พูดอังกฤษแล้ว ฝรั่งทำหน้างง ทำไม?

ช่วงนี้ถูกกักตัวในบ้าน มีเวลาอาจจะอยากหากิจกรรมสร้างสรรค์ทำ ก็เลยขอเอาบทความที่คนรู้จักคนนึงเขียนขึ้นมาเกี่ยวกับปัญหาที่คนไทยหลายคนอาจเจอบ่อยๆ เวลาคุยภาษาอังกฤษกับคนต่างชาติที่เป็นเจ้าของภาษา

ผู้เขียนเดิมเป็นอดีตบรรณาธิการข่าวของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เพราะฉะนั้นก็พออนุมานได้ว่ามีความช่ำชองภาษาอังกฤษพอสมควร พอดีว่าเขาเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อรอตีพิมพ์ เลยขอนำมาลงตรงนี้ให้พวกเราอ่านกันก่อน ซึ่งหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจเรียนภาษาอังกฤษไม่มากก็น้อย

เพื่อนๆ อ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไร มาแบ่งปันกันนะครับ


พูดอังกฤษแล้ว ฝรั่งทำหน้างง ทำไม?
เคยมั้ย หงุดหงิดว่าทำไมการพูดภาษาอังกฤษถึงยากเย็นนักหนา เรียนมาแล้วก็หลายปี แล้วทำไมเวลาพูดให้ฝรั่งฟัง เขาจึงชอบทำหน้าเอ๋อเหมือนไม่เข้าใจ แล้วก็ขอให้เราพูดซ้ำ

มันน่าโมโหใช่ไหมล่ะ

พูดได้ว่าเรื่องนี้เป็นความหงุดหงิดของคนไทยจำนวนมากเลยทีเดียว จนบางครั้งก็ท้อ

ก็คิดดู หลายคนเริ่มเรียนตั้งแต่ชั้นประถมยันมหาลัย เรียกได้ว่าไวยากรณ์แตกฉานเลย แต่ ... ทำไมเวลาคุยกับเจ้าของภาษา เราจึง (1) ตะกุกตะกัก พูดเหมือนติดอ่าง (2) พูดแล้วเขาฟังไม่ค่อยเข้าใจ (3) เราฟังเขาไม่ค่อยเข้าใจเช่นเดียวกัน

ถ้าถามผู้เชี่ยวชาญภาษา เขาก็จะบอกว่าเราขาดการฝึกสนทนาตั้งแต่ในโรงเรียน ซึ่งก็จริง แต่ถึงแม้จะมีการฝึกสนทนาจริงจนเราอาจคุยกับฝรั่งพอรู้เรื่อง เราก็ยังอาจรู้สึกขัดเขินกับสำเนียงที่ยังคงความไท้ยไทยอยู่นั่นแหละ 

พูดได้เลยว่าสิ่งที่คนเรียนภาษาอังกฤษทุกคนต้องการคือ พูดคุยกับฝรั่งได้ และสำเนียงก็ได้ด้วย 

ก็ไม่น่าจะยากเย็นมากนักไม่ใช่หรือ

ผมเองก็เคยคิดถึงเรื่องนี้มานาน แม้ตัวเองจะพอมีความช่ำชองจนสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการทำมาหาเลี้ยงชีพได้ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ต้องกระยิ้มกระสนน่าดู
 
การออกเสียงสำคัญที่สุดในการเรียนภาษาอังกฤษ
พอดีได้รู้จักฝรั่งชาวออสเตรเลียคนหนึ่ง ซึ่งอยู่เมืองไทยมานาน และศึกษาภาษาไทยจนอ่านเขียนและพูดได้ดี ชื่อว่า Ivan M. Paton แต่คนรู้จักมักเรียกแกว่า “อาจารย์สิงโต” เพราะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ 

อ.สิงโตเป็นฝรั่งที่น่าทึ่งคนหนึ่ง แกใช้เวลากว่าสองปีศึกษาร่ำเรียนภาษาไทยอย่างจริงๆ จังๆ จนแตกฉาน ขนาดว่าเขียนหนังสือสอนวิธีออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยด้วยตัวเองทีเดียว  

ความที่เป็นเจ้าของภาษาอังกฤษและเชี่ยวชาญภาษาไทยทำให้แกเข้าใจถึงความแตกต่างของทั้งสองภาษาอย่างค่อนข้างลึกซึ้ง 

แกพบว่าปัญหาหลักของคนไทยเวลาพูดอังกฤษก็คือ เราไม่ได้พูด English แต่พูด Tinglish นั่นคือเราพูดภาษาอังกฤษโดยใช้สำเนียงไทยและออกเสียงแบบภาษาไทย จึงเป็นเหตุให้ฝรั่งมักฟังแล้วก็จะเอ๋อๆ

แกเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าการออกเสียงคำอังกฤษให้ถูกต้องนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และควรจะเป็นสิ่งแรกในการเรียนภาษาอังกฤษพร้อมๆ ไปกับการฝึกสนทนา ก่อนจะเรียนไวยากรณ์ด้วยซ้ำ 

ถ้าสังเกตดูเราจะพบว่า โดยธรรมชาติเด็กเริ่มพูดโดยไม่รู้ไวยากรณ์มาก่อน แต่อาศัยฟังเสียงพ่อแม่และคนรอบข้าง แล้วพยายามเลียนเสียงตาม ใหม่ๆ ก็พูดเอ๊าะๆ แอ๊ะๆ พอฟังนานเข้าก็พูดตามได้และเข้าใจ

อ.สิงโตมั่นใจว่าการออกเสียงคำภาษาอังกฤษที่ถูกต้องนั้น นอกจากทำให้ฝรั่งเข้าใจสิ่งที่เราพูดแล้ว ยังช่วยฝึกหูเราให้ฟังฝรั่งพูดอย่างเข้าใจมากขึ้นด้วย เหมือนยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว 
 
ระบบการออกเสียงภาษาอังกฤษ PIPPASS
ด้วยความที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่เข้าใจภาษาไทยอย่างลึกซึ้ง แกจึงอยากถ่ายทอดสิ่งที่รู้ให้แก่คนไทยที่สนใจ แกต้องการเน้นที่หลักการออกเสียงภาษาอังกฤษ เพราะเชื่อว่าหากเราออกเสียงได้ถูกต้องแล้ว การสนทนาก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก

แกใช้เวลาคิดอยู่นานว่าทำยังไงจะถ่ายทอดอย่างเป็นระบบได้ จนในที่สุดคิดระบบที่แกเรียกว่า PIPPASS ขึ้นมา 

อธิบายสั้นๆ ก็คือระบบนี้ใช้อักษรภาษาอังกฤษกำกับเสียงอ่านคำอังกฤษ ซึ่งแตกต่างจากที่เราคุ้นเคยกับการใช้ภาษาไทยกำกับเสียงอ่านคำอังกฤษ เพราะหลายๆ เสียงในภาษาอังกฤษไม่มีในภาษาไทย เช่นเดียวกับหลายๆ เสียงในภาษาไทยก็ไม่มีในภาษาอังกฤษเช่นกัน 

อย่างคำว่า good คำอ่านภาษาไทยจะเขียนว่า “กูด” ซึ่งเราก็รู้ว่าแท้จริงไม่ได้ออกเสียงอย่างนั้น  แต่แม้จะเติมไม้โทเป็น “กู้ด” ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี เพราะอักษร g นั้นไม่ได้ออกเสียงกอไก่เสียเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังสามารถออกเสียงคล้ายตัวจ.จานอีกด้วย เช่นคำว่า ginger ซึ่งถ้าเขียนคำอ่านภาษาไทยก็จะเป็น “จินเจอร์” ซึ่งแน่นอนว่าถ้าพูดจริงๆ ก็จะไม่ออกเสียงเช่นนี้

ด้วยเหตุนี้ แกจึงเชื่อว่าการใช้ภาษาอังกฤษกำกับเสียงอ่านเป็นวิธีที่จะช่วยให้ออกเสียงได้ถูกต้องตามแบบฉบับของเจ้าของภาษา

อ.สิงโตใช้เวลากว่า 5 ปีเขียนหนังสืออธิบายหลักการใช้ระบบนี้ โดยตั้งชื่อหนังสือว่า “Let’s Speak English & Stop Speaking Tinglish”

หนังสือเล่มนี้แกเขียนเองเป็นภาษาไทย ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก เพราะปกติการเขียนหนังสือในภาษาของตัวเองก็ยากอยู่แล้ว แต่การเขียนในอีกภาษาหนึ่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ต้องใช้ความอุตสาหะ มุมานะและบากบั่นอย่างยิ่ง 

แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าหนังสือจะไม่สามารถถ่ายทอดการออกเสียงอย่างถูกต้อง เพราะเราไม่ได้ยินเสียงเอง  อ.สิงโตได้บันทึกบทเรียนต่างๆ เป็นวีดีโอและส่งไปไว้ในช่อง YouTube ของแกเอง เพื่อช่วยให้ผู้อ่านหนังสือได้ฝึกออกเสียงอย่างถูกต้องมากขึ้น
 
Accent และอารมณ์ที่แฝงในคำ
ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่คนไทยบางคนอาจจะยังไม่ทราบหรือเข้าใจ นั่นคือทำไมการพูดภาษาอังกฤษจึงมีเสียงสูงๆ ต่ำๆ ทั้งที่ไม่มีวรรณยุกต์กำกับการออกเสียงเหมือนภาษาไทย 

แล้วอย่างนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตรงไหนควรจะสูง ตรงไหนควรจะต่ำ

ว่าไปแล้ว นี่คือหัวใจหนึ่งของการเรียนพูดภาษาอังกฤษเลยทีเดียว แต่เรื่องนี้ขอแตกเป็นสองประเด็นด้วยกัน

ประเด็นแรก พวกเราที่เรียนภาษาอังกฤษกันมาบ้างจะได้รับการสอนว่า เราต้องรู้จักเน้นหรือลงน้ำหนักให้ถูกจุดเวลาออกเสียงคำที่มีมากกว่าหนึ่งพยางค์ หรือที่เรารู้จักกันว่า “accent” นั่นเอง

ยกตัวอย่างคำว่า consider เราจะลงน้ำหนักตรงพยางค์ที่สอง หรือคำว่า consideration เราจะเน้นพยางค์ที่สี่ เป็นต้น

ความที่เราคุ้นชินกับภาษาไทยที่มีวรรณยุกต์กำกับทำให้เรามักจะสะดุดเวลาพูดคำอังกฤษที่มีมากกว่าหนึ่งพยางค์  อันนี้เป็นปัญหากับคนชาติอื่นที่เรียนพูดภาษาอังกฤษ ไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้น  เพราะพอเน้นผิดพยางค์ ก็มักจะสร้างความงุนงงให้กับฝรั่งผู้ฟังได้เหมือนกัน

นี่ยังไม่พูดถึงว่าบางครั้งคำที่คล้ายกันแต่ลง accent ต่างกัน เช่น even กับ event เป็นต้น

แต่อ.สิงโตกลับพูดอย่างมั่นใจว่าผู้ศึกษาระบบของแกนั้นจะไม่ต้องกังวลเลยว่าต้องเน้นคำที่จุดไหน เพราะถ้าออกเสียงตามระบบของแก การเน้นคำก็จะเป็นไปโดยธรรมชาติ

ประเด็นที่สอง อ.สิงโตอธิบายว่าการพูดภาษาอังกฤษนั้นหลายๆ ครั้งจะมีอารมณ์แฝงอยู่ ซึ่งแม้ความหมายไม่เปลี่ยนเวลาออกเสียงที่ต่างกัน แต่อารมณ์ที่ออกมาในน้ำเสียงก็ทำให้บริบทของคำพูดเปลี่ยนไป

ยกตัวอย่างคำพื้นๆ เช่น No  ถ้าพูดด้วยน้ำเสียงกลางๆ ก็เป็นการปฏิเสธธรรมดา แต่ถ้าใช้เสียงต่ำก็เป็นการแสดงความประหลาดใจ และถ้าใช้เสียงสูงก็เป็นการสำทับคำปฏิเสธนั้นหรือแสดงความหงุดหงิด เป็นต้น

ยังมีแง่มุมอีกมากมายในหนังสือเล่มนี้ที่คนที่เรียนภาษาอังกฤษอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน แต่เป็นรายละเอียดซึ่งไม่สามารถจาระไนยให้หมดได้ในบทความนี้
 
เมื่อผ่านเลเวลสุดท้าย ขุมทรัพย์คือของเรา
ในท้องตลาดมีหนังสือประเภทเดียวกันนี้มากมายหลายเล่ม แต่ความโดดเด่นของเล่มนี้ก็คือ ผู้เขียนมีความช่ำชองทั้งภาษาตัวเองและภาษาไทย จึงจับหลักความแตกต่างของทั้งสองภาษาได้ชัดเจน และรู้จุดอ่อนที่เป็นอุปสรรคของคนไทยในการเรียนพูดภาษาอังกฤษ

แม้จะมีหนังสือเป็นตัวช่วยที่ดีอย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าการฝึกฝนสิ่งใหม่ก็เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความมุมานะอุตสาหะเป็นพลังขับเคลื่อนให้ไปถึงจุดหมาย  อย่าเชื่อคำโฆษณาว่าการเรียนพูดอังกฤษเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่เช่นนั้นเราอาจจะเกิดความผิดหวังและท้อใจขึ้นในที่สุด

แต่อย่างน้อยๆ ก็ใจชื้นได้บ้างว่าปัจจุบันมีตัวช่วยอยู่พอสมควร โดยเฉพาะการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตสามารถให้คำตอบยามที่เรามีคำถามขึ้นมา

ในฐานะที่เคยต่อสู้ดิ้นรนมาก่อน ผมพอมีข้อคิดบางอย่างที่อยากฝากไว้ให้พิจารณา 

สิ่งแรกคือ ผมมีความเชื่อเช่นเดียวกับอ.สิงโตว่า การเรียนภาษาอังกฤษนั้นควรเริ่มด้วยการเรียนรู้วิธีพูดและออกเสียงให้ถูกต้อง ส่วนไวยากรณ์นั้นจะตามมาทีหลัง

สิ่งที่สองคือ เราควรมีการปรับแนวคิดหรือทัศนคติที่ให้กำลังใจกับตัวเอง เพราะมันเป็นไปได้ว่าบางครั้งเราจะพบอุปสรรคจนทำให้ท้อจนหมดกำลังใจและเลิกลาไป ซึ่งก็จะน่าเสียดาย

สิ่งที่ผมทำคือ ผมมองมันเป็นเกมชนิดหนึ่ง มันมีกติกาและวิธีเล่น เราเพียงศึกษากติกาและฝึกปรือวิธีเล่น ยิ่งเล่นนานเข้าก็ยิ่งมีความเชี่ยวชาญ การทำแบบฝึกหัดได้ตามที่แนะนำก็เหมือนได้คะแนนสะสม และการผ่านบทเรียนไปแต่ละบทก็เหมือนชัยชนะที่พาเราไปสู่อีกเลเวลหนึ่ง ซึ่งเมื่อถึงเลเวลสุดท้าย ขุมสมบัติก็จะเป็นของเรา

ขอให้ทุกคนโชคดีและมีความสนุกกับการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษครับ

วสันต์ เตชะวงศ์ธรรม
อดีตบรรณาธิการข่าว หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์
* Disclosure: บทความนี้เขียนขึ้นด้วยจุดประสงค์แบ่งปันข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็น ผู้เขียนไม่ได้ค่าตอบแทนใดๆ จากผู้แต่งหนังสือทั้งสิ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่