[CR] รีวิว 5 ส่วนผสมเด็ดในครีมลดรอยแผลเป็น แบรนด์ไหนจัดเต็มสุด!

สวัสดีค่ะ 

       ปัญหา PM2.5 และน้ำประปาเค็มตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำหน้าเราพังยับเยินมาก สารพัดสิวบุกหน้า ทั้งสิวผด สิวอุดตัน และสิวอักเสบบุกหน้าผาก กรอบหน้าและใต้คางหนักมาก  โดยเราก็รักษาด้วยการใช้น้ำดื่มล้างหน้า เช็ดน้ำเกลือ ใช้ครีมแต้มสิวและกดสิวออก จนสิวลดลงและหายไปในที่สุด แต่รอยสิว รอยแดง รอยดำ ที่ทิ้งไว้นี่สิ ยังต้องรักษากันอีกยาวเลย แก่แล้วด้วยมันจางยากมากนะ T^T

       เราเลยหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเยอะมากๆๆ เพื่อหาครีมลดรอยแผลเป็นที่จะมาใช้รักษารอยสิว  ทำให้เรารู้ว่าครีมลดรอยแผลเป็นตัวดังหลายแบรนด์ มักมีส่วนผสมเดิมๆ ที่ซ้ำกันอยู่ คืออ่านเยอะจนตกผลึกออกมาได้เป็น 5ส่วนผสมเด็ดที่มักเจอในครีมลดรอยแผลเป็นนั่นเอง 

       วันนี้ก็เลยอยากมาแบ่งปันข้อมูล โดยรีวิวครีมลดรอยแผลเป็น 7 แบรนด์ยอดฮิตในท้องตลาด นั่นคือ  
        - Scargel
        - Lavita Scar care
        - Mederma
        - Smooth E Acne Scar
        - Erase Gel
        - Hiruscar Postacne 
        - Medmaker
      มาดูกันว่าแต่ละใส่ส่วนผสมตัวไหนบ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกใช้กันค่ะ

1. สารสกัดจากหัวหอม : Allium Cepa 

บอกได้เลยว่าครีมลดรอยแผลเป็นแทบทุกแบรนด์ต้องมีเจ้าตัวนี้เป็นส่วนผสมชูโรง นั่นเป็นเพราะสารสกัดจากหัวหอม มีสารกลุ่ม Flavonoid อันได้แก่ Quercetin และ Kaempferol อยู่ในนั้น

-  ทำหน้าที่ช่วยลดการเกิดรอยแผลเป็นชนิดนูน (Hypertrophic scar) โดยไปลดการอักเสบของแผล (Wound Healing Effect) และช่วยชะลอการทำงานของ Ficroblasts ไม่ให้หลั่งสารไปที่บริเวณบาดแผลมากจนเกินไปจนเกิดแผลปูดนูน
-  ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของกระแสโลหิตเข้าสู่แผลเป็นที่นูนแข็ง ทำให้แผลเป็นนิ่มขึ้นและสีผิวจางลง
-  ช่วยยับยั้งการหลั่งของ Histamine ทำให้การรักษาแผลเป็นต่างๆ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
-  ช่วยให้เส้นใยคอลลาเจน ภายในชั้นเนื้อที่เป็นแผลเป็นลดลง แผลเป็นจึงนิ่มขึ้น
*จากรายงานผลงานวิจัยของ Hosnuter M. (J Wound Care.2007)

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในไทยที่พบว่า สารสกัดจากหัวหอม 12% จะช่วยลดการเกิดแผลเป็นนูนและช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงได้จริงอีกด้วย (อ้างอิง) เพราะมีคุณสมบัติที่ดีแบบรอบด้านอย่างนี้นี่เอง จึงทำให้แทบทุกแบรนด์ใส่เจ้า Allium Cepa เป็นส่วนผสมหลักในครีมลดรอยแผลเป็น ซึ่งจากที่เราสำรวจมาตามท้องตลาด เน้นวางขายตามร้านขายยาก็มีดังนี้
2. สารสกัดจากใบบัวบก : Centella Asiatica

เป็นสมุนไพรไทยที่มีดีมากกว่าแค่แก้ช้ำใน  เพราะ Centella Asiatica ได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมหลักในครีมลดรอยแผลอย่างแพร่หลายทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งในสารสกัดจากใบบัวบก มีสารออกฤทธิ์สำคัญ 2 ตัวที่ช่วยในการลดรอยแผลเป็นนั่นคือ Madecassid และAsiaticoside

-  กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว 
-  มีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระ ช่วยสมานแผลทำให้แผลหายเร็ว รอยแผลเป็นมีขนาดเล็กลง 
-  ยับยั้งกระบวนการเกิดแผลเป็นชนิดนูน 
-  มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและลดอาการอักเสบ 
-  ลดรอยหมองคล้ำ รอยด่างดำของผิว รอยแดง รอยแผลเป็นต่างๆ 
-  ลดอาการบวมช้ำให้เลือนหายไปในเวลาอันรวดเร็ว 

มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าครีมลดรอยแผลเป็นที่มีสารสกัดจากใบบัวบกเป็นส่วนผสม มีคุณสมบัติในการสมานแผลและสร้างคอลลาเจนได้เทียบเท่าหรือดีกว่ายาแผนปัจจุบัน (อ้างอิง) แต่สารสกัดจากใบบัวที่จะออกฤทธิ์ได้ตามคุณสมบัตินั้นต้องมีอัตราส่วนความเข้มข้นของสาร Madecassid และAsiaticosideที่พอเหมาะ ซึ่งจากที่หาข้อมูลมาในบ้านเราก็สามารถสกัดเจ้าสารสองตัวนี้ในอัตราส่วนที่ออกฤทธิ์ดีที่สุดและมีความบริสุทธิ์สูงถึง85% โดยมีชื่อว่า ECa233 (เป็นงานวิจัยจากคณะเภสัชฯ จุฬาลงกรณ์) เจ๋งสุดๆ ไปเลยใช่มั้ยล่ะ!


3. Vitamin E

เชื่อว่าทุกคนต้องเคยใช้วิตามินอีในการทารอยแผลเป็น เพราะจัดเป็นตัวช่วยเรื่องลดรอยแผลเป็นในยุคแรกๆ เลย และถึงแม้ตอนนี้จะมีสารออกฤทธิ์ใหม่ๆ ที่เด็ดกว่าออกมา แต่วิตามินอีก็ยังคงเป็นหนึ่งในส่วนผสมของครีมลดรอยแผลเป็นต่างๆ ในท้องตลาดอยู่ดี  ซึ่งวิตามินอีหรือสารโทโคเฟอรอล (Tocopherol) นั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ใช้ทาตรงบริเวณที่เป็นรอยแผลเป็นโดยมีคุณสมบัติดังนี้

-  ช่วยลดการสร้างของอนุมูลอิสระที่ไปขัดขวางการฟื้นตัวของแผล
-  มีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่จะช่วยในเรื่องการสร้างความแข็งแรง และความยืดหยุ่นของผิวหนัง
-  ให้ความชุ่นชื้น ลดความแห้งกร้านและริ้วรอย

ถึงแม้วิตามินอีจะได้รับความนิยมในการใช้ทาเพื่อลดรอยแผลเป็นมานาน แต่ก็มีหลายงานวิจัยที่บอกว่า วิตามินอีไม่ได้ลดการเกิดรอยแผลเป็นได้จริง (อ้าว...ไหงงั้นอ่ะ) เช่น งานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารศัลยกรรมพลาสติกตกแต่งและความงาม (Journal of plastic, reconstructive and aesthetic surgery) ในปี 2011 ได้บอกว่าการทาวิตามินอี 5% วันละ 2 ครั้งนั้นไม่มีผลต่อการเกิดรอยแผลเป็นเลย โดยการทดลองคือให้ผู้เข้าร่วมเริ่มทาวิตามินอี 5% ที่แผลผ่าตัดหลังจากผ่าตัด 2 สัปดาห์โดยทานาน 6 สัปดาห์แล้วรอยแผลเป็นก็ยังอยู่ในสภาพเดิม 

หรือ อีกงานวิจัยได้ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์การดูแลแผลไหม้และการฟื้นฟู (Journal of burn care and rehabilitation) ในปี 1986 ได้ใช้วิตามินอีทาแผลผ่าตัดตกแต่งที่เกิดจากไฟไหม้ โดยใช้การทาวิตามินอี การทาสเตียรอยด์ และทายาหลอก มาเทียบกัน พบว่าทั้งวิตามินอีและสเตียรอยด์ ไม่ช่วยทั้งการตึงรั้งของแผล ความหนาของรอยแผลเป็น ขนาดของแผลเป็น หรือแม้กระทั่งความสวยงาม

โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยได้ใช้วิตามินอีในการรักษารอยแผลเป็นจากสิวเท่าไหร่ เพราะใช้บนหน้าทีไรสิวอุดตันบุกทุกที แต่ชอบใช้กับผิวแห้งลอกตามข้อศอก ตามแขนขามากกว่า ใครใช้แล้วเวิร์คไม่เวิร์คยังไงก็มาเล่าให้กันฟังมั่งนะ

4. วิตามินบี 3 (Vitamin B3) หรือไนอาซินาไมด์ (Niacinamide)

รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นมักมีสีที่คล้ำกว่าผิวหนังปกติ เช่น รอยดำ รอยแดง จากสิว ครีมลดรอยแผลเป็นจึงต้องใส่ส่วนผสมที่ช่วยปรับสภาพสีผิวตรงรอยแผลเป็นให้จางลง กระจ่างใสขึ้น ซึ่งวิตามินบี3 เป็นหนึ่งในส่วนผสมยอดนิยมด้าน Whiteningในครีมลดรอยแผลเป็นหลายแบรนด์ในท้องตลาด

-  มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง
-  ช่วยลดการส่งผ่านเม็ดสีเมลานิน (Melanin) เข้าสู่เซลล์ผิว ในบริเวณที่มีการซ่อมแซมรอยแผล จึงช่วยลดรอยแดงหรือรอยคล้ำได้ 
-  ช่วยกระจายเม็ดสีผิวที่จับตัวเป็นก้อนสีเข้มให้กระจายออกไปด้านล่างของชั้นผิว 
-  เร่งการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน เพื่อเผยผิวใหม่
-  เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มความยืดหยุ่นและความเข็มแรงของชั้นผิว 

เรียกได้ว่าเป็นวิตามินแห่งความขาวกระจ่างใสจริงๆ ใครที่มีรอยดำ รอยแดงจากสิว จะเลือกซื้อครีมลดรอยแผลเป็นก็อย่าลืมเช็คด้วยนะว่ามีส่วนผสมของวิตามินบี3 หรือเปล่า
5. ไฮยารูลอนิค แอซิด : Hyaluronic acid

ไฮยารูลอนิค แอซิด โดดเด่นในเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแบบสุดๆ ครีมลดรอยแผลเป็นในท้องตลาดหลายแบรนด์จึงนิยมใช้ ไฮยารูลอนิค แอซิด เป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับแผล 

-  ทำหน้าที่เป็นตัวดูดความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง กักเก็บน้ำไว้บนผิวเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นตลอดเวลา
-  ช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม ไม่แห้งแตก ลดเลือนริ้วรอย และยังช่วยให้ผิวหนังกระชับขึ้น
-  ช่วยลดขนาดของบาดแผล บรรเทาอาการปวด และอาจช่วยบรรเทาอาการของแผลไฟไหม้ได้ด้วย
-  ช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูของเซลล์ ทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น

จากการวิจัยพบว่าช่วงเดือนแรกของกระบวนการซ่อมแซมผิวหนัง (Wound Healing Process) การดูแลรักษาแผลให้มีความชุ่มชื้นตลอดเวลาจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นถึง 40% เชียวนะ (อ้างอิง) เนื่องมาจากแผลที่ชุ่มชื้นทำให้เซลล์ผิวหนัง และ Growth Factor ต่างๆ ที่อยู่รอบแผลซ่อมแซมผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ก่อให้เกิดการอักเสบของแผล และเซลล์พังผืดบางชนิด จึงเชื่อว่ามีผลทำให้โอกาสการเกิดแผลเป็นลดน้อยลง  

โอ้โห มีดีมากกว่าแค่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวและแผลเป็นนะเนี่ย!


เพื่อความชัดเจน เราเลยทำตารางสรุปไว้ให้ด้วย
v
v
v
ชื่อสินค้า:   Scargel, Lavita Scar care, Mederma, Smooth E Acne Scar, Erase Gel, Hiruscar Postacne, Medmaker
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่