แบคทีเรียและไวรัสที่ถูกฝังอยู่ในยุคโบราณ

แบคทีเรียในหินโบราณร้อยล้านปี



ในตอนที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ทำการสำรวจก้อนหินโบราณอายุว่า 100 ล้านปี ที่ตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ท้องทะเลแปซิฟิกใต้ พวกเขาคงไม่คิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตแบบแบคทีเรียอาศัยอยู่ได้  และมีปริมาณที่มากกว่า 10,000 ล้านตัวต่อพื้นที่ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร

จากรายงานได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Communications Biology เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2020 ทีมนักวิจัยค้นพบอาณานิคมขนาดใหญ่ใต้ทะเลนี้ หลังจากที่พวกเขาทำการสำรวจตัวอย่างก้อนหิน 3 ก้อนที่ถูกเก็บมาจากชั้นหินลึกลงไป 122 เมตรใต้พื้นทะเล และมีอายุต่างๆ กันไปตั้งแต่ 13.5 ล้านปี 33.5 ล้านปี และ 104 ล้านปี
โดยก้อนหินที่พวกเขาพบนั้น ทั้งหมดล้วนแต่ถูกเก็บมาจากพื้นที่ที่ห่างใกลจากปล่องน้ำร้อนใต้สมุทรทั้งสิ้น   ดังนั้นแบคทีเรียที่พวกเขาพบ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะอาศัยอยู่ในหินโดยกินสารอินทรีย์ในดินเหนียว และแพร่พันธุ์มาเองเป็นเวลากว่าล้านปีแล้ว ไม่ใช่แค่ลอยมาติดในหินจากปล่องน้ำร้อนเท่านั้น

อ้างอิงจากศาสตราจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์โลกและดาวเคราะห์ของมหาวิทยาลัยโตเกียว  Yohey Suzuki  หัวหน้าทีมวิจัย พบว่ามีแบคทีเรียอยู่ในปริมาณมากพอๆ กับความหนาแน่นของแบคทีเรียในท้องและลำไส้ของมนุษย์  ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่น่าสนใจมากสำหรับสถานที่อย่างในหินใต้พื้นทะเลแบคทีเรียที่พบนี้ส่วนใหญ่ที่ไม่น่าจะมีอันตรายกับมนุษย์ แต่ยังถือว่าเป็นประโยชน์มากกว่า

 
เส้นสีเขียวที่เห็น คือบริเวณของหินที่มีแบคทีเรียอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก


การศึกษาสิ่งมีชีวิตที่สามารถอาศัยอยู่ในชั้นหินใต้ทะเล ที่มีสภาพแวดล้อมที่ลำบากแก่การใช้ชีวิตเช่นนี้ จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการศึกษาปัจจัยที่จะทำให้มีสิ่งมีชีวิตบนดวงดาวอื่นๆได้ด้วย 
ที่มา livescience, u-tokyo และ nature
Cr.https://www.catdumb.tv/10-billion-microbes-thriving-beneath-seafloor-378/ By เหมียวศรัทธา

แบคทีเรียที่อาจทำให้อาณาจักรโบราณล่มสลาย


การ์เดียนและเดลี่เมล์รายงานผลการศึกษาวิจัยถึงสาเหตุการทำลายล้างครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เผ่าพันธุ์มนุษย์ อย่างชาวชนเผ่าแอสเท็ค ที่คุมพื้นที่บริเวณเม็กซิโกถึงโคลัมเบียตั้งแต่ช่วงต้นคริตส์ศตวรรษที่ 14 จนสิ้นสุดในช่วงต้นคริสตส์ศตวรรษที่ 16 หลังสเปนเข้ามายึดครอง

นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันค้นพบว่าในช่วงปีค.ศ.1545-1550 หรือราวพ.ศ.2088-2093 (ตรงกับช่วงหลังกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 1) ชาวเเอสเท็คต้องเผชิญหน้ากับโรคระบาดชื่อ cocoliztli ใน 5 ปี คร่าชีวิตผู้คนไป 15 ล้านคนหรือร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมด และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อาณาจักรโบราณนี้ล่มสลาย ไม่ใช่เพียงเพราะสเปนเข้ามายึดครอง

จากการศึกษาชิ้นใหม่ของนักวิทยาศาสตร์พบว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้อาณาจักรนี้ล่มสลายมาจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่าซัลโมเนลลา Salmonella enterica มีส่งผลให้เกิดอาหารอาหารเป็นพิษ ขณะที่ชาวแอสเท็คไม่มีภูมิคุ้มกันกับเชื้อดังกล่าว หลักฐานที่ชี้ชัดถึงการเกิดขึ้นของแบคทีเรียชนิดนี้คือหลักฐานที่พบจากฟันของชาวแอสเท็คที่ค้นพบในเม็กซิโก  สมัยนั้นเชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วบริเวณที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศเม็กซิโก และกัวเตมาลา

น.ส.โอชิลด์ โวเกน์ นักวิจัยจากภาควิชาโบราณคดี สถาบันมักซ์ พลังก์ จากเยอรมนี ระบุว่าในบริบท หรือหน้าประวัติศาสตร์และโบราณคดี ของเมืองเตโปสโกลูบา ยูกุนดาอา ในเม็กซิโก มีหลักฐานที่บอกกับนักวิจัยว่ามีการแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรียอยู่ โดยมีการขุดซากโครงกระดูก 5 โครงจากสุสานสำหรับคนตายจากโรคระบาดขึ้นมาศึกษาและพบว่าทั้งหมดได้รับเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว
 



ทีมงานใช้วิธีระบุการเรียงตัวของดีเอ็นเอที่ได้จากฟันและค้นพบหลักฐานเป็นโมเลกุลของแบคทีเรีย ซึ่งวิธีนี้แตกต่างไปจากเดิมที่นักวิจัยมักจะมุ่งเป้าไปหาเชื้อโรคโดยเฉพาะ
ภาพ Daily Mail
Cr.https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_711626

แบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะจากดินโบราณ


ยาปฏิชีวนะทำให้เราสามารถต่อสู้กับโรคที่ไม่สามารถรักษาได้ แต่แบคทีเรียก็ได้ต่อสู้และพัฒนาไปสู่ Superbugs ซึ่งเป็นแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะได้เช่นกัน  ในแต่ละปีมีคนมากกว่าสองล้านคนในสหรัฐอเมริกา ติดเชื้อแบคทีเรียที่พัฒนาสู่การดื้อยา อย่างน้อย 23,000 คนเสียชีวิตจากการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะ  ขณะนี้ได้มีการประเมินแล้วว่า 2.4 ล้านคนในอเมริกาเหนือ ยุโรปและออสเตรเลีย อาจตายจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะภายในปี 2593 หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป

เนื่องจากเหตุผลนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทย์สวอนซี จึงได้ทำการวิจัยจนค้นพบเชื้อแบคทีเรียที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน จากตัวอย่างดิน “ Boho” จากพื้นที่ที่มีความเป็นด่างสูง ในพื้นที่โบสถ์ Sacred Heart ในเขตเมือง Toneel North, Boho, Fermanagh, สหราชอาณาจักร ซึ่งคำว่า “ Boho” มาจากคำภาษาไอริชโบราณซึ่งหมายถึงกระท่อมหรือบูธ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์โบราณที่ย้อนอดีตไปถึงยุคหิน ปลายยุคหินใหม่ ยุคสำริดยุคต้นเมื่อ 4000 ปีก่อน

ทีมวิจัยได้ทำการเก็บตัวอย่างดินนี้ไปประมาณ 25 กรัม ส่งไปยังห้องปฏิบัติการ เพื่อทำการวิเคราะห์ ซึ่งได้พบว่ามีสรรพคุณทางยา ที่มีประสิทธิภาพต่อต้านเชื้อก่อโรคที่ดื้อยาปฏิชีวนะได้ 4 ชนิดจาก 6 ชนิดแรกที่ WHO ระบุไว้คือ
- เชื้อเอรเทอโรคอคคัสที่ดื้อต่อยาแวนโคมัยซิน ซีเซียม
- การติดเชื้อสแตฟฟิโลคอกคัส ออเรียส ที่ดื้อยาเมธิซิลิน
- ปอดบวมที่เกิดจากเชื้อ เคลบเซลลา และ อซีเนโตแบคเตอร์ บอมมานิไอ
ทีมงานประกอบด้วยนักวิจัยจากเวลส์ บราซิล อิรักและไอร์แลนด์เหนือ  พวกเขาตั้งชื่อสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า Streptomyces sp. myrophorea งานวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร  Frontiers in Microbiology
ที่มา: thetelegraff
Cr.https://smartcowboy.blogspot.com/2019/01/blog-post_26.html / By KK Smart 

แบคทีเรียในชั้นดินเยือกแข็งโบราณ 


สืบเนื่องจากภาวะโลกร้อนซึ่งส่งผลให้น้ำแข็งทั่วโลกละลาย จึงทำให้เชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อโรคที่ถูกแช่แข็งไว้ในอดีตถูกค้นพบอย่างมากมาย แต่บางครั้งแบคทีเรียโบราณพวกนี้ก็ไม่ได้อันตรายเสมอไป

แบคทีเรียนี้มีชื่อว่า Bacillus F ถูกค้นพบมื่อปี 2009 ในรัฐซาฮา ที่อยู่ทางตอนเหนือของรัสเซีย หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองหาความอันตรายของเชื้อนี้ โดยการฉีดเข้าไปในหนูทดลอง ก็พบว่าหนูนั้นไม่ได้ป่วยแต่กลับมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้นมีอายุขัยที่นานขึ้นด้วย สร้างความประหลาดใจต่อทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบเป็นอย่างมาก

ต่อมาศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยมอสโก Anatoli Brouchkov  ซึ่งเป็นผู้ค้นพบแบคทีเรียนี้ในชั้นดินเยือกแข็งโบราณ ในมามอนโทวา โกรา หรือภูเขาแมมมอธ สาธารณรัฐชัคคาหรือยาคูเทีย  (แบคทีเรียตัวนี้ถูกพบอยู่ใน permafrost พื้นดินที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ติดต่อกันเป็นเวลานานในประเทศไซบีเรีย)  ได้ทดลองฉีดแบคทีเรียนี้เข้าไปในร่างกายของตัวเองได้เปิดเผยว่าเขารู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นและไม่เคยเป็นหวัดอีกเลยหลังจากนั้นมา
แบคทีเรียชนิดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายของมนุษย์แข็งแรง แต่ยังสามารถรักษาหนูตัวเมียที่แก่และไม่สามารถมีลูกให้กลับมามีลูกได้อีกด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ  Dr Viktor ChernyavskyในYakutsk ได้เปรียบเทียบแบคทีเรียชนิดนี้ว่าเป็นเหมือน "ยาครอบจักรวาล" 
Cr.http://www.liekr.com/post_136059.html
Cr.https://way-of-life-menmen.blogspot.com/2016/10/35.html

ไวรัสโบราณในธารน้ำแข็งในทิเบต


24 ม.ค.63  ทีมนักวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบเชื้อโรคชนิดใหม่ 28 ชนิด ที่ถูกฝังแช่แข็งอยู่ในธารน้ำแข็งทิเบตยุคโบราณ หลังธารน้ำแข็งละลายอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก หรือภาวะโลกร้อน
การค้นพบดังกล่าวทำให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ถึงกับตกตะลึง เกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตหากธารน้ำแข็งละลายหมด และด้วยความที่เชื้อไวรัสโบราณเหล่านี้ ฝังตัวอยู่ใต้ธารน้ำแข็งมานาน 15,000 ปี ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยร่วมสมัยไม่มีความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มที่ไวรัสเหล่านี้จะระบาดในมนุษย์
 
เนื่องจากไวรัสยุคโบราณเหล่านี้ ฝังตัวอยู่ในธารน้ำแข็งบนที่ราบสูงทิเบตทางตะวันตกเฉียงเหนือ มาเป็นเวลานาน 15,000 ปี จึงไม่มีข้อมูลความรู้ในปัจจุบันเกี่ยวกับเชื้อไวรัสเหล่านี้
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐและจีน เก็บรวบรวมตัวอย่างจากแกนกลางของธารน้ำแข็ง หลังจากเจาะธารน้ำแข็งลงไปลึกประมาณ 50 เมตร ในปี 2558 หลังจากผ่านไป 5 ปี นักวิจัยเหล่านี้ทำการศึกษาน้ำแข็งเป็นผลสำเร็จ และค้นพบว่าไวรัสโบราณในธารน้ำแข็ง มีถึง 28 กลุ่มที่วงการวิทยาศาสตร์ไม่เคยพบกันมาก่อน

โดยนักวิทยาศาสตร์ทำการวิเคราะห์ตัวอย่างโดยใช้เทคนิคไมโครไบโอโลยี เพื่อตรวจหาจุลินทรีย์ที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวอย่างที่เก็บมา
ผลของการศึกษา ดังกล่าวเผยแพร่ในเว็บไซต์ BioRxiv เว็บไซต์เผยแพร่งานวิจัยในสาขาชีววิทยาของนักวิจัยทั่วโลกก่อนได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่าง ๆ และบอกด้วยว่า การละลายของธารน้ำแข็งจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก อาจทำให้ไวรัสเหล่านี้หลุดออกมาสู่ภายนอก และระบาดในมนุษย์ได้ในศตวรรษที่ 21
ที่มา website: www.TNNThailand.com 
Cr.https://www.tnnthailand.com/content/27139

ไวรัสยักษ์โบราณอาจฟื้นคืนชีพ


เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแอกซ์-มาร์กเซย์ ในประเทศฝรั่งเศส ค้นพบว่า ไวรัสขนาดยักษ์ ที่ถูกฝังอยู่ในสภาพ ” เพอร์มาฟรอสต์ ” คือถูกแช่งแข็งมาตลอดระยะเวลา 30,000 ปีจากรัสเซีย สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้เมื่อหลุดพ้นจากสภาวะดังกล่าว ข้อมูลนี้ได้สร้างความกังวล ทั้งในแวดวงวิชาการด้านบรรพชีวินวิทยาและชีววิทยา เนื่องจากวิตกว่า จะมีผลกระทบต่อมนุษย์หรือไม่

ไวรัสยักษ์โบราณดังกล่าวได้มาจากการเจาะชั้นน้ำแข็งเพื่อเก็บรวบรวมตัวอย่างจากยุคโบราณ จากบริเวณ โคลิมา ในพื้นที่ด้านตะวันออกไกลของรัสเซีย เมื่อปี 2000 ด้วยวิธีการใช้หัวเจาะที่เป็นท่อกลวงเจาะลึกลงไปในชั้นน้ำแข็งบริเวณริมหน้าผา ก่อนดึงขึ้นมาเก็บเป็นตัวอย่างป้องกันไม่ให้มีการปนเปื้อนจาก ไวรัสและแบคทีเรีย ใหม่ๆ   โดยในน้ำแข็งตัวอย่างพบไวรัสที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่มากจนเรียกได้ว่าเป็น ไวรัสยักษ์ 

เชื่อว่า ไวรัสยักษ์โบราณเป็นวิวัฒนาการมาจากปรสิตเซลล์เดียวในยุคโบราณ และเมื่อตรวจสอบพันธุกรรมพบว่า มีเพียง 1 ใน 3 ของพันธุกรรมของมันเท่านั้นที่เหมือนกับพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เรารู้จักกัน และมีเพียง 11 เปอร์เซ็นต์ของพันธุกรรมเท่านั้นที่เหมือนกับไวรัสที่พบกันอยู่ในปัจจุบัน พวกเขาตั้งชื่อมันว่า " Pithovirus sibericum "  ไพโธไวรัส มีขนาดใหญ่ถึง 1.5 ไมโครเมตร เทียบได้กับแบคทีเรียขนาดเล็กที่เราพบกัน และสามารถสังเกตได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา

เมื่อนำไวรัสยักษ์โบราณคืนชีพเข้าไปใกล้กับอะมีบา (สัตว์เซลล์เดียวคล้ายเมือก) กลุ่มหนึ่งในห้องทดลอง อะมีบาบางส่วนแตกออกและตายไป โดยพบว่า ไพโธไวรัส  เมื่อคืนชีพขึ้นมาแล้วเป็นตัวการฆ่าอะมีบาพวกนั้น
ซึ่งจากการที่มันสามารถติดต่อ หรือทำอันตรายต่อสัตว์เซลล์เดียว ทำให้เกิดผลอนุมานในทางวิชาการได้ว่า ไวรัส หรือเชื้อโรคร้ายอื่นๆ ซึ่งถูกเก็บกักอยู่ในสภาพเป็นน้ำแข็งตลอดเวลา หรือ เพอร์มาฟรอสต์ นั้นก็สามารถคืนชีพได้เช่นเดียวกัน
Cr.https://partmanman.blogspot.com/2016/09/30000.html

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่