตัดก่อนที่จะเข็นมาที่พักต่อที่ห้อง ไอ ซี ยู) เรารู้สึกตัวประมาณ 5 ทุ่ม ตอนนั้นมีพยาบาล2คนที่อยู่กับเราตลอดเวลาในห้องไอซียู พยาบาลดูแลเราอย่างใกล้ชิดมาก เฝ้าดูอาการที่หน้าห้องตลอดเวลา คุณหมอมาเยี่ยมเราตอนประมาณตี 2 บอกว่าการผ่าตัดเรียบร้อยดี ดีแล้วที่เราตัดสินใจผ่าเร็ว คุณหมอได้ทำการซ่อมแซมลิ้นหัวใจเราที่เสียหายไปทั้งหมด 3 จุด พร้อมกับใช้หูฟัง ฟังเสียงหัวใจ คุณหมอบอกว่าเสียงเงียบสนิทเลย เราดีใจและโล่งใจมาก น้ำตาไหลเลย อยากขอบคุณคุณหมอมากๆ แต่ยังพูดอะไรไม่ได้ในตอนนั้นเนื่องจากใส่ท่อช่วยหายใจอยู่
เช้ามาก็ได้มีการเจาะเลือดไปตรวจ พยาบาลบอกว่าถ้าผลเลือดผ่าน ก็จะถอดเครื่องช่วยหายใจให้เลย ซึ่งปรากฏว่าผลเลือดผ่าน ช่วงสายๆ พยาบาลก็ถอดเครื่องช่วยหายใจให้ และก็มีเจ้าหน้าที่มาเอกซเรย์และก็ให้เริ่มจิบน้ำได้ สำหรับอาหารมื้อแรกหลังผ่าคือมื้อเย็น โรงพยาบาลจัดอาหารอ่อนๆ ให้เรา
วันที่ 2 หลังจากการผ่าอาการเราดีขึ้นมากเลือดที่อยู่ในช่องท้องลดลงจนร่างกายสามารถระบายเองได้ คุณหมอจึงได้ถอดสายเดรนเลือดออกให้ รู้สึกสบายตัวขึ้นไม่ต้องมีสายระโยงระยาง
เราพักอยู่ห้องไอซียู2คืน พยาบาลที่นี่น่ารักมาก ดูแลใกล้ชิดเป็นอย่างดี ตลอด24ชม. ทำให้ทุกอย่าง ป้อนข้าว ป้อนน้ำ สระผม แปรงฟัน หลังจากนั้นก็มาพักต่อที่ห้องพิเศษ ระหว่างนั้น ช่วงเช้าจะมีการเอกซเรย์ทรวงอก และทางคุณหมอทวีศักดิ์ คุณหมออายุรกรรมหัวใจ คุณหมอกายภาพ คุณหมอปอด คุณหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟู และนักโภชนาการจะมาให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดทุกวัน เรียกได้ว่าเดินเข้าออกสลับกันเลยค่ะ พี่พยาบาลศูนย์หัวใจก็มาเยี่ยมทุกวัน น่ารักมาก คุณหมอบอกว่าร่างกายเราฟื้นตัวเร็วมาก นั่นก็เป็นเพราะเราได้รับการผ่าตัดที่เร็วอายุยังไม่มากและไม่มีโรคแทรกซ้อน และเราก็ทำตามที่คุณหมอทุกคนแนะนำอย่างเคร่งครัด พยายามทานโปรตีนเยอะๆ หายใจให้ถูกต้อง ทำกายภาพ ออกกำลังกายตามที่นักกายภาพสอน และหัดเดิน ถ้าเราเดินได้ พอช่วยเหลือตนเองได้ ผลเลือดปกติ คุณหมอก็จะให้กลับบ้านได้ เรานอนอยู่ห้องพิเศษ 5 วัน หลังจากนั้น คุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ซึ่งถือว่าเร็วมาก และคุณหมอก็เขียนใบรับรองแพทย์ให้เราหยุดงานอีก 45 วันเพื่อพีกฟื้นร่างกายที่บ้าน
ช่วงที่กลับมาพักฟื้นที่บ้าน สามีเป็นคนดูแลอยู่กับเราตลอด 24 ชม. ช่วงนี้ก็ถือเป็นช่วงสำคัญเช่นกัน ทางโรงพยาบาล จะมีเอกสารคำแนะนำในการปฏิบัติตัวมาให้ด้วย ทั้งเรื่องการออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร และการสังเกตอาการผิดปกติ ในช่วงแรก หากมีอาการหน้ามืด วูบ แน่นหน้าอก หรือเกิดการอักเสบของแผลผ่าตัด คุณหมอบอกให้เรากลับไปพบคุณหมอทันที แต่เราก็ไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลย ทานข้าวได้ และอาการก็ดีขึ้นทุกวันตามลำดับ
เราเดินออกกำลังกายช้าๆ เริ่มจากวันละ 5 นาที และก็เพิ่มเวลาไปเรื่อยๆ จนถึงครึ่งชั่วโมง หลังจากกลับมาพักที่บ้าน 7 วัน ก็เอาผ้าที่ปิดแผลออก แผลเรียบสนิทมาก คุณหมอเย็บแผลสวยมาก และเราก็ส่งการบ้านให้พี่พยาบาลศูนย์หัวใจ โดยการถ่ายรูปแผลหลังจากที่แกะผ้าปิดแผลแล้วให้กับพี่เค้า พี่พยาบาลเค้านำไปส่งต่อให้คุณหมอดูค่ะ คุณหมอก็แจ้งกลับว่าแผลเรียบร้อยดี สบายใจไปอีกขั้นหนึ่ง
ตอนนี้เราผ่าตัดมาได้ 2 เดือนแล้ว และกลับไปทำงานได้ตามปกติ ใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ เพียงแต่งดการยกของหนักๆ และการขับขี่รถ เลี่ยงอาหารเค็ม มัน เผ็ดไปก่อน ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร
ชีวิตหลังจากการผ่าตัดเรามีความสุขมาก ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว แต่ก็บอกกับตัวเองว่าต้องไม่ประหม่า ต้องไปพบคุณหมอตามนัดทุกครั้งและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จะได้อยู่กับคนที่เรารักไปนานๆ
ประเด็นสำคัญที่เราอยากแบ่งปัน คือ ถ้าใครเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วเหมือนกับเราอย่าได้นิ่งนอนใจ คุณควรที่จะไปปรึกษาคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในด้านนี้จริงๆ เราเป็นคนหนึ่งที่โชคดีมากที่มีโอกาสได้พบกับ คุณหมอทวีศักดิ์ โชติวัฒนพงษ์ เราได้รับการผ่าตัดซ่อมแซมลิ้นหัวใจจากท่าน โดยที่หัวใจเรากลับมาเหมือนคนปกติ โดยไม่ต้องใช้ลิ้นหัวใจเทียมซึ่งมีอายุการใช้งานจำกัดและจะต้องผ่าตัดซ้ำอีกประมาณทุกๆ 10 ปี อีกทั้งต้องทานยาไปตลอดชีวิต เราอยากให้ทุก ๆ คนที่เป็นโรคนี้เจอคุณหมอที่สามารถผ่าตัดซ่อมแซมให้ได้ และโชคดีเหมือนกับเรานะ
ป.ล. ที่เขียนมาทั้งหมดก็ไม่ได้หมายความว่าการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมไม่ดีนะคะ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างของแต่ละคนด้วย
ประสบการณ์การผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจจากโรคลิ้นหัวใจรั่ว
ก่อนหน้านี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนที่มีการตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไป คุณหมอตรวจพบและแจ้งกับเราว่าเรามีเสียงฟู่ๆที่หัวใจ อาการเบื้องต้นเหมือนจะเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว แนะนำให้เราไปตรวจละเอียดกับคุณหมอเฉพาะทางโรคหัวใจอีกครั้ง เรายังนึกขำในใจว่าตรวจผิดหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไรเลย ไม่เคยเหนื่อยง่าย และก็ไม่คิดว่าคนอายุไม่เยอะจะเป็นได้ ซึ่งตอนนั้นเราอายุประมาณยี่สิบกว่าๆเอง แต่เพื่อความสบายใจเราก็ได้ไปปรึกษาคุณหมอเฉพาะทางโรคหัวใจเพื่อทำการตรวจแบบละเอียด คุณหมอลงความเห็นว่าเราเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว คุณหมอเฉพาะทางแจ้งในขณะนั้นว่ายังไม่ต้องทำอะไรและนัดตรวจติดตามอาการเรามาเรื่อยๆ ปีละ 1 ครั้ง เราก็ไปตามนัด ทุกๆ ครั้งที่ไปคุณหมอก็บอกว่าอาการของโรคยังเหมือนเดิมและยังไม่มีอะไรต้องกังวล
กระทั่งต้นปีนี้เองค่ะ(2563) เรามีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงมาก ทำให้ต้องแอดมิดในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นคนละโรงพยาบาลกับที่เราไปตรวจติดตามอาการทางหัวใจ คุณหมอเฉพาะทางด้านทางเดินอาหาร สั่งให้ทำเอกซเรย์ ซีทีสแกน และจะขอส่องกล้องเพื่อดูภาพภายในกระเพาะอาหารเพื่อหาสาเหตุที่ปวดท้อง เนื่องจากไม่มีอาการไข้ ทำให้วินิจฉัยสาเหตุอาการไม่เจอ แต่ก่อนที่จะไปส่องกล้องนั้น ได้มีคุณหมอทางด้านโรคหัวใจมาตรวจเราก่อนเนื่องจากเราแจ้งโรงพยาบาลไว้ว่าเรามีโรคประจำตัวเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว หลังจากที่คุณหมอโรคหัวใจตรวจได้แจ้งกับเราว่าจากเสียงที่คุณหมอได้ยินนั้นเราน่าจะเป็นเยอะมากนะ และดูจากผลเอกซเรย์หัวใจก็เริ่มโตแล้ว คุณหมอบอกว่าเราควรจะต้องมาพบหมอเฉพาะทางด้านโรคหัวใจเพื่อตรวจอย่างละเอียดไม่ควรปล่อยไว้แบบนี้ เราเริ่มมีความกังวลเนื่องจากเราก็ตรวจอยู่อย่างสม่ำเสมอและก็ไม่มีพบอาการผิดปกติอะไรรุนแรงก่อนหน้านี้
หลังจากที่รักษาอาการปวดท้องจนหาย เราจึงได้ไปพบคุณหมอโรคหัวใจ ณ โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่และมีอาจารย์หมอที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อทำการตรวจละเอียดอีกครั้ง คุณหมอแจ้งผลว่าเราเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วระดับรุนแรง สำหรับวิธีการรักษาโรคนี้ คือ ต้องได้รับการผ่าตัดเท่านั้น ซึ่งการผ่าตัดมี 2 แบบ คือ 1 เปลี่ยนลิ้นหัวใจ 2 ซ่อมแซมลิ้นหัวใจ ซึ่งการเปลี่ยนลิ้นหัวใจนั้นจะทำได้ง่ายกว่าแต่มีอายุการใช้งาน อยู่ที่ประมาณ 10 ปี ซึ่งถ้าเราผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนลิ้นหัวใจในตอนนี้ก็อาจจะต้องผ่าอีกหลายครั้งเนื่องจากเราอายุไม่มากเท่าไหร่เพิ่ง สามสิบกว่าๆเอง
และต้องทานยาละลายลิ่มเลือดไปตลอดชีวิตอีกด้วย!!
และสำหรับวิธีที่ 2 การซ่อมแซมลิ้นหัวใจนั้น เป็นวิธีที่ดีกว่าเพราะเป็นการซ่อมแซมลิ้นหัวใจจริงๆ ของเราเองก็จะอยู่กับเราไปตลอดและไม่ต้องทานยาละลายลิ่มเลือดไปตลอดชีวิตด้วย แต่คุณหมอยังไม่ลงความเห็นว่าให้เราผ่าตัดได้เลยเนื่องจากไม่สามารถรับรองว่าผ่าไปแล้วจะสามารถซ่อมแซมลิ้นหัวใจให้เราได้ จะขอติดตามอาการไปเรื่อย ๆ ในขณะที่บอกกับเราว่าลิ้นหัวใจเราเสียหายรุนแรงยังไงวันนึงเราก็ต้องผ่าตัดเพราะถึงยังไงก็ไม่สามารถยื้อไปได้ตลอดชีวิต และจะมีอาการรุนแรงและอันตรายขึ้นเรื่อยๆ ถ้าถึงตอนนั้นก็จะผ่าตัดให้ เรามีความกังวลมากและถามคุณหมอไปว่า ถ้าเราจะขอผ่าเลยได้หรือไม่เพราะเราไม่อยากจะอยู่กับความเสี่ยงแบบนี้ต่อไปแล้ว คุณหมอบอกว่า ”ถ้าเราอยากผ่ามากจริงๆ หมอแนะนำให้เราไปตามหา คุณหมอทวีศักดิ์ โชติวัฒนพงษ์ แต่หมอไม่แน่ใจนะว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่โรงพยาบาลไหน” เราก็ถามไปว่าแล้วท่านจะซ่อมได้เหรอคะ คุณหมอบอกว่า ถ้าในประเทศไทยก็มีท่านนี่แหละที่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ หมอคิดว่าท่านสามารถซ่อมแซมลิ้นหัวใจให้เราได้ หมอยังบอกทิ้งท้ายกับเราว่า หมอไม่กั๊กเลย ลองไปตามหาท่านนะ
เราก็เริ่มมีความหวัง และคิดว่าลองดูกันอีกซักตั้ง
เราก็ได้ตามหาคุณหมอทวีศักดิ์ โชติวัฒนพงษ์จาก google และได้รู้ว่าปัจจุบันท่านประจำอยู่ที่โรงพยาบาลเวชธานี เราได้โทรไปที่โรงพยาบาลเพื่อขอนัดพบคุณหมอ และเมื่อถึงวันนัดเราก็ไปตามนัด ก่อนเข้าห้องตรวจคือลุ้นมาก เพราะเหมือนเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ถ้าคุณหมอบอกว่าไม่สามารถซ่อมได้ คงหมดหวังและต้องอยู่แบบติตตามอาการไปเรื่อยๆ เหมือนเดิม วันที่เราไปพบกับคุณหมอ คุณหมอน่ารักมาก ท่านได้พูดคุยสอบถามข้อมูลกับเราด้วยความเป็นกันเอง และใจเย็นมาก ท่านได้ตรวจเบื้องต้นโดยใช้หูฟัง ฟังเสียงหัวใจพร้อมกับอ่านผลการตรวจจากโรงพยาบาลก่อนหน้านี้ที่เราได้แนบไป และสุดท้ายท่านบอกเราว่าท่านสามารถซ่อมแซมลิ้นหัวใจให้เราได้ คืออาจจะไม่ต้องผ่าตัดแบบด่วนมาก แต่ก็ไม่ควรรอต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้ ท่านอธิบายให้เราฟังแบบง่ายๆ ว่าตอนนี้เหมือนหัวใจเรากำลังทำงานล่วงเวลาอยู่และถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆคงไม่ดีแน่ และถ้าเราผ่าตอนที่เรายังไม่มีอาการแทรกซ้อนก็จะทำให้การผ่าตัดนั้นง่ายกว่าและฟื้นตัวเร็วกว่าด้วย คือพอได้ยินแบบนั้นเราดีใจมากๆ เหมือนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเราก็กลับมาปรึกษากันในครอบครัวและขอนัดคุณหมอเพื่อวางแผนการผ่าตัด ระหว่างที่รอวันผ่าก็ตื่นเต้น นับวันรอเลยทีเดียว ถือเป็นวันสำคัญสำหรับชีวิตเรามาก เหมือนจะได้ชีวิตใหม่เลย และระหว่างทางก่อนผ่านั้น เราก็ได้รับการดูแลที่ดีมากๆ จากพี่พยาบาลจากทางศูนย์หัวใจ ที่โทรมาให้กำลังใจ และให้คำแนะนำ อีกทั้งยังให้เราสามารถติดต่อไปทางไลน์ได้ตลอดอีกด้วย ซึ่งทำให้เราอุ่นใจได้มาก หลายๆครั้งที่เราติดใจสงสัยหรือมีคำถามอะไรอยากถามคุณหมอหรือพี่พยาบาล ก็ได้รับคำตอบกลับอย่างรวดเร็วเสมอ
และก่อนผ่าสามวันเราต้องไปเจาะเลือดเพื่อทำการจองเลือดที่เหมาะสมกับเราไว้ใช้ในการผ่าตัดเนื่องจากเป็นการผ่าตัดใหญ่ ร่างกายเราจะต้องเสียเลือดในปริมาณมากต้องมีการให้เลือด
และแล้ววันที่เรารอคอยก็มาถึง วันที่จะได้ผ่าตัด คืนนั้นหลังเที่ยงคืนเราต้องงดน้ำงดอาหาร
เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณ 8 โมงเช้า พอไปถึงพยาบาลก็ทำการเจาะเลือดเพื่อไปตรวจและคาเข็มทิ้งไว้เพื่อใช้ในห้องผ่าตัดเลย จากนั้นก็มีการเอกซเรย์ปอด พบคุณหมอปอด ร่วมถึงพูดคุยกับนักกายภาพเพื่อฝึกการหายใจ ที่เราต้องฝึกการหายใจก่อนผ่าเพราะผ่าแล้วเราจะเจ็บแผลและทำให้เรียนรู้ได้ไม่ดีเท่าตอนปกติ คุณหมอบอกว่าการฝึกหายใจนั้นสำคัญมาก ถ้าเราหายใจไม่ถูกต้องหลังผ่ามีโอกาสที่ปอดจะแฟบและติดเชื้อได้ หลังจากที่เราได้รับการตรวจร่างกายและพบแพทย์ทุกคนในขั้นตอนก่อนผ่าเสร็จสิ้น พยาบาลก็ให้รับประทานอาหารได้ และให้งดอาหารอีกครั้งหลังจาก 11 โมงไปแล้ว ซึ่งตอนนี้ได้ห้องแล้วค่ะ ระหว่างนั้นก็นอนรอการผ่าในช่วงเย็น ช่วงนั้นคุณหมอทวีศักดิ์ก็มาเยี่ยมที่ห้อง มาพูดคุยให้กำลังใจอีกครั้งเพื่อให้เราสบายใจและอธิบายเกี่ยวกับรายละเอียดในห้องผ่า รวมถึงคอนเฟิร์มกำหนดการอีกครั้งด้วย อีกทั้งยังมีทีมพยาบาลมาพูดคุยด้วยตลอด ช่วยผ่อนคลายความกังวลไปได้เยอะ ซึ่งตอนนั้นไม่ได้กังวลเรื่องการผ่าเท่าไหร่เพราะเรามั่นใจในคุณหมอและทีมงานมากๆ จะกังวลเรื่องความเจ็บและเรื่องการฟื้นตัวมากกว่า
พอถึงเวลา 6 โมงเย็นก็มีคนมาเข็นเราไปที่ห้องผ่าตัดเรารู้สึกตัวแค่ตอนที่เข้าห้องผ่า คุณหมอถามชื่อนามสกุล และบอกว่าจะฉีดยาให้เราหลับไปนะ ต่อจากนั้นก็ไม่รู้อะไรแล้ว สามีบอกว่าเราออกจากห้องผ่าตัด ตอน 3 ทุ่มกว่าๆ (คุณหมอบอกว่าใช้เวลาผ่าจริงประมาณชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งถือว่าเร็วมาก หลังจากนั้นคุณหมอให้นอนรอดูอาการอยู่ในห้องผ่าตัดก่อนที่จะเข็นมาที่พักต่อที่ห้อง ไอ ซี ยู) เรารู้สึกตัวประมาณ 5 ทุ่ม ตอนนั้นมีพยาบาล2คนที่อยู่กับเราตลอดเวลาในห้องไอซียู พยาบาลดูแลเราอย่างใกล้ชิดมาก เฝ้าดูอาการที่หน้าห้องตลอดเวลา คุณหมอมาเยี่ยมเราตอนประมาณตี 2 บอกว่าการผ่าตัดเรียบร้อยดี ดีแล้วที่เราตัดสินใจผ่าเร็ว คุณหมอได้ทำการซ่อมแซมลิ้นหัวใจเราที่เสียหายไปทั้งหมด 3 จุด พร้อมกับใช้หูฟัง ฟังเสียงหัวใจ คุณหมอบอกว่าเสียงเงียบสนิทเลย เราดีใจและโล่งใจมาก น้ำตาไหลเลย อยากขอบคุณคุณหมอมากๆ แต่ยังพูดอะไรไม่ได้ในตอนนั้นเนื่องจากใส่ท่อช่วยหายใจอยู่
เช้ามาก็ได้มีการเจาะเลือดไปตรวจ พยาบาลบอกว่าถ้าผลเลือดผ่าน ก็จะถอดเครื่องช่วยหายใจให้เลย ซึ่งปรากฏว่าผลเลือดผ่าน ช่วงสายๆ พยาบาลก็ถอดเครื่องช่วยหายใจให้ และก็มีเจ้าหน้าที่มาเอกซเรย์และก็ให้เริ่มจิบน้ำได้ สำหรับอาหารมื้อแรกหลังผ่าคือมื้อเย็น โรงพยาบาลจัดอาหารอ่อนๆ ให้เรา
วันที่ 2 หลังจากการผ่าอาการเราดีขึ้นมากเลือดที่อยู่ในช่องท้องลดลงจนร่างกายสามารถระบายเองได้ คุณหมอจึงได้ถอดสายเดรนเลือดออกให้ รู้สึกสบายตัวขึ้นไม่ต้องมีสายระโยงระยาง
เราพักอยู่ห้องไอซียู2คืน พยาบาลที่นี่น่ารักมาก ดูแลใกล้ชิดเป็นอย่างดี ตลอด24ชม. ทำให้ทุกอย่าง ป้อนข้าว ป้อนน้ำ สระผม แปรงฟัน หลังจากนั้นก็มาพักต่อที่ห้องพิเศษ ระหว่างนั้น ช่วงเช้าจะมีการเอกซเรย์ทรวงอก และทางคุณหมอทวีศักดิ์ คุณหมออายุรกรรมหัวใจ คุณหมอกายภาพ คุณหมอปอด คุณหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟู และนักโภชนาการจะมาให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดทุกวัน เรียกได้ว่าเดินเข้าออกสลับกันเลยค่ะ พี่พยาบาลศูนย์หัวใจก็มาเยี่ยมทุกวัน น่ารักมาก คุณหมอบอกว่าร่างกายเราฟื้นตัวเร็วมาก นั่นก็เป็นเพราะเราได้รับการผ่าตัดที่เร็วอายุยังไม่มากและไม่มีโรคแทรกซ้อน และเราก็ทำตามที่คุณหมอทุกคนแนะนำอย่างเคร่งครัด พยายามทานโปรตีนเยอะๆ หายใจให้ถูกต้อง ทำกายภาพ ออกกำลังกายตามที่นักกายภาพสอน และหัดเดิน ถ้าเราเดินได้ พอช่วยเหลือตนเองได้ ผลเลือดปกติ คุณหมอก็จะให้กลับบ้านได้ เรานอนอยู่ห้องพิเศษ 5 วัน หลังจากนั้น คุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ซึ่งถือว่าเร็วมาก และคุณหมอก็เขียนใบรับรองแพทย์ให้เราหยุดงานอีก 45 วันเพื่อพีกฟื้นร่างกายที่บ้าน
ช่วงที่กลับมาพักฟื้นที่บ้าน สามีเป็นคนดูแลอยู่กับเราตลอด 24 ชม. ช่วงนี้ก็ถือเป็นช่วงสำคัญเช่นกัน ทางโรงพยาบาล จะมีเอกสารคำแนะนำในการปฏิบัติตัวมาให้ด้วย ทั้งเรื่องการออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร และการสังเกตอาการผิดปกติ ในช่วงแรก หากมีอาการหน้ามืด วูบ แน่นหน้าอก หรือเกิดการอักเสบของแผลผ่าตัด คุณหมอบอกให้เรากลับไปพบคุณหมอทันที แต่เราก็ไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลย ทานข้าวได้ และอาการก็ดีขึ้นทุกวันตามลำดับ
เราเดินออกกำลังกายช้าๆ เริ่มจากวันละ 5 นาที และก็เพิ่มเวลาไปเรื่อยๆ จนถึงครึ่งชั่วโมง หลังจากกลับมาพักที่บ้าน 7 วัน ก็เอาผ้าที่ปิดแผลออก แผลเรียบสนิทมาก คุณหมอเย็บแผลสวยมาก และเราก็ส่งการบ้านให้พี่พยาบาลศูนย์หัวใจ โดยการถ่ายรูปแผลหลังจากที่แกะผ้าปิดแผลแล้วให้กับพี่เค้า พี่พยาบาลเค้านำไปส่งต่อให้คุณหมอดูค่ะ คุณหมอก็แจ้งกลับว่าแผลเรียบร้อยดี สบายใจไปอีกขั้นหนึ่ง
ตอนนี้เราผ่าตัดมาได้ 2 เดือนแล้ว และกลับไปทำงานได้ตามปกติ ใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ เพียงแต่งดการยกของหนักๆ และการขับขี่รถ เลี่ยงอาหารเค็ม มัน เผ็ดไปก่อน ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร
ชีวิตหลังจากการผ่าตัดเรามีความสุขมาก ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว แต่ก็บอกกับตัวเองว่าต้องไม่ประหม่า ต้องไปพบคุณหมอตามนัดทุกครั้งและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จะได้อยู่กับคนที่เรารักไปนานๆ
ประเด็นสำคัญที่เราอยากแบ่งปัน คือ ถ้าใครเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วเหมือนกับเราอย่าได้นิ่งนอนใจ คุณควรที่จะไปปรึกษาคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในด้านนี้จริงๆ เราเป็นคนหนึ่งที่โชคดีมากที่มีโอกาสได้พบกับ คุณหมอทวีศักดิ์ โชติวัฒนพงษ์ เราได้รับการผ่าตัดซ่อมแซมลิ้นหัวใจจากท่าน โดยที่หัวใจเรากลับมาเหมือนคนปกติ โดยไม่ต้องใช้ลิ้นหัวใจเทียมซึ่งมีอายุการใช้งานจำกัดและจะต้องผ่าตัดซ้ำอีกประมาณทุกๆ 10 ปี อีกทั้งต้องทานยาไปตลอดชีวิต เราอยากให้ทุก ๆ คนที่เป็นโรคนี้เจอคุณหมอที่สามารถผ่าตัดซ่อมแซมให้ได้ และโชคดีเหมือนกับเรานะ
ป.ล. ที่เขียนมาทั้งหมดก็ไม่ได้หมายความว่าการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมไม่ดีนะคะ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างของแต่ละคนด้วย