สวัสดีค่ะ
ปัญหา PM2.5 และน้ำประปาเค็มตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำหน้าเราพังยับเยินมาก สารพัดสิวบุกหน้า ทั้งสิวผด สิวอุดตัน และสิวอักเสบบุกหน้าผาก กรอบหน้าและใต้คางหนักมาก โดยเราก็รักษาด้วยการใช้น้ำดื่มล้างหน้า เช็ดน้ำเกลือ ใช้ครีมแต้มสิวและกดสิวออก จนสิวลดลงและหายไปในที่สุด แต่รอยสิว รอยแดง รอยดำ ที่ทิ้งไว้นี่สิ ยังต้องรักษากันอีกยาวเลย แก่แล้วด้วยมันจางยากมากนะ T^T
เราเลยหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเยอะมากๆๆ เพื่อหาครีมลดรอยแผลเป็นที่จะมาใช้รักษารอยสิว ทำให้เรารู้ว่าครีมลดรอยแผลเป็นตัวดังหลายแบรนด์ มักมีส่วนผสมเดิมๆ ที่ซ้ำกันอยู่ คืออ่านเยอะจนตกผลึกออกมาได้เป็น 5ส่วนผสมเด็ดที่มักเจอในครีมลดรอยแผลเป็นนั่นเอง
วันนี้ก็เลยอยากมาแบ่งปันข้อมูล โดยรีวิวครีมลดรอยแผลเป็น 7 แบรนด์ยอดฮิตในท้องตลาด นั่นคือ
- Scargel
- Lavita Scar care
- Mederma
- Smooth E Acne Scar
- Erase Gel
- Hiruscar Postacne
- Medmaker
มาดูกันว่าแต่ละใส่ส่วนผสมตัวไหนบ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกใช้กันค่ะ
1. สารสกัดจากหัวหอม : Allium Cepa
บอกได้เลยว่าครีมลดรอยแผลเป็นแทบทุกแบรนด์ต้องมีเจ้าตัวนี้เป็นส่วนผสมชูโรง นั่นเป็นเพราะสารสกัดจากหัวหอม มีสารกลุ่ม Flavonoid อันได้แก่ Quercetin และ Kaempferol อยู่ในนั้น
- ทำหน้าที่ช่วยลดการเกิดรอยแผลเป็นชนิดนูน (Hypertrophic scar) โดยไปลดการอักเสบของแผล (Wound Healing Effect) และช่วยชะลอการทำงานของ Ficroblasts ไม่ให้หลั่งสารไปที่บริเวณบาดแผลมากจนเกินไปจนเกิดแผลปูดนูน
- ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของกระแสโลหิตเข้าสู่แผลเป็นที่นูนแข็ง ทำให้แผลเป็นนิ่มขึ้นและสีผิวจางลง
- ช่วยยับยั้งการหลั่งของ Histamine ทำให้การรักษาแผลเป็นต่างๆ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
- ช่วยให้เส้นใยคอลลาเจน ภายในชั้นเนื้อที่เป็นแผลเป็นลดลง แผลเป็นจึงนิ่มขึ้น
*จากรายงานผลงานวิจัยของ Hosnuter M. (J Wound Care.2007)
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในไทยที่พบว่า สารสกัดจากหัวหอม 12% จะช่วยลดการเกิดแผลเป็นนูนและช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงได้จริงอีกด้วย (อ้างอิง) เพราะมีคุณสมบัติที่ดีแบบรอบด้านอย่างนี้นี่เอง จึงทำให้แทบทุกแบรนด์ใส่เจ้า Allium Cepa เป็นส่วนผสมหลักในครีมลดรอยแผลเป็น ซึ่งจากที่เราสำรวจมาตามท้องตลาด เน้นวางขายตามร้านขายยาก็มีดังนี้
2. สารสกัดจากใบบัวบก : Centella Asiatica
เป็นสมุนไพรไทยที่มีดีมากกว่าแค่แก้ช้ำใน เพราะ Centella Asiatica ได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมหลักในครีมลดรอยแผลอย่างแพร่หลายทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งในสารสกัดจากใบบัวบก มีสารออกฤทธิ์สำคัญ 2 ตัวที่ช่วยในการลดรอยแผลเป็นนั่นคือ Madecassid และAsiaticoside
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว
- มีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระ ช่วยสมานแผลทำให้แผลหายเร็ว รอยแผลเป็นมีขนาดเล็กลง
- ยับยั้งกระบวนการเกิดแผลเป็นชนิดนูน
- มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและลดอาการอักเสบ
- ลดรอยหมองคล้ำ รอยด่างดำของผิว รอยแดง รอยแผลเป็นต่างๆ
- ลดอาการบวมช้ำให้เลือนหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าครีมลดรอยแผลเป็นที่มีสารสกัดจากใบบัวบกเป็นส่วนผสม มีคุณสมบัติในการสมานแผลและสร้างคอลลาเจนได้เทียบเท่าหรือดีกว่ายาแผนปัจจุบัน (อ้างอิง) แต่สารสกัดจากใบบัวที่จะออกฤทธิ์ได้ตามคุณสมบัตินั้นต้องมีอัตราส่วนความเข้มข้นของสาร Madecassid และAsiaticosideที่พอเหมาะ ซึ่งจากที่หาข้อมูลมาในบ้านเราก็สามารถสกัดเจ้าสารสองตัวนี้ในอัตราส่วนที่ออกฤทธิ์ดีที่สุดและมีความบริสุทธิ์สูงถึง85% โดยมีชื่อว่า ECa233 (เป็นงานวิจัยจากคณะเภสัชฯ จุฬาลงกรณ์) เจ๋งสุดๆ ไปเลยใช่มั้ยล่ะ!
3. Vitamin E
เชื่อว่าทุกคนต้องเคยใช้วิตามินอีในการทารอยแผลเป็น เพราะจัดเป็นตัวช่วยเรื่องลดรอยแผลเป็นในยุคแรกๆ เลย และถึงแม้ตอนนี้จะมีสารออกฤทธิ์ใหม่ๆ ที่เด็ดกว่าออกมา แต่วิตามินอีก็ยังคงเป็นหนึ่งในส่วนผสมของครีมลดรอยแผลเป็นต่างๆ ในท้องตลาดอยู่ดี ซึ่งวิตามินอีหรือสารโทโคเฟอรอล (Tocopherol) นั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ใช้ทาตรงบริเวณที่เป็นรอยแผลเป็นโดยมีคุณสมบัติดังนี้
- ช่วยลดการสร้างของอนุมูลอิสระที่ไปขัดขวางการฟื้นตัวของแผล
- มีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่จะช่วยในเรื่องการสร้างความแข็งแรง และความยืดหยุ่นของผิวหนัง
- ให้ความชุ่นชื้น ลดความแห้งกร้านและริ้วรอย
ถึงแม้วิตามินอีจะได้รับความนิยมในการใช้ทาเพื่อลดรอยแผลเป็นมานาน แต่ก็มีหลายงานวิจัยที่บอกว่า วิตามินอีไม่ได้ลดการเกิดรอยแผลเป็นได้จริง (อ้าว...ไหงงั้นอ่ะ) เช่น งานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารศัลยกรรมพลาสติกตกแต่งและความงาม (Journal of plastic, reconstructive and aesthetic surgery) ในปี 2011 ได้บอกว่าการทาวิตามินอี 5% วันละ 2 ครั้งนั้นไม่มีผลต่อการเกิดรอยแผลเป็นเลย โดยการทดลองคือให้ผู้เข้าร่วมเริ่มทาวิตามินอี 5% ที่แผลผ่าตัดหลังจากผ่าตัด 2 สัปดาห์โดยทานาน 6 สัปดาห์แล้วรอยแผลเป็นก็ยังอยู่ในสภาพเดิม
หรือ อีกงานวิจัยได้ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์การดูแลแผลไหม้และการฟื้นฟู (Journal of burn care and rehabilitation) ในปี 1986 ได้ใช้วิตามินอีทาแผลผ่าตัดตกแต่งที่เกิดจากไฟไหม้ โดยใช้การทาวิตามินอี การทาสเตียรอยด์ และทายาหลอก มาเทียบกัน พบว่าทั้งวิตามินอีและสเตียรอยด์ ไม่ช่วยทั้งการตึงรั้งของแผล ความหนาของรอยแผลเป็น ขนาดของแผลเป็น หรือแม้กระทั่งความสวยงาม
โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยได้ใช้วิตามินอีในการรักษารอยแผลเป็นจากสิวเท่าไหร่ เพราะใช้บนหน้าทีไรสิวอุดตันบุกทุกที แต่ชอบใช้กับผิวแห้งลอกตามข้อศอก ตามแขนขามากกว่า ใครใช้แล้วเวิร์คไม่เวิร์คยังไงก็มาเล่าให้กันฟังมั่งนะ
4. วิตามินบี 3 (Vitamin B3) หรือไนอาซินาไมด์ (Niacinamide)
รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นมักมีสีที่คล้ำกว่าผิวหนังปกติ เช่น รอยดำ รอยแดง จากสิว ครีมลดรอยแผลเป็นจึงต้องใส่ส่วนผสมที่ช่วยปรับสภาพสีผิวตรงรอยแผลเป็นให้จางลง กระจ่างใสขึ้น ซึ่งวิตามินบี3 เป็นหนึ่งในส่วนผสมยอดนิยมด้าน Whiteningในครีมลดรอยแผลเป็นหลายแบรนด์ในท้องตลาด
- มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง
- ช่วยลดการส่งผ่านเม็ดสีเมลานิน (Melanin) เข้าสู่เซลล์ผิว ในบริเวณที่มีการซ่อมแซมรอยแผล จึงช่วยลดรอยแดงหรือรอยคล้ำได้
- ช่วยกระจายเม็ดสีผิวที่จับตัวเป็นก้อนสีเข้มให้กระจายออกไปด้านล่างของชั้นผิว
- เร่งการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน เพื่อเผยผิวใหม่
- เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มความยืดหยุ่นและความเข็มแรงของชั้นผิว
เรียกได้ว่าเป็นวิตามินแห่งความขาวกระจ่างใสจริงๆ ใครที่มีรอยดำ รอยแดงจากสิว จะเลือกซื้อครีมลดรอยแผลเป็นก็อย่าลืมเช็คด้วยนะว่ามีส่วนผสมของวิตามินบี3 หรือเปล่า
5. ไฮยารูลอนิค แอซิด : Hyaluronic acid
ไฮยารูลอนิค แอซิด โดดเด่นในเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแบบสุดๆ ครีมลดรอยแผลเป็นในท้องตลาดหลายแบรนด์จึงนิยมใช้ ไฮยารูลอนิค แอซิด เป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับแผล
- ทำหน้าที่เป็นตัวดูดความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง กักเก็บน้ำไว้บนผิวเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นตลอดเวลา
- ช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม ไม่แห้งแตก ลดเลือนริ้วรอย และยังช่วยให้ผิวหนังกระชับขึ้น
- ช่วยลดขนาดของบาดแผล บรรเทาอาการปวด และอาจช่วยบรรเทาอาการของแผลไฟไหม้ได้ด้วย
- ช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูของเซลล์ ทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น
จากการวิจัยพบว่าช่วงเดือนแรกของกระบวนการซ่อมแซมผิวหนัง (Wound Healing Process) การดูแลรักษาแผลให้มีความชุ่มชื้นตลอดเวลาจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นถึง 40% เชียวนะ (อ้างอิง) เนื่องมาจากแผลที่ชุ่มชื้นทำให้เซลล์ผิวหนัง และ Growth Factor ต่างๆ ที่อยู่รอบแผลซ่อมแซมผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ก่อให้เกิดการอักเสบของแผล และเซลล์พังผืดบางชนิด จึงเชื่อว่ามีผลทำให้โอกาสการเกิดแผลเป็นลดน้อยลง
โอ้โห มีดีมากกว่าแค่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวและแผลเป็นนะเนี่ย!
เพื่อความชัดเจน เราเลยทำตารางสรุปไว้ให้ด้วย
v
v
v
[CR] รีวิว 5 ส่วนผสมเด็ดในครีมลดรอยแผลเป็น แบรนด์ไหนจัดเต็มสุด!
บอกได้เลยว่าครีมลดรอยแผลเป็นแทบทุกแบรนด์ต้องมีเจ้าตัวนี้เป็นส่วนผสมชูโรง นั่นเป็นเพราะสารสกัดจากหัวหอม มีสารกลุ่ม Flavonoid อันได้แก่ Quercetin และ Kaempferol อยู่ในนั้น
- ทำหน้าที่ช่วยลดการเกิดรอยแผลเป็นชนิดนูน (Hypertrophic scar) โดยไปลดการอักเสบของแผล (Wound Healing Effect) และช่วยชะลอการทำงานของ Ficroblasts ไม่ให้หลั่งสารไปที่บริเวณบาดแผลมากจนเกินไปจนเกิดแผลปูดนูน
- ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของกระแสโลหิตเข้าสู่แผลเป็นที่นูนแข็ง ทำให้แผลเป็นนิ่มขึ้นและสีผิวจางลง
- ช่วยยับยั้งการหลั่งของ Histamine ทำให้การรักษาแผลเป็นต่างๆ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
- ช่วยให้เส้นใยคอลลาเจน ภายในชั้นเนื้อที่เป็นแผลเป็นลดลง แผลเป็นจึงนิ่มขึ้น
*จากรายงานผลงานวิจัยของ Hosnuter M. (J Wound Care.2007)
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในไทยที่พบว่า สารสกัดจากหัวหอม 12% จะช่วยลดการเกิดแผลเป็นนูนและช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงได้จริงอีกด้วย (อ้างอิง) เพราะมีคุณสมบัติที่ดีแบบรอบด้านอย่างนี้นี่เอง จึงทำให้แทบทุกแบรนด์ใส่เจ้า Allium Cepa เป็นส่วนผสมหลักในครีมลดรอยแผลเป็น ซึ่งจากที่เราสำรวจมาตามท้องตลาด เน้นวางขายตามร้านขายยาก็มีดังนี้
เป็นสมุนไพรไทยที่มีดีมากกว่าแค่แก้ช้ำใน เพราะ Centella Asiatica ได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมหลักในครีมลดรอยแผลอย่างแพร่หลายทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งในสารสกัดจากใบบัวบก มีสารออกฤทธิ์สำคัญ 2 ตัวที่ช่วยในการลดรอยแผลเป็นนั่นคือ Madecassid และAsiaticoside
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว
- มีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระ ช่วยสมานแผลทำให้แผลหายเร็ว รอยแผลเป็นมีขนาดเล็กลง
- ยับยั้งกระบวนการเกิดแผลเป็นชนิดนูน
- มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและลดอาการอักเสบ
- ลดรอยหมองคล้ำ รอยด่างดำของผิว รอยแดง รอยแผลเป็นต่างๆ
- ลดอาการบวมช้ำให้เลือนหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าครีมลดรอยแผลเป็นที่มีสารสกัดจากใบบัวบกเป็นส่วนผสม มีคุณสมบัติในการสมานแผลและสร้างคอลลาเจนได้เทียบเท่าหรือดีกว่ายาแผนปัจจุบัน (อ้างอิง) แต่สารสกัดจากใบบัวที่จะออกฤทธิ์ได้ตามคุณสมบัตินั้นต้องมีอัตราส่วนความเข้มข้นของสาร Madecassid และAsiaticosideที่พอเหมาะ ซึ่งจากที่หาข้อมูลมาในบ้านเราก็สามารถสกัดเจ้าสารสองตัวนี้ในอัตราส่วนที่ออกฤทธิ์ดีที่สุดและมีความบริสุทธิ์สูงถึง85% โดยมีชื่อว่า ECa233 (เป็นงานวิจัยจากคณะเภสัชฯ จุฬาลงกรณ์) เจ๋งสุดๆ ไปเลยใช่มั้ยล่ะ!
3. Vitamin E
เชื่อว่าทุกคนต้องเคยใช้วิตามินอีในการทารอยแผลเป็น เพราะจัดเป็นตัวช่วยเรื่องลดรอยแผลเป็นในยุคแรกๆ เลย และถึงแม้ตอนนี้จะมีสารออกฤทธิ์ใหม่ๆ ที่เด็ดกว่าออกมา แต่วิตามินอีก็ยังคงเป็นหนึ่งในส่วนผสมของครีมลดรอยแผลเป็นต่างๆ ในท้องตลาดอยู่ดี ซึ่งวิตามินอีหรือสารโทโคเฟอรอล (Tocopherol) นั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ใช้ทาตรงบริเวณที่เป็นรอยแผลเป็นโดยมีคุณสมบัติดังนี้
- ช่วยลดการสร้างของอนุมูลอิสระที่ไปขัดขวางการฟื้นตัวของแผล
- มีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่จะช่วยในเรื่องการสร้างความแข็งแรง และความยืดหยุ่นของผิวหนัง
- ให้ความชุ่นชื้น ลดความแห้งกร้านและริ้วรอย
ถึงแม้วิตามินอีจะได้รับความนิยมในการใช้ทาเพื่อลดรอยแผลเป็นมานาน แต่ก็มีหลายงานวิจัยที่บอกว่า วิตามินอีไม่ได้ลดการเกิดรอยแผลเป็นได้จริง (อ้าว...ไหงงั้นอ่ะ) เช่น งานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารศัลยกรรมพลาสติกตกแต่งและความงาม (Journal of plastic, reconstructive and aesthetic surgery) ในปี 2011 ได้บอกว่าการทาวิตามินอี 5% วันละ 2 ครั้งนั้นไม่มีผลต่อการเกิดรอยแผลเป็นเลย โดยการทดลองคือให้ผู้เข้าร่วมเริ่มทาวิตามินอี 5% ที่แผลผ่าตัดหลังจากผ่าตัด 2 สัปดาห์โดยทานาน 6 สัปดาห์แล้วรอยแผลเป็นก็ยังอยู่ในสภาพเดิม
หรือ อีกงานวิจัยได้ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์การดูแลแผลไหม้และการฟื้นฟู (Journal of burn care and rehabilitation) ในปี 1986 ได้ใช้วิตามินอีทาแผลผ่าตัดตกแต่งที่เกิดจากไฟไหม้ โดยใช้การทาวิตามินอี การทาสเตียรอยด์ และทายาหลอก มาเทียบกัน พบว่าทั้งวิตามินอีและสเตียรอยด์ ไม่ช่วยทั้งการตึงรั้งของแผล ความหนาของรอยแผลเป็น ขนาดของแผลเป็น หรือแม้กระทั่งความสวยงาม
โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยได้ใช้วิตามินอีในการรักษารอยแผลเป็นจากสิวเท่าไหร่ เพราะใช้บนหน้าทีไรสิวอุดตันบุกทุกที แต่ชอบใช้กับผิวแห้งลอกตามข้อศอก ตามแขนขามากกว่า ใครใช้แล้วเวิร์คไม่เวิร์คยังไงก็มาเล่าให้กันฟังมั่งนะ
รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นมักมีสีที่คล้ำกว่าผิวหนังปกติ เช่น รอยดำ รอยแดง จากสิว ครีมลดรอยแผลเป็นจึงต้องใส่ส่วนผสมที่ช่วยปรับสภาพสีผิวตรงรอยแผลเป็นให้จางลง กระจ่างใสขึ้น ซึ่งวิตามินบี3 เป็นหนึ่งในส่วนผสมยอดนิยมด้าน Whiteningในครีมลดรอยแผลเป็นหลายแบรนด์ในท้องตลาด
- มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง
- ช่วยลดการส่งผ่านเม็ดสีเมลานิน (Melanin) เข้าสู่เซลล์ผิว ในบริเวณที่มีการซ่อมแซมรอยแผล จึงช่วยลดรอยแดงหรือรอยคล้ำได้
- ช่วยกระจายเม็ดสีผิวที่จับตัวเป็นก้อนสีเข้มให้กระจายออกไปด้านล่างของชั้นผิว
- เร่งการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน เพื่อเผยผิวใหม่
- เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มความยืดหยุ่นและความเข็มแรงของชั้นผิว
เรียกได้ว่าเป็นวิตามินแห่งความขาวกระจ่างใสจริงๆ ใครที่มีรอยดำ รอยแดงจากสิว จะเลือกซื้อครีมลดรอยแผลเป็นก็อย่าลืมเช็คด้วยนะว่ามีส่วนผสมของวิตามินบี3 หรือเปล่า
ไฮยารูลอนิค แอซิด โดดเด่นในเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแบบสุดๆ ครีมลดรอยแผลเป็นในท้องตลาดหลายแบรนด์จึงนิยมใช้ ไฮยารูลอนิค แอซิด เป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับแผล
- ทำหน้าที่เป็นตัวดูดความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง กักเก็บน้ำไว้บนผิวเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นตลอดเวลา
- ช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม ไม่แห้งแตก ลดเลือนริ้วรอย และยังช่วยให้ผิวหนังกระชับขึ้น
- ช่วยลดขนาดของบาดแผล บรรเทาอาการปวด และอาจช่วยบรรเทาอาการของแผลไฟไหม้ได้ด้วย
- ช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูของเซลล์ ทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น
จากการวิจัยพบว่าช่วงเดือนแรกของกระบวนการซ่อมแซมผิวหนัง (Wound Healing Process) การดูแลรักษาแผลให้มีความชุ่มชื้นตลอดเวลาจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นถึง 40% เชียวนะ (อ้างอิง) เนื่องมาจากแผลที่ชุ่มชื้นทำให้เซลล์ผิวหนัง และ Growth Factor ต่างๆ ที่อยู่รอบแผลซ่อมแซมผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ก่อให้เกิดการอักเสบของแผล และเซลล์พังผืดบางชนิด จึงเชื่อว่ามีผลทำให้โอกาสการเกิดแผลเป็นลดน้อยลง
โอ้โห มีดีมากกว่าแค่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวและแผลเป็นนะเนี่ย!
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้