ยุคปัจจุบันเรามีช่องทางรับชมสื่อบันเทิงออนไลน์หลายเจ้าอยู่แล้ว และการแข่งขันก็ถือว่าสูงลิ่วมาก่อนหน้านี้ได้สักพัก
แต่เมื่อเจ้าไวรัสที่มนุษย์ตั้งชื่อโควิด-19 ให้ ดันแพร่ระบาดแบบไม่เกรงใจใครหน้าไหน
จนโรงหนังทั่วโลกอดทนไม่ไหว ต้องจำยอมปิดกิจการชั่วคราวกัน
เหตุการณ์ที่ผู้ติดตามวงการฮอลลีวูดบางคน อาจไม่เคยคาดฝันมาก่อน จึงบังเกิด
จำได้ว่าเรื่องมันเริ่มจากเจมส์ บอนด์ภาค No Time to Die ของค่าย MGM ที่ตั้งโปรแกรมฉายเดือนเมษายน ค.ศ. 2020 ประกาศขยับไปเดือนพฤศจิกายน
ถัดมาคือ Mulan ที่เลื่อนแม้ใกล้ฉายเต็มทน จนหลังจากนั้นก็เหมือนโดมิโน่ล้ม
ภาพยนตร์โปรแกรมเด็ดซึ่งจ่อจะโกยเงินในช่วงเวลาทองของปี ได้ทยอยประกาศว่าอีนี่ฉานจะเลื่อนฉายนาจ๊ะ...
แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นว่าหนังบล็อคบัสเตอร์ช่วงซัมเมอร์เกือบทั้งหมด เลื่อนยาวยกแผง
แต่ดิสนีย์ดันแถลงเรื่องที่บางคนคงมองว่าเป็นไปไม่ได้ร๊อก! ออกมา
นั่นคือผลงานทุนสร้าง 125 ล้านดอลลาร์ และดัดแปลงจากนิยายชุดขายดีมีหลายเล่มนักแบบ 'Artemis Fowl'
จะถูกส่งตรงลงเผยแพร่ทางช่อง Disney+ แบบไม่ง้อโรง
บทความนี้จะวิเคราะห์ว่า นี่คือการส่งสัญญาณเรื่อง 'ต่อไปนี้ฮอลลีวูดบล็อคบัสเตอร์ไม่สนโรงอีกแล้วจ้า' หรือ 'ถึงเวลาที่สิ่งเก่าๆ ต้องตาย' ไหม
โดยพิจารณาจากข่าวสารความเคลื่อนไหว ของเหล่าบริษัทผู้ผลิตผลงานด้านความบันเทิงเป็นหลัก
และเนื่องด้วยผู้เขียนไร้ความรู้ด้านการตลาด อีกทั้งมิทราบตัวเลขของเม็ดเงินมหาศาล ที่หมุนเวียนในวงการสตรีมมิ่งแต่อย่างใด
ฉะนั้นผู้อ่านจะเห็นคล้อยตามหรือไม่, ขอให้ใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลตัดสินครับ
(สรุปคือทำมาให้อ่านเล่น หากอ่านจบแล้วคุณยังไม่เห็นด้วยกับผลวิเคราะห์อยู่ดีก็ บ่เป็นอีหยังดอก)
ธุรกิจสตรีมมิ่ง ที่จริงมันเวิร์คแค่ไหน ?
เอาแค่เห็นเขาแข่งเปิดหลายเจ้า ทั้งที่การดูหนังในช่องทางผิดลิขสิทธิ์ยังคงอยู่ยั้งยืนยงนี่
ก็พออนุมานได้เลาๆ ว่าธุรกิจพวกพี่เค้ารุ่งโรจน์กันน่าดูแล้วมั้ง
แต่ใช้เรื่องแค่นั้นมาเป็นเหตุผล มันออกจะชุ่ยเกินไป
เลยขอยกตัวอย่างเจ้าเปิดใหม่ (แต่ขาใหญ่ของวงการหนัง) แบบดิสนีย์ ที่พอเปิดให้คนในโซนยุโรปสมัครสมาชิกเวอร์ชั่นเสียตังค์กับ Disney+ ได้ปุ๊บ
เวลาดังกล่าวตัวเลขคนสับตะไคร้ เอ๊ย! subscribe, ก็พุ่งถึงระดับ 50 ล้านปั๊บ
ซึ่งถ้าคูณค่าสมาชิก 6.99 ดอลลาร์ เพื่อคำนวณรายรับต่อเดือนคร่าวๆ ของช่องจะพบว่า = 349.5 ล้านเหรียญเลยทีเดียวฮะ (ประมาณ 1 หมื่นกว่าล้านบาท)
ยิ่งถ้าหันมองทาง Netflix ที่เป็นเจ้าครองตลาดเวลานี้นี่ ยิ่งเวิร์คกว่าชัวร์ๆ ถ้าดูจากประวัติสุดโชกโชน+ใจป๋า ราวกับอาเสี่ยของพวกเขา
- คอนเทนท์ใหม่ๆ ผุดรัวๆ เสมอต้นเสมอปลาย (แม้เห็นได้ชัดว่าโปรดัคชั่นบางเรื่องออกจะทุนต่ำ)
- เคยซื้อหนังโรง (The Clover Paradox) ไปลงช่องตัวเอง
- ช่วยออกทุนสร้างให้ภาพยนตร์ที่ดูทรงแล้วล่ารางวัลได้ชัดๆ แต่นายทุนหลายคนส่ายหน้า เพราะเวลานี้มิใช่กระแสหลัก (The Irishman)
- ปล่อยไมเคิล เบย์ผลาญงบ 150 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างบล็อคบัสเตอร์ของเน็ตฟลิกซ์เอง (6 Underground)
ทำไมต้องหนังใหญ่ ในเมื่อ 'ซีรีส์' เหมาะกับสตรีมมิ่งกว่า ?
เอาละ, ทำธุรกิจสตรีมมิ่งเวิร์คดีสินะ... แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าต้องผลิตหนังฟอร์มใหญ่มาลงโดยเฉพาะนี่
ต่อให้ธุรกิจพวกพี่เค้าดีเลิศเพียงไร, หากมองในมุมนึงคุณจะพบว่าซีรีส์เรื่องยาวน่ะ เหมาะสมกับช่องดูหนังออนไลน์มากกว่า
ไม่งั้น Amazon จะต้องการผลิต The Lord of the Rings ฉบับซีรีส์ แบบที่เล็งไว้ว่าจะสร้างหลายซีซั่น และวางงบล่วงหน้าระดับพันล้านดอลลาร์ทำไม
สำหรับช่องดูรายการออนไลน์เหล่านี้, คอนเทนท์ที่เปลืองเวลารับชมของผู้ติดตามสูงย่อมถูกจริต ด้วยเหตุผลหลายประการ เป็นต้นว่า
- การโหลดเถื่อนเพื่อดูแบบคมชัดระดับ HD ครบทั้งซีซั่น, มันยุ่งยากหรือเสียเวลา กว่าการหาโหลดภาพยนตร์สักเรื่องมากโข
- หากแบ่งฉายโดยคลอดมาสัปดาห์ละตอน, การจะติดตามดูจนครบจบซีซั่น ย่อมลากยาวเกิน 1 เดือน
และนั่นอาจทำให้บางคนเห็นว่าสมัครสมาชิกยาวๆ มันเลยเถอะ ไม่ต้องถอนเข้าถอนออก คอยเล็งเฉพาะตอนเรื่องที่ชอบมาให้เมื่อยตุ้ม
- ผู้ติดตามต้องใช้เวลาดูซีรีส์ซีซั่นนึงจนจบอย่างน้อยสุดคือ 4-5 ชั่วโมง แถมถ้ายังไม่จุใจ ก็ดูคอนเทนท์อื่นต่อได้แบบไม่อั้น
ฉะนั้นถ้าเทียบกับการซื้อตั๋วหนัง เพื่อความบันเทิงที่ปกตินานแค่ประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น
ผู้ติดตามย่อมรู้สึกถึงความคุ้มค่าของเม็ดเงินที่เสียไปได้ง่ายกว่า
ธุรกิจหนังโรงความเสี่ยงสูงเสมอ, ลงสตรีมมิ่งสิจ๊ะเธอ ปลอดภัยหายห่วง
ซีรีส์มีความเหมาะสมกับช่องดูออนไลน์หลายเหตุผล... แต่การเอาคอนเทนท์ภาพยนตร์โดนๆ ดังๆ มาลง มันดึงดูดความสนใจได้ดี
ถ้ามีของเจ๋งๆ ที่หาดูช่องอื่นมิได้ (ยกเว้นช่องทางโหลดเถื่อน) ย่อมมีโอกาสจูงใจคนที่ยังไม่เคยคิดสมัครสมาชิกแบบเสียตังค์ ให้เกิดอาการลังเลขึ้นมาอยู่
เราจึงเห็น The Clover Paradox เผยแพร่ทาง Netflix และผลงานทุ่มทุนสร้างชนิดตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอย่าง 6 Underground
ยิ่งกว่านั้นสำหรับสตรีมมิ่งนี่ คุณไม่มีต้องห่วงพะวงเรื่องคำวิจารณ์หรือรายได้บน box office หนักหนา
เพราะแค่เรียกคนมาลองของในช่องเยอะๆ ได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จประมาณนึงเรียบร้อย
เนื่องจากต่อให้ผู้ชมบางคนไม่ประทับใจกับไอ้บล็อคบัสเตอร์นั่นเล้ย!...
แต่ถ้าเขาดันไปลองรับชมคอนเทนท์อื่นเป็นของแถม แล้วโดนขึ้นมา
ทางช่องก็มีโอกาสได้ยอด subscribe เพิ่ม (= ได้เงินเพิ่ม) สมดังใจหมาย
กลับกันบางทีสตูดิโอผลิตภาพยนตร์ฉายโรง ลงทุนไปร่วม 200 ล้านกับแฟรนไชส์ชื่อดัง
เกิดนักวิจารณ์ด่าสาดเสียเทเสีย, แฟนคลับจำนวนมหาศาลแอนตี้ หรือผู้ชมทั่วไปไม่มีความสนใจใด ๆ
เนื่องจากผิดพลาดด้านทิศทางความคิดสร้างสรรค์, แผนประชาสัมพันธ์ หรือปัจจัยอื่นอีกต่างต่างนานา
อารมณ์ขาดทุนยับจะมาเยือนโดยพลัน
[บทวิเคราะห์] เมื่อหนังใหญ่จ่อลงช่องสตรีมมิ่ง >>หรือว่าสิ่งนี้คืออนาคตใหม่ของโลกภาพยนตร์ (by Filmaneo)