ผมเป็นคนที่ค่อยข้างเกลียดการบูลลี่ทั้งทางตรงและทางอ้อม และทั้งการที่ตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ ทั้งทางวาจาและการกระทำ ถึงใครจะไม่ได้ตั้งใจจะบูลลี่ แต่เพราะแค่คำพูดที่เห็นว่าสนุกและเสียดแทงจิตใจ ถึงอย่างนั้นผมก็เกลียด และไม่เก็ท
อย่างมาก ว่าทำแบบนั้นไปได้ยังไง ไม่คิดก่อน
เหรอก่อนจะทำจะพูดอะไร แต่ครั้งนี้ผมกลับมาเป็นซะเอง
เรื่องมีอยู่ว่าน้องผมค่อยข้างจะอ่อนเรื่องการเรียน วันนี้เราทดสอบเรื่องการเรียนภาษาไทยกันนิดหน่อย แล้วทีนี้น้องมันอ่อนมากจนเรียงอักษรภาษาไทยไม่ถูก ผมก็มีพลาดบ้างเหมือนกัน เราหัวเราะกันดังลั่นบ้าน ผมก็ไม่ว่าอะไรค่อยๆสอนไป
พอตอนเย็นพ่อกลับจากสวน ผมก็ชิงเล่าให้พ่อฟังถึงเรื่องที่เราเรียงภาษาไทยกันไม่ถูก และน้องมันเขียนไม่ถูกด้วย ของผมแค่การเรียงกันของตัวอักษรเล็กๆน้อยๆ แต่น้องมันหนัก ผิดเยอะ ผมก็เล่าให้พ่อฟังเล่าไปหัวเราะไป พ่อก็ขำด้วย ทีนี้ไอ้น้องคนเล็กเลยมาพูดว่าทำไม่พี่อ่อนจังนั่นนี่ ไอ้น้องคนกลางมันเลยเงียบแต่บอกให้ผมหยุดพูด ผมก็พูดต่อเพราะเรื่องมันยังไม่จบ พูดไปหัวเราะไป แล้วบอกมันไปว่าแค่แซวเล่นน่า ทีนี้มันโกรธฟึดฟัดขึ้นห้องไปร้องไห้เสียงดังมาถึงข้างล่าง ผมเลยคิดว่าอ้าวเห้ย นี่กูผิดพลาดอะไรไปวะ ผมเลยย้อนกลับมาคิดดีๆ ผมก็ผิดจริงๆด้วย ที่พูดไปแบบนั้นมันเหมือนการบูลลี่น้องที่มันอ่อนการเรียน ไม่นึกเลยว่าแค่พูดให้พ่อฟังขำๆคลายเครียดจะทำให้มันเก็บไปคิดมากขนาดนี้ เพราะตอนมันผิด มันกับผมยังหัวเราะกันดันลั่นบ้านอยู่เลย
ผมเลยคิดถึงตอนที่ผมเรียนวิชาเอก ตอนนั้นผมก็เป็นแบบมันเลย
วันนั้นผมเข้าเรียนวิชาเอก และเวลานั้นครูให้ซ้อมเข้าวงกัน ซึ่งมีครูดูแลการซักซ้อมอยู่สามท่าน ผมที่เล่นเครื่องดนตรีเครื่องเอกแล้วเล่นผิดบ้าง ลืมบ้าง เล่นไม่ทันพี่ๆบ้าง (ในวงมีแต่รุ่นพี่ม.6มีผมที่อยู่ม.5คนเดียว) พอจบเพลงครูจึงพูดเล่นหยอกล้อนักเรียนกัน ครูคนหนึ่งที่หนุ่มกว่าครูทั้งสองพูดให้ผมประมานว่า " เห้ย เล่นอะไรวะทำไมมันเล่นไม่เพราะไม่เข้ากับพี่เขาเลย พวกพี่นี่เล่นกันโปรเชียว เธอจะมาเล่นป๊อกๆแป๊กๆไม่ได้นะ ต้องพยายามนะ งานนี้จะเล่นได้มั้ยเนี่ย เปลี่ยนตัวมั้ย ให้พี่มาเล่นแทน" แล้วแบบครูอีกสองท่านมองผมด้วยสายตาดูถูกดูแคลนมาก สายตาแบบ เออมันจะเล่นไหวรึเปล่าวะ ผมที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับสตั๊นเลย น้ำตาแทบจะไหลแต่กลั้นไว้กลัวเสียหน้า ตอนแรกที่ครูพูดหยอกผมก็หัวเราะกับพี่ๆอยู่ ยอมรับว่าตัวเองเล่นไม่ค่อยได้คิดว่าเล่นอีกทีหน้าจะค่อยๆปรับปรุง และแก้มือตามที่ครูบอกไป แต่พอคำหลังที่จะให้ผมเปลี่ยนตัวเอาคนมาเล่นแทน ผมถึงกับเสียความรู้สึก เพราะผมพึ่งเล่นเข้าวงได้แค่ครั้งเดียว น่าจะให้เล่นสามสี่ครั้งก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ผมถึงกับหน้าเสียได้แต่ก้มหน้ารับคำสอนไป พวกพี่พอรู้ว่าผมแอบจะร้องไห้ก็ต่างพากันเงียบ เพราะผมสูดน้ำมูกอยู่เบาๆ เพราะกลั้นน้ำตาหนัก
ผมเลยคิดว่าน้องมันคงจะรู้สึกเหมือนผมตอนนั้นแหละ ทั้งๆที่ผมเป็นคนที่คอยระวังเรื่องคำพูดตลอด แต่เหตุการณ์นี้กลับทำให้ผมรู้ว่าบางครั้งเราไม่รู้หรอกว่าคำพูดที่พูดไปมันจะทำร้ายจิตใจคนอื่นไหม เพราะบางครั้งแค่คำพูดที่เราเห็นว่าสนุกไม่เป็นอะไร แต่มันกลับทำร้ายจิตใจคนๆหนึ่งได้อย่างมหาศาล และน่ากลัวมาก ว่าคำพูดที่เราเห็นเพียงว่าสนุกจะบั่นทอนจิตใจ จนเขาเอากลับไปคิด เอาคำพูดพวกนั้นมาทำร้ายจิตใจตัวเองอยู่เรื่อยไป ....
เป็นคนเกลียดการบูลลี่แต่กลับทำซะเอง
อย่างมาก ว่าทำแบบนั้นไปได้ยังไง ไม่คิดก่อน
เหรอก่อนจะทำจะพูดอะไร แต่ครั้งนี้ผมกลับมาเป็นซะเอง
เรื่องมีอยู่ว่าน้องผมค่อยข้างจะอ่อนเรื่องการเรียน วันนี้เราทดสอบเรื่องการเรียนภาษาไทยกันนิดหน่อย แล้วทีนี้น้องมันอ่อนมากจนเรียงอักษรภาษาไทยไม่ถูก ผมก็มีพลาดบ้างเหมือนกัน เราหัวเราะกันดังลั่นบ้าน ผมก็ไม่ว่าอะไรค่อยๆสอนไป
พอตอนเย็นพ่อกลับจากสวน ผมก็ชิงเล่าให้พ่อฟังถึงเรื่องที่เราเรียงภาษาไทยกันไม่ถูก และน้องมันเขียนไม่ถูกด้วย ของผมแค่การเรียงกันของตัวอักษรเล็กๆน้อยๆ แต่น้องมันหนัก ผิดเยอะ ผมก็เล่าให้พ่อฟังเล่าไปหัวเราะไป พ่อก็ขำด้วย ทีนี้ไอ้น้องคนเล็กเลยมาพูดว่าทำไม่พี่อ่อนจังนั่นนี่ ไอ้น้องคนกลางมันเลยเงียบแต่บอกให้ผมหยุดพูด ผมก็พูดต่อเพราะเรื่องมันยังไม่จบ พูดไปหัวเราะไป แล้วบอกมันไปว่าแค่แซวเล่นน่า ทีนี้มันโกรธฟึดฟัดขึ้นห้องไปร้องไห้เสียงดังมาถึงข้างล่าง ผมเลยคิดว่าอ้าวเห้ย นี่กูผิดพลาดอะไรไปวะ ผมเลยย้อนกลับมาคิดดีๆ ผมก็ผิดจริงๆด้วย ที่พูดไปแบบนั้นมันเหมือนการบูลลี่น้องที่มันอ่อนการเรียน ไม่นึกเลยว่าแค่พูดให้พ่อฟังขำๆคลายเครียดจะทำให้มันเก็บไปคิดมากขนาดนี้ เพราะตอนมันผิด มันกับผมยังหัวเราะกันดันลั่นบ้านอยู่เลย
ผมเลยคิดถึงตอนที่ผมเรียนวิชาเอก ตอนนั้นผมก็เป็นแบบมันเลย
วันนั้นผมเข้าเรียนวิชาเอก และเวลานั้นครูให้ซ้อมเข้าวงกัน ซึ่งมีครูดูแลการซักซ้อมอยู่สามท่าน ผมที่เล่นเครื่องดนตรีเครื่องเอกแล้วเล่นผิดบ้าง ลืมบ้าง เล่นไม่ทันพี่ๆบ้าง (ในวงมีแต่รุ่นพี่ม.6มีผมที่อยู่ม.5คนเดียว) พอจบเพลงครูจึงพูดเล่นหยอกล้อนักเรียนกัน ครูคนหนึ่งที่หนุ่มกว่าครูทั้งสองพูดให้ผมประมานว่า " เห้ย เล่นอะไรวะทำไมมันเล่นไม่เพราะไม่เข้ากับพี่เขาเลย พวกพี่นี่เล่นกันโปรเชียว เธอจะมาเล่นป๊อกๆแป๊กๆไม่ได้นะ ต้องพยายามนะ งานนี้จะเล่นได้มั้ยเนี่ย เปลี่ยนตัวมั้ย ให้พี่มาเล่นแทน" แล้วแบบครูอีกสองท่านมองผมด้วยสายตาดูถูกดูแคลนมาก สายตาแบบ เออมันจะเล่นไหวรึเปล่าวะ ผมที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับสตั๊นเลย น้ำตาแทบจะไหลแต่กลั้นไว้กลัวเสียหน้า ตอนแรกที่ครูพูดหยอกผมก็หัวเราะกับพี่ๆอยู่ ยอมรับว่าตัวเองเล่นไม่ค่อยได้คิดว่าเล่นอีกทีหน้าจะค่อยๆปรับปรุง และแก้มือตามที่ครูบอกไป แต่พอคำหลังที่จะให้ผมเปลี่ยนตัวเอาคนมาเล่นแทน ผมถึงกับเสียความรู้สึก เพราะผมพึ่งเล่นเข้าวงได้แค่ครั้งเดียว น่าจะให้เล่นสามสี่ครั้งก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ผมถึงกับหน้าเสียได้แต่ก้มหน้ารับคำสอนไป พวกพี่พอรู้ว่าผมแอบจะร้องไห้ก็ต่างพากันเงียบ เพราะผมสูดน้ำมูกอยู่เบาๆ เพราะกลั้นน้ำตาหนัก
ผมเลยคิดว่าน้องมันคงจะรู้สึกเหมือนผมตอนนั้นแหละ ทั้งๆที่ผมเป็นคนที่คอยระวังเรื่องคำพูดตลอด แต่เหตุการณ์นี้กลับทำให้ผมรู้ว่าบางครั้งเราไม่รู้หรอกว่าคำพูดที่พูดไปมันจะทำร้ายจิตใจคนอื่นไหม เพราะบางครั้งแค่คำพูดที่เราเห็นว่าสนุกไม่เป็นอะไร แต่มันกลับทำร้ายจิตใจคนๆหนึ่งได้อย่างมหาศาล และน่ากลัวมาก ว่าคำพูดที่เราเห็นเพียงว่าสนุกจะบั่นทอนจิตใจ จนเขาเอากลับไปคิด เอาคำพูดพวกนั้นมาทำร้ายจิตใจตัวเองอยู่เรื่อยไป ....