
Chapter Drama (ไม่แนะนำให้อ่านหรอกนะ) ทั้งยาวทั้งเศร้า หากจะวัดความอดทนในการเป็นนักอ่าน ก็ลองดู
ก่อนมามาเดิน สาย ฝ.
ย้อนไป 20 มกราคม 2014 เราเดินออกจากบ้านกับกระเป๋าเสื้อผ้าใบหนึ่ง พร้อมเงิน หนึ่งพันกว่าเศษ จริงๆ ก๊องแก๊งในกระเป๋ากางเกงเรา
เราเป็นใคร คำถามมากมายในหัว ทำไม ทำไม และทำไม
ฉันทิ้งลูก 3 คน ที่ตั้งแต่พวกเขาเกิดไม่เคยห่างจากตัวฉันพร้อมกันทั้งหมดแม้แต่ครั้งเดียว ฉันออกมาเพราะทนไม่ไหว ฉันกำลังจะสูญเสียทุกอย่างในชีวิตไป แต่ฉันจะแพ้เขาไม่ได้ มันหมายถึงเรายอมรับให้พ่อของลูกมีผู้หญิงอีกคน ไปพร้อมกันอยู่ด้วยกันแบบ สามคนผัวเมีย เขาหักหลังฉัน หลังการทะเลาะยืดเยื้อมานานหลายเดือน จนเรารู้สึกว่าเราหมดความอดทนต่อการกระทำของเขาแล้ว แต่ ฉันวันนั้นยังอดทนเพื่ออยู่กับลูกทั้งสามอีก 5 เดือน มันคือ 5 เดือนที่เราไม่คุยกันเลย ไม่มองหน้ากัน เดินสวนกันในบ้านเหมือนอากาศ ที่รู้ว่ามีอยู่ แต่มองไม่เห็น ก่อนจะเดินออกจากบ้านมาทั้งน้ำตา 5 เดือนที่ผู้ชาย ที่ฉันเคยรักและซื่อสัตย์ ร่วมมือกับผู้หญิงคนหนึ่งหักหลังฉัน จนสุดท้ายก็บีบให้ฉัน มีทางเลือก2 ทาง คือ ออกจากชีวิตเขาไป หรือ ยอมรับตำแหน่งเมียหลวงซะ
หลังออกจาบ้านมาได้ 2 สัปดาห์ ลูกก็บอกว่า
"แม่ป๊าบอกจะพาแม่บ้านเข้ามาช่วยดูแลพวกหนู"
เร็วทันใจมากนะ อีก2 สัปดาห์หลังจากนั้น
"แม่หนูได้ยินน้องเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าแม่" ลูกสาวเราพูดด้วยความไร้เดียงสา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมน้องเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าแม่
ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แม่
สงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้นมาอีก ( จะทำแบบนี้กับลูกชายกูไม่ได้เสียงคำรามในใจของเรา หัวใจเราเต้นแรงด้วยความโกรธ)
"จะให้ลูกชายที่บริสุทธิ์ เรียกกะ-รี่ ที่ทำให้บ้านเขาพัง และพรากจากอกแม่แท้ๆของเขาว่า “ แม่” ไม่ได้ ยังมีความเป็นคนอยู่ไม๊" ฉันแผดเสียงใส่เขาดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ถ้ารักมากก็มาเอาไปอยู่ด้วยเลยสิ" เขาตะคอกกลับมา มันคือเสียงพูดในโทรศัพท์ที่รุนแรงที่สุด
"มีปัญญาเลี้ยงเหรอ ตัวเอง เอาตัวให้รอดก่อนเหอะ (เสียงดูถูกเหยียดหยามตามมาในสาย ก่อนตัดสายไป) หลังจากวางสาย
ฉันได้แต่นิ่งน้ำตาไหล อาบหน้า นี่ไงความเสียสละ 13 ปีของฉัน สุดท้ายฉันก็ไม่เหลืออะไร แม้แต่ลูกที่อุ้มท้องและคลอดออกมา แล้วคำพูดหนึ่งก็ดังก้องขึ้นมาในหัวฉันอีกครั้ง "กูหาเลี้ยงนะจำไว้" ฉันแทบเป็นบ้า กินไม่ได้นอนไม่หลับร่างกายซูบผอมไม่มีสง่าราศรี ดวงตาอิดโรย เหมอลอย
หลังออกจากบ้านมา ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่ร้องไห้ ฉันมีเพื่อนๆสมัยมัธยมที่ดีมาก คอยปลอบใจและช่วยเหลือ เพื่อนที่ยังอยู่กับฉันมาจนถึงทุกวันนี้ คอยให้กำลังใจกัดจิก และขบกันเบาๆ
"ฉันทนคิดถึงลูกไม่ไหวแล้ว"
"ไม่ไหวก็หาลูกสิ ไปดูให้หายคิดถึง" ปู พูดพร้อมกับตบไหล่เราเบาๆ แล้วยื่นกุญแจรถให้
"ฉันไม่ได้ใช้รถ พรุ่งนี้แกเอารถฉันไป"
ฉันมองหน้าปูด้วยน้ำตาที่นองหน้า โผเข้ากอดปู ฉันอ่อนแอเหลือเกิน วันต่อมาฉันก็ขับรถไปจอดที่อาคารจอดรถแห่งหนึ่ง ในซอย คอนเวนต์ แล้วเดินออกมา ยืนรอ ที่ต้นใต้ไม้ใหญ่ เยื้องๆบริเวณที่ลูกสาวบอกว่า "ป๊านัดหนูมาขึ้นรถตรงนี้นะแม่"
ตอนที่เห็นลูกสาวสองคนแบกกระเป๋านักเรียนใบใหญ่ออกจากประตูโรงเรียนข้ามถนน ฉันมองตามลูกอยากเดินเข้าไปหา และกอดลูก แต่เสียงพ่อเขาดังเข้ามาในหู ว่า
"ทางนี้เร็วๆหน่อย"
ฉันต้องหยุดแล้วรีบวิ่งกลับหลังมายืนบังต้นไม้ แอบมองลูกสาวฝาแฝด ขึ้นรถกลับบ้านกับพ่อเขา เรายืนร้องไห้แทบขาดใจอยู่ตรงนั้น พอตั้งสติได้ ก็นึกถึงที่พ่อเคยบอกว่า อย่าเป็นอีบ้าไปยืนเกาะรั้วโรงเรียนลูกละ ควบคุมสติให้ได้นะ เสียงพ่อก้องในหัวฉัน (ตอนนี้ ที่พิมพ์อยู่นี้ น้ำตาฉันก็ไหลไม่หยุดเช่นกัน)
คนที่ร้านขายไส้กรอกทอด และรถเข็นขายของกิ๊ฟช้อปพ่อค้าแม่ค้า บริเวณนั้น มองฉันอย่างสงสัยพวกเขาคุ้นหน้าฉันแต่ไม่รู้จักฉันดี ฉันได้แต่เช็ดน้ำตาแล้วเดินไปที่รถ ขับรถกลับไปหาเพื่อนด้วยความเจ็บปวด
แล้วอีกวันฉันก็ไปหาลูกชายที่ โรงเรียนอนุบาล เราสนิทกับคุณครู ได้รับการนัดแนะเวลาให้เราเข้า ไปหาลูกชายคนเล็กอย่างสะดวก ได้ป้อนข้าวลูก กอดลูก และพาลูกนอนกลางวัน เล่านิทานให้ลูกฟัง และบอกกับลูกว่า หากตื่นมาไม่เจอแม่อีก น้องอย่างอแงนะ แม่รักน้องมาก มือเล็กๆลูบมาที่ท้องแม่เบาด้วยความคุ้นเคย แล้วเขาก็หลับไป (ตอนนั้นเขาแค่ 2 ขวบครึ่งเอง )พอลูกหลับฉันก็ต้องกลับแล้ว เพราะอีกไม่นาน พ่อเขาก็ต้องมารับแล้ว
เวลาผ่านมาสักพัก หลังเงินเดือนแรกของฉันออก ฉันอยากไปหาลูก อยากพาลูกไปเที่ยว คิดไปว่า เขาคงจะไม่ว่าอะไรมั้ง คงให้แม่ลูกได้เจอกันบ้าง โทรนัดกับลูกตอนเย็น ว่าแม่จะไปรับลูกไปเที่ยวสักวัน เช้าวันต่อมา โทรหาลูกอีกว่าแม่กำลังจะออกไปเตรียมตัวกันหรือยัง
“แม่ ป๊าบอกให้มารับพวกหนูกับน้องไปอยู่ด้วยเลย ป๊าจัดกระเป๋าและข้าวของให้พวกหนูเรียบร้อยแล้ว”
ฉันถึงกับช็อค คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำแบบนี้กับฉันและลูก
“พี่แมว ช่วยหนูด้วย มันไล่ลูกและจัดกระเป๋าให้ลูกมาอยู่หนู พี่แมวมารับหนูกับลูกได้ไหม” ฉันคุยโทรศัพท์ละล่ำละลัก
“ใจเย็นๆนะ จะให้พี่แมวช่วยยังไงค่อยๆพูด” พี่แมวพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและห่วงใย
“หาบ้านเช่า และพาหนูกับลูกไปที เที่ยงมารับหนูได้ไหม” ฉันถูกบีบในวันที่ยังยืนไม่ได้อีกแล้ว พี่แมวใจดีช่วยหาบ้านเช่าหลังเล็กๆไม่ไกลจากบ้านพี่แมวมาก การเข้าไปรับลูกครั้งนี้ ฉันกลับเข้าไปพร้อมกับความโกรธ พร้อมทำลายทุกสิ่งอย่าง
ทั้งที่ฉันไม่มีนิสัยทำลายข้าวของ ฉันคิดขึ้นมาได้ นอกจากลูกแล้ว ถุงทอง รถยนต์ เราไม่ใช้เวลามากในการขนของและเด็กๆ
ฉันขับรถออกมาด้วย เพราะลูกสาวยังต้องไปโรงเรียน พวกเขากำลังจะสอบ
ที่บ้านเช่าในซอยเล็กๆ ฉันต้องขับรถวนหาที่จอดรถหลายรอบกว่าจะได้ที่จอด แล้วอุ้มลูกคนเล็กที่หลับลงจากรถ เราช่วยกันทำความสะอาดบ้านพอได้หลับนอนก่อน คืนนั้นกว่าที่เด็กๆจะหลับก็ใช้เวลาพอสมควร อากาศร้อนมาก ไม่มีแอร์ พวกเขาไม่ชิน
ก่อนนอน ลูกสาว สองคน พูดว่า
“หนูดีจังเลยที่ได้นอนกับแม่อีก หนูทนได้”
“แม่ อย่าร้องไห้นะ หนูรักแม่นะ” เด็กสองคนพูด ก่อนนอน
ฉันต้องออกจากงานที่ทำงานกับเพื่อน เพื่ออยู่ดูแลลูก เวลาช่างรัดตัวไปหมด จะเอาเวลาไหนไปทำมาหากิน จะทำอะไรเลี้ยงลูกละ
เปิดถุงทอง ฉันแยกทองส่วนของลูกและของฉัน เป็นสองถุง ใส่ในถุงแดงอีกที ทำไมมีแค่นี้ เขาได้เอาทองส่วนหนึ่งของฉันออกไป ทองถุงนี้คือ ส่วนที่เขาซื้อให้ฉันตอนที่อยู่ด้วยกัน และเป็นทองรับขวัญลูกสามคน ส่วนของเขาจะใส่ติดตัว
ฉันขายทอง ชิ้นเล็กๆก่อน ขายเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงลูก ลำพังเดือนที่ได้ ก็พอแค่จ่ายค่าบ้านและค่ามัดจำต่างๆ
ฉันเสียสละ ชีวิตและเวลา 13 ปี ให้ผู้ชายคนหนึ่ง ฉันทุ่มเทเวลาทั้งหมดในการดูแลเขา และครอบครัว ฉันตื่นเช้าและนอนดึก ทุกวัน สุดท้ายมันพังหมด เพราะความเห็นแก่ตัวของคน สองคน คนหนึ่งไม่รู้จักพอ อีกคนก็ไม่สนว่าลูกใคร ผัวใคร
*อย่าเสียสละเวลาเลี้ยงลูก ให้ผู้ชายหาเงินเลี้ยงโดยไม่ตกลงกันก่อนว่า ฉันเสียสละแล้ว คุณต้องให้เกียรติฉัน เงินเดือน รายได้ของคุณต้องเป็นรายได้ของฉันครึ่งหนึ่ง ห้ามพูดว่า กูหาเลี้ยง!!! เด็ดขาด
หลังอยู่บ้านเช่า ได้เดือนกว่าๆ ลูกๆก็สอบเสร็จ เราไปเที่ยวเขาดินด้วยกัน
และแล้วก็มาถึงทางตันอีกครั้งหนึ่ง ฉันต้องตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่เพื่อความอยู่รอด ของตัวเอง และอนาคตของลูกทั้งสามคน
ฉันปรึกษากับลูกสาวทั้งสองคน พวกเขายังเรียนไม่จบป.6
“หนูอยากเรียนที่นี่ต่อให้จบไหม หรืออยากย้ายไปเรียนที่นครพนมกับแม่” เด็กๆติดเพื่อนและรักโรงเรียนมาก
“พวกหนูเรียนต่อที่นี่ได้ไหมแม่” สายตาช่างอ้อนวอนนัก
“ถ้าหนูอยากเรียนที่นี่ ต้องกลับไปอยู่กับป๊านะ ลูกต้องอดทนมากๆนะ ส่วนน้องยังเล็กแม่จะพากลับนครพนมด้วย”
เมื่อตกลงกันเรียบร้อย เด็กๆสัญญากับแม่ ว่าจะเป็นเด็กดี และไม่ดื้อ แล้วพวกเราก็กอดกัน น้ำตาฉันซึมออกมา ลูกชายคนเล็กเช็ดน้ำตาให้แม่ แล้วยิ้มให้แม่ด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ แต่เขายังเด็กเกินจะเข้าใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วภาระ ก็ตกที่ป้าแมวของเด็กๆอีกครั้ง ต้องพาหลานไปส่งคืน วันนั้นเราเตรียมตัวกันเรียบร้อย พอถึงเวลาก็แยกย้ายกัน
ฉันขับรถกลับนครพนมกับลูกชายคนเล็กตามลำพัง ขับรถไปร้องไห้ไป พักไป เกือบ14 ชม แล้วฉันกับลูกชายก็อยู่ที่นครพนม
ฉันทำงานทุกอย่าง สารพัด ความลำบากเหนื่อยยาก โดนรังแก มากมาย จนถึงวันที่ลูกชายต้องเข้าโรงเรียน ค่าเทอมค่าชุด ค่าใช้จ่ายต่างๆ อยู่ไหนละ ตัดสินใจนั่งรถ ไปพัทยา หางานทำ เรารู้จักเพื่อนคนหนึ่ง ที่อยู่พัทยาเราจะไปหาเขา ขอความช่วยเหลือจากเขา เราได้รับความช่วยเหลือจากหลายคน ที่พัทยา อย่างไม่น่าเชื่อ บุญรักษา เทวดาคุ้มครองจริงๆ
แล้วก็ได้งาน รีเซฟชั่น โรงแรมแห่งหนึ่ง อยู่ 3 เดือน ไม่ผ่านโปร เขาเชิญออก เราไม่โกรธนะ เราก็ทำงานแย่จริงๆแหละ สมควรที่คุณกิ๊ฟให้พี่ออกจริงๆ น้ำตาซึมเลย
ตอนทำงานโรงแรม เราใช้เงินวันละ 15 บาท ข้าวเหนียว 5 บาท ไก่ทอด 10 บาท กลางวันโรงแรมมีข้าวกล่องให้ ถ้าเข้ากะกลางคืน มีข้าวกิน 2 กล่อง พอได้ทิป มาซื้อกาแฟบ้างแหละ
หลังโดนเชิญออกจากงาน เราไม่ได้รู้สึกโกรธหรือน้อยใจอะไร กลับมีกำลังใจมาก เพราะเริ่มมี connection มากขึ้น แล้วก็ได้ทำงานเป็นเซลล์ให้กับสปาในโรงแรมอีกแห่ง นั่นคือ จุดเริ่มต้น ของการเป็นไกด์ เงินเดือนเราคือ ส่งให้แม่ 10,000 บาท
ก่อนนั้นฉันอยากมีแฟนอยากมีคนซับพอร์ต แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น ฝรั่งไม่ได้โง่ พวกเขาฉลาดมาก และพยามเอาเปรียบผู้หญิงไทยทุกทาง พวกมันไม่ได้ดีอย่างที่เราคิด สารพัดคำพูดดักคอให้ ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อทางเพศของพวกมันฟรีๆโดยอ้างความรัก ให้ความหวังลมๆแล้งๆ
เราไม่ยอมเสียเปรียบ ฝรั่งที่พัทยาหรอก อ้าปาก ก็เห็นลิ้นไก่หมด ด่ามาไม่รู้กี่คนแล้ว นั่งสองแถวยังกลัวเลย เคยได้ยินฝรั่งนั่งดื่นเบียร์คุยกันหัวเราะ ขบขัน “that’s one prostitute that’s one”( นั่นก็อีตัวนี่ก็อีตัว) ฉันไม่เข้าใจ ว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นยิ้มเหมือนไม่รับรู้อะไรเลย ไอ้ฝรั่งนั่น กำลังดูถูกผู้หญิงไทย
จำไว้ว่า **คนมีเงินฉลาดทุกคน เพราะคนโง่จะหาเงินไม่เป็น ฉันเคยโง่ เข้าใจดี
เราทำงานที่โรงแรมทุกวัน ไม่มีวันหยุด เพื่อให้ได้ใช้ อินเทอร์เน็ตฟรี เราเริ่มเรียนภาษาจีน กับหัวหน้าหมอนวด ที่เคยไปทำงานที่จีน และไกด์จีน จน ได้รับคำแนะนำ ให้ไปเป็น ไกด์ เราเรียนภาษาจีนด้วยตัวเอง เรียนหนักมาก ทั้งทางยูทูป ทั้งกับคนที่รู้จักเรียนโดยใช้ Iphone 4s ที่มันจะขาดสายชาจต์ไม่ได้ แบตมันเสื่อมมาก
และแล้วเราก็ผ่านการอบรมมัคคุเทศก์ภาษาต่างประเทศ 28 กุมภาพันธ์ 2016 เราก็ได้เริ่มตามทัวร์ เงินมันดึงดูดเรามาก
เวลาผ่านไปเร็วมาก วันหนึ่งขณะที่เราพาทัวร์ลงพัทยา ที่ร้านนวดใหญ่เก่าแก่แห่งหนึ่ง ที่พัทยาใต้ หลังจัดการลูกทัวร์เข้าห้องนวดไทยเรียบร้อยเราก็ใช้บริการนวดด้วยไหนๆก็ไหนๆละ กะนอนนวดให้สบายตัวเอาแรงหน่อย ห้าโมงเย็นกว่าๆ เกือบหกโมงเย็น มีสายเรียกเข้า ลูกสาวเรานั่นเอง ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เราตั้งสติ ลุกขึ้นนั่งรับสาย จึงได้รู้ว่า เกิดเรื่องร้ายแรงกับลูกสาวเรา
“แม่มารับหนูด้วย หนูไม่ไหวแล้ว” เสียงนั้นทำฉันแทบขาดใจตายอยู่ตรงนั้นหนูพูดไม่ได้ แล้วข้อความอื่นๆก็ถูกส่งตามมาในไลน์ฉันพยายามตั้งสติอีกครั้ง แล้วพิมพ์ข้อความความตอบลูก พยายามหาคนช่วยลูก ฉันดิ้นรนเหมือนแม่หมาที่ถูกมัด กำลังดูลูกตัวเองถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา มันช่างเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน กว่าจะผ่านคืนนั้นไปได้ ฉันแทบไม่ได้นอน ฉันไม่โทษใครนอกจากตัวเอง ทุกคนพยายามจะช่วยแต่ยิ่งพยายามช่วยยิ่งทำให้เรื่องมันเลวร้ายขึ้นลงไป ฉันแค่อยากพาลูกชายมาเที่ยวกับพี่สาว ฉันออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด คิดว่า โรงแรม S Hotel ห้องสวีทแฟมมิลี่ น่าจะเหมาะที่จะได้ใช้เวลา ด้วยกัน แต่กลายเป็นว่า เพื่อนเขาบอกกับฉันว่า “มันก็ไม่ได้กีดกันอะไรนี่” จะพาลูกไปไหนก็ให้บอก เขาพูดกับเพื่อนอีกอย่างแล้ว พูดกับลูกอีกอย่าง
แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรกับปัญหานี้ มีแต่ เสียงของลูก “แม่มารับหนูด้วยนะหนูจะรอแม่”
เขาฝังความกลัว ใส่ในหัวพวกเรา สามแม่ลูก ให้เรากลัว กลัวว่า ไม่มีเขาจะไม่มีกิน ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่พึ่งพา กลัวสารพัดกลัว ทุกวันนี้ความกลัวมันยังฝังหัวฉันหลายอย่าง ลูกสาวของฉันก็เช่นกัน แม้ว่าฉันจะพยายามเอามันออกไป
Love story วิถีสาย ฝ.Ep3
Chapter Drama (ไม่แนะนำให้อ่านหรอกนะ) ทั้งยาวทั้งเศร้า หากจะวัดความอดทนในการเป็นนักอ่าน ก็ลองดู
ก่อนมามาเดิน สาย ฝ.
ย้อนไป 20 มกราคม 2014 เราเดินออกจากบ้านกับกระเป๋าเสื้อผ้าใบหนึ่ง พร้อมเงิน หนึ่งพันกว่าเศษ จริงๆ ก๊องแก๊งในกระเป๋ากางเกงเรา
เราเป็นใคร คำถามมากมายในหัว ทำไม ทำไม และทำไม
ฉันทิ้งลูก 3 คน ที่ตั้งแต่พวกเขาเกิดไม่เคยห่างจากตัวฉันพร้อมกันทั้งหมดแม้แต่ครั้งเดียว ฉันออกมาเพราะทนไม่ไหว ฉันกำลังจะสูญเสียทุกอย่างในชีวิตไป แต่ฉันจะแพ้เขาไม่ได้ มันหมายถึงเรายอมรับให้พ่อของลูกมีผู้หญิงอีกคน ไปพร้อมกันอยู่ด้วยกันแบบ สามคนผัวเมีย เขาหักหลังฉัน หลังการทะเลาะยืดเยื้อมานานหลายเดือน จนเรารู้สึกว่าเราหมดความอดทนต่อการกระทำของเขาแล้ว แต่ ฉันวันนั้นยังอดทนเพื่ออยู่กับลูกทั้งสามอีก 5 เดือน มันคือ 5 เดือนที่เราไม่คุยกันเลย ไม่มองหน้ากัน เดินสวนกันในบ้านเหมือนอากาศ ที่รู้ว่ามีอยู่ แต่มองไม่เห็น ก่อนจะเดินออกจากบ้านมาทั้งน้ำตา 5 เดือนที่ผู้ชาย ที่ฉันเคยรักและซื่อสัตย์ ร่วมมือกับผู้หญิงคนหนึ่งหักหลังฉัน จนสุดท้ายก็บีบให้ฉัน มีทางเลือก2 ทาง คือ ออกจากชีวิตเขาไป หรือ ยอมรับตำแหน่งเมียหลวงซะ
หลังออกจาบ้านมาได้ 2 สัปดาห์ ลูกก็บอกว่า
"แม่ป๊าบอกจะพาแม่บ้านเข้ามาช่วยดูแลพวกหนู"
เร็วทันใจมากนะ อีก2 สัปดาห์หลังจากนั้น
"แม่หนูได้ยินน้องเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าแม่" ลูกสาวเราพูดด้วยความไร้เดียงสา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมน้องเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าแม่
ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แม่
สงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้นมาอีก ( จะทำแบบนี้กับลูกชายกูไม่ได้เสียงคำรามในใจของเรา หัวใจเราเต้นแรงด้วยความโกรธ)
"จะให้ลูกชายที่บริสุทธิ์ เรียกกะ-รี่ ที่ทำให้บ้านเขาพัง และพรากจากอกแม่แท้ๆของเขาว่า “ แม่” ไม่ได้ ยังมีความเป็นคนอยู่ไม๊" ฉันแผดเสียงใส่เขาดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ถ้ารักมากก็มาเอาไปอยู่ด้วยเลยสิ" เขาตะคอกกลับมา มันคือเสียงพูดในโทรศัพท์ที่รุนแรงที่สุด
"มีปัญญาเลี้ยงเหรอ ตัวเอง เอาตัวให้รอดก่อนเหอะ (เสียงดูถูกเหยียดหยามตามมาในสาย ก่อนตัดสายไป) หลังจากวางสาย
ฉันได้แต่นิ่งน้ำตาไหล อาบหน้า นี่ไงความเสียสละ 13 ปีของฉัน สุดท้ายฉันก็ไม่เหลืออะไร แม้แต่ลูกที่อุ้มท้องและคลอดออกมา แล้วคำพูดหนึ่งก็ดังก้องขึ้นมาในหัวฉันอีกครั้ง "กูหาเลี้ยงนะจำไว้" ฉันแทบเป็นบ้า กินไม่ได้นอนไม่หลับร่างกายซูบผอมไม่มีสง่าราศรี ดวงตาอิดโรย เหมอลอย
หลังออกจากบ้านมา ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่ร้องไห้ ฉันมีเพื่อนๆสมัยมัธยมที่ดีมาก คอยปลอบใจและช่วยเหลือ เพื่อนที่ยังอยู่กับฉันมาจนถึงทุกวันนี้ คอยให้กำลังใจกัดจิก และขบกันเบาๆ
"ฉันทนคิดถึงลูกไม่ไหวแล้ว"
"ไม่ไหวก็หาลูกสิ ไปดูให้หายคิดถึง" ปู พูดพร้อมกับตบไหล่เราเบาๆ แล้วยื่นกุญแจรถให้
"ฉันไม่ได้ใช้รถ พรุ่งนี้แกเอารถฉันไป"
ฉันมองหน้าปูด้วยน้ำตาที่นองหน้า โผเข้ากอดปู ฉันอ่อนแอเหลือเกิน วันต่อมาฉันก็ขับรถไปจอดที่อาคารจอดรถแห่งหนึ่ง ในซอย คอนเวนต์ แล้วเดินออกมา ยืนรอ ที่ต้นใต้ไม้ใหญ่ เยื้องๆบริเวณที่ลูกสาวบอกว่า "ป๊านัดหนูมาขึ้นรถตรงนี้นะแม่"
ตอนที่เห็นลูกสาวสองคนแบกกระเป๋านักเรียนใบใหญ่ออกจากประตูโรงเรียนข้ามถนน ฉันมองตามลูกอยากเดินเข้าไปหา และกอดลูก แต่เสียงพ่อเขาดังเข้ามาในหู ว่า
"ทางนี้เร็วๆหน่อย"
ฉันต้องหยุดแล้วรีบวิ่งกลับหลังมายืนบังต้นไม้ แอบมองลูกสาวฝาแฝด ขึ้นรถกลับบ้านกับพ่อเขา เรายืนร้องไห้แทบขาดใจอยู่ตรงนั้น พอตั้งสติได้ ก็นึกถึงที่พ่อเคยบอกว่า อย่าเป็นอีบ้าไปยืนเกาะรั้วโรงเรียนลูกละ ควบคุมสติให้ได้นะ เสียงพ่อก้องในหัวฉัน (ตอนนี้ ที่พิมพ์อยู่นี้ น้ำตาฉันก็ไหลไม่หยุดเช่นกัน)
คนที่ร้านขายไส้กรอกทอด และรถเข็นขายของกิ๊ฟช้อปพ่อค้าแม่ค้า บริเวณนั้น มองฉันอย่างสงสัยพวกเขาคุ้นหน้าฉันแต่ไม่รู้จักฉันดี ฉันได้แต่เช็ดน้ำตาแล้วเดินไปที่รถ ขับรถกลับไปหาเพื่อนด้วยความเจ็บปวด
แล้วอีกวันฉันก็ไปหาลูกชายที่ โรงเรียนอนุบาล เราสนิทกับคุณครู ได้รับการนัดแนะเวลาให้เราเข้า ไปหาลูกชายคนเล็กอย่างสะดวก ได้ป้อนข้าวลูก กอดลูก และพาลูกนอนกลางวัน เล่านิทานให้ลูกฟัง และบอกกับลูกว่า หากตื่นมาไม่เจอแม่อีก น้องอย่างอแงนะ แม่รักน้องมาก มือเล็กๆลูบมาที่ท้องแม่เบาด้วยความคุ้นเคย แล้วเขาก็หลับไป (ตอนนั้นเขาแค่ 2 ขวบครึ่งเอง )พอลูกหลับฉันก็ต้องกลับแล้ว เพราะอีกไม่นาน พ่อเขาก็ต้องมารับแล้ว
เวลาผ่านมาสักพัก หลังเงินเดือนแรกของฉันออก ฉันอยากไปหาลูก อยากพาลูกไปเที่ยว คิดไปว่า เขาคงจะไม่ว่าอะไรมั้ง คงให้แม่ลูกได้เจอกันบ้าง โทรนัดกับลูกตอนเย็น ว่าแม่จะไปรับลูกไปเที่ยวสักวัน เช้าวันต่อมา โทรหาลูกอีกว่าแม่กำลังจะออกไปเตรียมตัวกันหรือยัง
“แม่ ป๊าบอกให้มารับพวกหนูกับน้องไปอยู่ด้วยเลย ป๊าจัดกระเป๋าและข้าวของให้พวกหนูเรียบร้อยแล้ว”
ฉันถึงกับช็อค คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำแบบนี้กับฉันและลูก
“พี่แมว ช่วยหนูด้วย มันไล่ลูกและจัดกระเป๋าให้ลูกมาอยู่หนู พี่แมวมารับหนูกับลูกได้ไหม” ฉันคุยโทรศัพท์ละล่ำละลัก
“ใจเย็นๆนะ จะให้พี่แมวช่วยยังไงค่อยๆพูด” พี่แมวพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและห่วงใย
“หาบ้านเช่า และพาหนูกับลูกไปที เที่ยงมารับหนูได้ไหม” ฉันถูกบีบในวันที่ยังยืนไม่ได้อีกแล้ว พี่แมวใจดีช่วยหาบ้านเช่าหลังเล็กๆไม่ไกลจากบ้านพี่แมวมาก การเข้าไปรับลูกครั้งนี้ ฉันกลับเข้าไปพร้อมกับความโกรธ พร้อมทำลายทุกสิ่งอย่าง
ทั้งที่ฉันไม่มีนิสัยทำลายข้าวของ ฉันคิดขึ้นมาได้ นอกจากลูกแล้ว ถุงทอง รถยนต์ เราไม่ใช้เวลามากในการขนของและเด็กๆ
ฉันขับรถออกมาด้วย เพราะลูกสาวยังต้องไปโรงเรียน พวกเขากำลังจะสอบ
ที่บ้านเช่าในซอยเล็กๆ ฉันต้องขับรถวนหาที่จอดรถหลายรอบกว่าจะได้ที่จอด แล้วอุ้มลูกคนเล็กที่หลับลงจากรถ เราช่วยกันทำความสะอาดบ้านพอได้หลับนอนก่อน คืนนั้นกว่าที่เด็กๆจะหลับก็ใช้เวลาพอสมควร อากาศร้อนมาก ไม่มีแอร์ พวกเขาไม่ชิน
ก่อนนอน ลูกสาว สองคน พูดว่า
“หนูดีจังเลยที่ได้นอนกับแม่อีก หนูทนได้”
“แม่ อย่าร้องไห้นะ หนูรักแม่นะ” เด็กสองคนพูด ก่อนนอน
ฉันต้องออกจากงานที่ทำงานกับเพื่อน เพื่ออยู่ดูแลลูก เวลาช่างรัดตัวไปหมด จะเอาเวลาไหนไปทำมาหากิน จะทำอะไรเลี้ยงลูกละ
เปิดถุงทอง ฉันแยกทองส่วนของลูกและของฉัน เป็นสองถุง ใส่ในถุงแดงอีกที ทำไมมีแค่นี้ เขาได้เอาทองส่วนหนึ่งของฉันออกไป ทองถุงนี้คือ ส่วนที่เขาซื้อให้ฉันตอนที่อยู่ด้วยกัน และเป็นทองรับขวัญลูกสามคน ส่วนของเขาจะใส่ติดตัว
ฉันขายทอง ชิ้นเล็กๆก่อน ขายเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงลูก ลำพังเดือนที่ได้ ก็พอแค่จ่ายค่าบ้านและค่ามัดจำต่างๆ
ฉันเสียสละ ชีวิตและเวลา 13 ปี ให้ผู้ชายคนหนึ่ง ฉันทุ่มเทเวลาทั้งหมดในการดูแลเขา และครอบครัว ฉันตื่นเช้าและนอนดึก ทุกวัน สุดท้ายมันพังหมด เพราะความเห็นแก่ตัวของคน สองคน คนหนึ่งไม่รู้จักพอ อีกคนก็ไม่สนว่าลูกใคร ผัวใคร
*อย่าเสียสละเวลาเลี้ยงลูก ให้ผู้ชายหาเงินเลี้ยงโดยไม่ตกลงกันก่อนว่า ฉันเสียสละแล้ว คุณต้องให้เกียรติฉัน เงินเดือน รายได้ของคุณต้องเป็นรายได้ของฉันครึ่งหนึ่ง ห้ามพูดว่า กูหาเลี้ยง!!! เด็ดขาด
หลังอยู่บ้านเช่า ได้เดือนกว่าๆ ลูกๆก็สอบเสร็จ เราไปเที่ยวเขาดินด้วยกัน
และแล้วก็มาถึงทางตันอีกครั้งหนึ่ง ฉันต้องตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่เพื่อความอยู่รอด ของตัวเอง และอนาคตของลูกทั้งสามคน
ฉันปรึกษากับลูกสาวทั้งสองคน พวกเขายังเรียนไม่จบป.6
“หนูอยากเรียนที่นี่ต่อให้จบไหม หรืออยากย้ายไปเรียนที่นครพนมกับแม่” เด็กๆติดเพื่อนและรักโรงเรียนมาก
“พวกหนูเรียนต่อที่นี่ได้ไหมแม่” สายตาช่างอ้อนวอนนัก
“ถ้าหนูอยากเรียนที่นี่ ต้องกลับไปอยู่กับป๊านะ ลูกต้องอดทนมากๆนะ ส่วนน้องยังเล็กแม่จะพากลับนครพนมด้วย”
เมื่อตกลงกันเรียบร้อย เด็กๆสัญญากับแม่ ว่าจะเป็นเด็กดี และไม่ดื้อ แล้วพวกเราก็กอดกัน น้ำตาฉันซึมออกมา ลูกชายคนเล็กเช็ดน้ำตาให้แม่ แล้วยิ้มให้แม่ด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ แต่เขายังเด็กเกินจะเข้าใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วภาระ ก็ตกที่ป้าแมวของเด็กๆอีกครั้ง ต้องพาหลานไปส่งคืน วันนั้นเราเตรียมตัวกันเรียบร้อย พอถึงเวลาก็แยกย้ายกัน
ฉันขับรถกลับนครพนมกับลูกชายคนเล็กตามลำพัง ขับรถไปร้องไห้ไป พักไป เกือบ14 ชม แล้วฉันกับลูกชายก็อยู่ที่นครพนม
ฉันทำงานทุกอย่าง สารพัด ความลำบากเหนื่อยยาก โดนรังแก มากมาย จนถึงวันที่ลูกชายต้องเข้าโรงเรียน ค่าเทอมค่าชุด ค่าใช้จ่ายต่างๆ อยู่ไหนละ ตัดสินใจนั่งรถ ไปพัทยา หางานทำ เรารู้จักเพื่อนคนหนึ่ง ที่อยู่พัทยาเราจะไปหาเขา ขอความช่วยเหลือจากเขา เราได้รับความช่วยเหลือจากหลายคน ที่พัทยา อย่างไม่น่าเชื่อ บุญรักษา เทวดาคุ้มครองจริงๆ
แล้วก็ได้งาน รีเซฟชั่น โรงแรมแห่งหนึ่ง อยู่ 3 เดือน ไม่ผ่านโปร เขาเชิญออก เราไม่โกรธนะ เราก็ทำงานแย่จริงๆแหละ สมควรที่คุณกิ๊ฟให้พี่ออกจริงๆ น้ำตาซึมเลย
ตอนทำงานโรงแรม เราใช้เงินวันละ 15 บาท ข้าวเหนียว 5 บาท ไก่ทอด 10 บาท กลางวันโรงแรมมีข้าวกล่องให้ ถ้าเข้ากะกลางคืน มีข้าวกิน 2 กล่อง พอได้ทิป มาซื้อกาแฟบ้างแหละ
หลังโดนเชิญออกจากงาน เราไม่ได้รู้สึกโกรธหรือน้อยใจอะไร กลับมีกำลังใจมาก เพราะเริ่มมี connection มากขึ้น แล้วก็ได้ทำงานเป็นเซลล์ให้กับสปาในโรงแรมอีกแห่ง นั่นคือ จุดเริ่มต้น ของการเป็นไกด์ เงินเดือนเราคือ ส่งให้แม่ 10,000 บาท
ก่อนนั้นฉันอยากมีแฟนอยากมีคนซับพอร์ต แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น ฝรั่งไม่ได้โง่ พวกเขาฉลาดมาก และพยามเอาเปรียบผู้หญิงไทยทุกทาง พวกมันไม่ได้ดีอย่างที่เราคิด สารพัดคำพูดดักคอให้ ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อทางเพศของพวกมันฟรีๆโดยอ้างความรัก ให้ความหวังลมๆแล้งๆ
เราไม่ยอมเสียเปรียบ ฝรั่งที่พัทยาหรอก อ้าปาก ก็เห็นลิ้นไก่หมด ด่ามาไม่รู้กี่คนแล้ว นั่งสองแถวยังกลัวเลย เคยได้ยินฝรั่งนั่งดื่นเบียร์คุยกันหัวเราะ ขบขัน “that’s one prostitute that’s one”( นั่นก็อีตัวนี่ก็อีตัว) ฉันไม่เข้าใจ ว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นยิ้มเหมือนไม่รับรู้อะไรเลย ไอ้ฝรั่งนั่น กำลังดูถูกผู้หญิงไทย
จำไว้ว่า **คนมีเงินฉลาดทุกคน เพราะคนโง่จะหาเงินไม่เป็น ฉันเคยโง่ เข้าใจดี
เราทำงานที่โรงแรมทุกวัน ไม่มีวันหยุด เพื่อให้ได้ใช้ อินเทอร์เน็ตฟรี เราเริ่มเรียนภาษาจีน กับหัวหน้าหมอนวด ที่เคยไปทำงานที่จีน และไกด์จีน จน ได้รับคำแนะนำ ให้ไปเป็น ไกด์ เราเรียนภาษาจีนด้วยตัวเอง เรียนหนักมาก ทั้งทางยูทูป ทั้งกับคนที่รู้จักเรียนโดยใช้ Iphone 4s ที่มันจะขาดสายชาจต์ไม่ได้ แบตมันเสื่อมมาก
และแล้วเราก็ผ่านการอบรมมัคคุเทศก์ภาษาต่างประเทศ 28 กุมภาพันธ์ 2016 เราก็ได้เริ่มตามทัวร์ เงินมันดึงดูดเรามาก
เวลาผ่านไปเร็วมาก วันหนึ่งขณะที่เราพาทัวร์ลงพัทยา ที่ร้านนวดใหญ่เก่าแก่แห่งหนึ่ง ที่พัทยาใต้ หลังจัดการลูกทัวร์เข้าห้องนวดไทยเรียบร้อยเราก็ใช้บริการนวดด้วยไหนๆก็ไหนๆละ กะนอนนวดให้สบายตัวเอาแรงหน่อย ห้าโมงเย็นกว่าๆ เกือบหกโมงเย็น มีสายเรียกเข้า ลูกสาวเรานั่นเอง ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เราตั้งสติ ลุกขึ้นนั่งรับสาย จึงได้รู้ว่า เกิดเรื่องร้ายแรงกับลูกสาวเรา
“แม่มารับหนูด้วย หนูไม่ไหวแล้ว” เสียงนั้นทำฉันแทบขาดใจตายอยู่ตรงนั้นหนูพูดไม่ได้ แล้วข้อความอื่นๆก็ถูกส่งตามมาในไลน์ฉันพยายามตั้งสติอีกครั้ง แล้วพิมพ์ข้อความความตอบลูก พยายามหาคนช่วยลูก ฉันดิ้นรนเหมือนแม่หมาที่ถูกมัด กำลังดูลูกตัวเองถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา มันช่างเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน กว่าจะผ่านคืนนั้นไปได้ ฉันแทบไม่ได้นอน ฉันไม่โทษใครนอกจากตัวเอง ทุกคนพยายามจะช่วยแต่ยิ่งพยายามช่วยยิ่งทำให้เรื่องมันเลวร้ายขึ้นลงไป ฉันแค่อยากพาลูกชายมาเที่ยวกับพี่สาว ฉันออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด คิดว่า โรงแรม S Hotel ห้องสวีทแฟมมิลี่ น่าจะเหมาะที่จะได้ใช้เวลา ด้วยกัน แต่กลายเป็นว่า เพื่อนเขาบอกกับฉันว่า “มันก็ไม่ได้กีดกันอะไรนี่” จะพาลูกไปไหนก็ให้บอก เขาพูดกับเพื่อนอีกอย่างแล้ว พูดกับลูกอีกอย่าง
แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรกับปัญหานี้ มีแต่ เสียงของลูก “แม่มารับหนูด้วยนะหนูจะรอแม่”
เขาฝังความกลัว ใส่ในหัวพวกเรา สามแม่ลูก ให้เรากลัว กลัวว่า ไม่มีเขาจะไม่มีกิน ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่พึ่งพา กลัวสารพัดกลัว ทุกวันนี้ความกลัวมันยังฝังหัวฉันหลายอย่าง ลูกสาวของฉันก็เช่นกัน แม้ว่าฉันจะพยายามเอามันออกไป