สมัยนี้ไม่ฝึกสมถะก่อน ไปวิปัสสนา จะบรรลุได้หรือ

หากได้ศึกษาพระธรรมอย่างละเอียดรอบคอบ ผู้ที่สะสมบุญบารมีมามาก และ
อย่างยาวนาน มีกำลังมาก จนได้บรรลุธรรม คือ ผุ้ที่ได้ทั้งสมถะ และ วิปัสสนา

ส่วนผู้ที่สะสมบุญบารมี มาน้อยกว่า คือ ผู้ที่ได้วิปัสสนาอย่างเดียว ไม่สามารถ
เจริญสมถภาวนามาด้วย แต่ก็ได้บรรลุธรรม เพราะฉะนั้น 

ผุ้ที่สะมบุญ บารมีมา
มาก มี พระอสีติมหาสาวก อัครสาวก ผู้ที่สะสมปัญญามามาก ย่อมได้ทั้งสมถ -
ภาวนา และ วิปัสสนา ซึ่งเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะเจริญควบคู่กันไป และ ได้บรรลุธรรม

จึงกล่าวได้ว่า การเจริญวิปัสสนาอย่างเดียว แต่ ไม่ได้เจริญสมถภาวนา ง่ายกว่า
ผู้ที่เจริญทั้งสมถะ และ วิปัสสนาควบคู่กันไป แม้ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่ได้สมถภาวนา
และ วิปัสสนา ได้บรรลุธรรม มีจำนวนน้อยกว่า ผุ้ที่เจริญวิปัสสนาอย่างเดียว จึง
บรรลุธรรม ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่ว่า

 พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒- หน้าที่ 206

 สัตว์ที่กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้วได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต มีเป็นส่วนน้อย
 สัตว์ที่กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์แล้ว ไม่ได้สมาธิไม่ได้เอกัคคตาจิตมากกว่า
โดยแท้
 *******************************
     แสดงให้เห็นว่า การเจริญสมถภาวนา และ วิปัสสนาด้วย จนบรรลุธรรมยากยิ่ง
กว่า การเจริญวิปัสสนา นี่คือ

ในสมัยพุทธกาล มาปัจจุบัน เป็นกาลที่เสื่อมไป สัตว์
โลกขาดความเข้าใจพระธรรมมากขึ้น จึงเป็นไปได้ยากที่จะเจริญสมถภาวนา ควบคู่
กับวิปัสสนา แต่ เป็นฐานะที่มีได้ ที่สามารถเจริญวิปัสสนา รู้ความจริงของสภาพธรรม
ที่มีในขณะนี้ว่เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา โดยไม่ต้องเจริญสมถภาวนา เพราะ 

หากเป็นผู้ละเอียดแล้ว 

แม้แต่พระอรหันต์ ก็มี 2 ประเภท คือ พระอรหันต์ที่ได้ฌาน และ
พระอรหันต์สุขวิปัสสกะ คือ เจริญวิปัสสนาอย่างเดียว ก็บรรลุธรรม เพราะฉะนั้น จึง

ไม่ได้หมายความว่า หากไม่เจริญสมถภาวนาก่อน จะ เจริญวิปัสสนาไมได้ เพียงแต่
ว่า สัตว์โลกถูก อำนาจของอวิชชา และ ความเห็นผิด รวมทั้งโลภะ ที่อยากได้ผล
ในการปฏิบัติเร็วๆ ลืมความเข้าใจขั้นการฟังให้เข้าใจถูกต้อง จึงจะพยายามทำให้
สงบ อยากให้ได้ผลในการปฏฺบัติ 

ลืมไปว่า ปัญญาในขั้นการฟังยังไม่เพียงพอเลยที่
จะทำให้เกิด สติปัฏฐาน เกิดการเจริญวิปัสสนา 

แต่พยายามแสวงหาหนทางที่จะทำ
ให้สงบ   แต่ ไม่ใช่ด้วยความเข้าใจ   เพราะ ในความเป็นจริง สิ่งที่ขาด คือ ปัญญา
เพราะ กำลังปัญญาจากขั้นการฟัง ยังไม่เพียงพอ 

จึงไม่สามารถที่จะเกิดสติปัฏฐาน
ที่จะระลึกแม้สภาพธรรมที่เป็นเสียง ที่สำคัญว่า วุ่นวายในชีวิตประจำวัน สามารถเกิด
สติ ระลึกแม้แต่ ความโกรธ อกุศลจิตได้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ดังนั้น 

หนทาง
ที่ถูกต้อง คือ ไม่ใช่การจะพยายามไปทำให้สงบ แต่สำคัญ คือ อบรมเหตุ คือ การ
ฟังพระธรรมให้เข้าใจ จนเมื่อปัญญาถึงพร้อม ปัญญาก็สามารถเกิดรู้ความจริง ทีเป็น
ปกติในชีวิตประจำวันได้ และ ขณะที่รู้ความจริง ขณะนั้นก็สงบจากกิเลสชั่วขณะ
พร้อมๆ กับความเข้าใจที่เป็นปัญญา 

ในหนทางที่ถูกว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา
อันเป็นหนทางการดับกิเลสที่แท้จริง 

ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว  ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยควาไม่เข้าใจ นั่น
ไม่ใช่ทั้งการอบเจริญสมถภาวนา และ ไม่ใช่ทั้งการอบรมเจริญวิปัสสนา ด้วย  มีแต่
จะเพิ่มพูนความไม่รู้ ความเห็นผิด ความติดข้อง ตลอดจนถึงกิเลสประการอื่นอีกมาย 
ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่รู้ 

  สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก   แล้วความเข้าใจถูกเห็นถูกจะมา
จากเไหน?  พราะเกิดเองก็ไม่ได้  บังคับให้เกิดตามใจชอบก็ไม่ได้    แต่สามารถ
สะสมได้ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

  ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก  ต้องเริ่มจากการสะสมปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ   
ขณะนี้มีธรรมอะไรบ้าง ที่ควรรู้ควรศึกษาให้เข้าใจ   เพราะสิ่งที่มีจริง นั้น  มีจริงๆ ในขณะนี้  ในชีวิตประจำวัน 
ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

เมื่อฟังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ   
ก็จะเป็นเหตุให้สติเกิดขึ้นระลึกลักษณะของสภาพธรรม
ที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนั้นได้ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย 
 ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น  

 สิ่งสำคัญ คือ  ความเข้าใจถูกเห็นถูก ตั้งแต่ต้น

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่