การปลดล๊อค covid 19

ผมได้ติดตามการระบาดของ Covid19ตั้งแต่ปลายกุมภาพันธ์2563 ในเรื่องที่มีความเห็นขัดแย้งกับการคาดการณ์ตัวเลขของผู้ป่วยที่จะมีการระบาดจำนวนสามแสนห้าหมื่นคนถ้าคุมไม่ได้หรือถ้าคุมได้จะลดลงเหลือ20,000 กว่าคนในวันที่ 15 เมษายน 2563 จากคำแถลงของกลุ่มแพทย์อดีตคณบดีและคณบดีของโรงเรียนแพทย์นำเสนอต่อนายก จึงทำให้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารโควิด ศบค.เกิดขึ้นรวมทั้งการปิดล็อคประเทศปิดห้างสรรพสินค้าห้างร้านต่างๆรวมทั้งเคอฟิวที่ตามมา
       ผมมีความเห็นแย้งในเรื่องของตัวเลขมาตลอดโดยคำนวณจากกลุ่มผู้ป่วยที่เข้าข่ายน่าสงสัยที่มีความเสี่ยง( pui )รายวัน และการตรวจในแต่ละวันในช่วงนั้นแค่วันละ 500 ราย มีการเตรียมเทส ใว้วันละ 4-5000 เทส แม้กรมควบคุมโรค จะพยายามเพิ่มเป็น 10000 เทส ต่อว้น ในเวลาต่อมา โอกาสที่จะเพิ่มขึ้นมากพอที่จะตรวจพบคนไข้รายใหม่สะสมถึง 20,000 คนในวันที่ 15เมษายน2563 เป็นไปได้น้อยมาก  เพราะถ้าดูจากปท. อื่น เช่นเยอรมัต้องตรวจสะสมถึง160000เทส ขึ้นไป..ถึงจะพบผู้ป่วยจำนวน 24000คน ซึ่งเมื่อถึงวันที่15เมษายน 2563 ตัวเลขแค่2700+ คนแค่นั้น
     

          เมื่อวันที่ 13เมษายน 2563 ผมคาดการณ์ไว้ว่า
          จากกราฟตรวจเลขผู้ป่วยรายใหม่ลดลงจนเหลือ 0 คนน่าจะประมาณวันที่ 18 เมษายน..ถ้ามีปัจจัยอื่นเช่นคนไทยเดินทางเข้าประเทศป่วยเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ล่าช้าออกไปแต่ผมว่าไม่เกินวันที่ 30 เมษายนนี้นะครับขอดูตัวเลขอีกสัก 1 อาทิตย์หลังจากมีคนไทยเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศสักระยะ 
        ประมาณ 1พค.ตัวเลขผป.น่าจะนิ่ง..เป็น0 สักระยะ..อาจมีเพิ่มขึ้นก็น่าจะแค่เลขตัวเดียว...รัฐจะผ่อนปรนให้มีการทำกิจกรรมมากขึ้น..โดยมีการเฝ้าระวังต่อเนื่อง..เศรษฐกิจคงจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3 เดือนถึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลง
          


          วันที่ 22เมษายน2563 มีการเปลี่ยนแปลงของความชันเส้นกราฟ เลยต้องคาดการณ์ใหม่ 
จากแนวโน้มของกราฟขณะนี้ตัวเลขจำนวนผู้ป่วยใหม่รายวันน่าจะมีโอกาสลงมาเป็นเลขตัวเดียวภายในวันที่24-25เมษายนนี้แล้วจะมีโอกาสเห็นจำนวน 0 คนก่อนสิ้นเดือนเมษายนตัวเลขจะนิ่งไปเรื่อยๆอยู่ระดับเลขตัวเดียวมีโอกาสที่จะผ่อนปรนมาตรการ lock down ของแต่ละจังหวัดได้แล้วนะครับหวังว่า ศบค.คงจะเห็นใจประชาชนว่างนะครับ
      การคำนวณอัตราการเพิ่มหรือลดของการติดเชื้อ การเปลี่ยนแปลงของสโลปมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานะครับไม่ใช่คงที่เสมอไปอาจจะต้องพิจารณาเป็นช่วงเวลาตามเทรนของมัน..แต่ที่ผ่านมาการใช้ตัวเลขอัตราการเพิ่มขึ้นของสโลปของกราฟที่เป็นค่าคงที่แบบexponentialมาคำนวณเลยทำให้เกิดการคาดการณ์ตัวเลขที่มากเกินไปมหาศาล..ต้องใช้ค่าdifferential ของความชันslope มาคิดคำนวณครับในแต่ละช่วงเวลาจะแม่นยำกว่า
    เข้าใจว่าความเห็นของแพทย์มีสองฝ่าย ที่ขัดแย้งกันนะครับ แต่ระยะเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าที่ผ่านมาฝ่ายที่มองในแง่ร้ายเกินไปคาดการณ์ผิดนะครับ
จากการคาดการณ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการระบาดไม่ได้รุนแรงตามที่บอกไว้  การที่ให้ระวังป้องกันไว้ก่อนก็ดีนะครับ แต่ควรทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ข้อมูลที่นำเสนอต้องไม่มีอคติทางความคิดชักนำให้เอนเอียงตามผู้ที่นำเสนอชี้นำ อย่าใช้ความกลัวมาชู่ให้ประชาชนร่วมมือ แต่ใช้ความจริงของเหตุผลที่ถูกต้องอธิบายให้เข้าใจ น่าจะดีกว่านะครับ ถ้าไม่มีปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า จะคุมเข้มกันอย่างไรก็ทำไปเถอะครับ แต่นี่ชาวบ้านเดือดร้อน ลำบากกันไปทั่ว  รัฐบาลแบกรับภาระช่วยเหลือต่อไปไม่ไหวหรอกครับ
       จำนวนคนไข้ใหม่สะสมอย่างเดียวอาจจะใช้พิจารณาในการผ่อนปรนการปลดล็อคไม่ได้หรอกครับ..คงต้องดูในกลุ่มผู้ป่วยใหม่ด้วยว่ามีผู้ป่วยอาการหนักต้องรับการรักษาในเตียงผู้ป่วยกี่ราย..อาการเล็กน้อยเพียงแค่กักตัวกี่ราย..พิจารณากับสัดส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ที่จะดูแลเพียงพอหรือไม่..ณ.ตอนนี้เตียงผู้ป่วยยังเหลือเยอะเลยนะครับที่ลองเช็คดูเกือบ 2700 เตียงที่เตรียมไว้..ผู้ป่วยอาการหนักที่รับการดูแลในโรงพยาบาลก็ยังรับไหวอยู่..ถ้าไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจที่กระทบถึงประชากรส่วนใหญ่ผมก็เห็นด้วยครับที่จะใช้ทฤษฎีนี้ตามนั้นเลยแต่ตอนนี้คนทั่วประเทศกำลังจะอดตายแล้วครับ..คงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลกระทบปัญหาสาธารณสุขกับคน..จำนวนคนอาจจะถึงแสนคน..กับผลกระทบปัญหาเศรษฐกิจกับคนจำนวนหลายสิบล้านคนนะครับ..ปท.จะเดินต่อไปไม่ไหว
   
     เรื่องการระบาดซ้ำไม่ได้เป็น2nd wave..อย่างที่กลัวกัน มันเป็นแค่ วัน2วัน..ก็ลดลงอย่างมาก..ไม่มีระยะเวลาขึ้นลงนานพอที่จะสร้างwaveได้  ลองดูตัวอย่างไต้หวันกับจีนที่เริ่มผ่อนปรนมาตรการนะครับก็ยังมีบางวันที่มีการเพิ่มสูงของคนไข้ไหมขึ้นมาเยอะเหมือนกันแล้วก็ลดลงไปครับไม่ใช่สูงต่อเนื่องกันไปตลอดวันนี้ไม่น่าตกใจหรอกครับว่าจะเป็น2nd wave แต่ถ้าทาง  ศบค.กลัวมากถึงขั้นจะให้มีคนไข้ศูนย์คนติดต่อกัน 14 วันเป็นไปไม่ได้หรอกครับรอดูครับว่าจะโดนชาวบ้านบ่นกันแค่ไหน..ถ้าทำอย่างนั้น ดูจากต่างประเทศแล้วมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรผมว่าน่าจะผ่อนผันได้นะครับ ลองรอดู
บุรีรัมย์ โมเดลที่เขาจะเปิดเมือง1พค.นำร่องก่อนก็ได้ครับ..
     เข้าใจนะครับที่ทุกคนก็เป็นห่วงตัวเอง ญาติพี่น้องที่อาจจะติดเชื้อcovid19 โชคร้ายอาจถึงตายได้ แต่โอกาสน้อยครับถ้าดูแลสุขอนามัยเป็นอย่างดี ใส่mask รักษาระยะห่างทางสังคม กินร้อนช้อนกรู แต่อยากให้นึกถึงเพื่อนร่วมชาติคนอื่นที่เดือดร้อนมาก บางรายคิดสั้นถึงกับฆ่าตัวตาย มีจำนวนมากที่ลำบากเขารอโอกาสที่จะกลับมาทำมาหากินได้ ช่วยตัวเองได้อีกครั้ง ไม่ได้หวังพึ่งคนอื่นตลอดไป เราต้องมีสติที่จะอยู่ร่วมกับคนในชาติคนอื่นแบ่งปันทุกข์สุขกันไป ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคระบาดใหม่ในครั้งนี้ เหมือนกับที่เราอยู่กับโรคระบาดอื่นๆมาก่อนหน้านี้ เช่นไข้หวัดใหญ่ โรคหัดฯลฯ การระบาดที่ควบคุมได้ไม่ใช่ต้องกำหนดตัวเลขคนใข้ใหม่เป็น0 แต่เพียงให้จำนวนคนไข้ไม่เพิ่มขึ้นรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น จนบริการสาธารณสุขรองรับไม่ไหว กดกราฟผู้ป่วยให้ต่ำลงไป ผ่อนปรนให้คนมีอาชีพดำเนินชีวิตเขาต่อไปได้อย่างมีศักดิ์ศรี 
       "รักษาคนไม่ใช่รักษาโรค" เป็นคำที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี เคยกล่าวใว้ในอดีต รักษาคนไข้ให้หายจากโรคและสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ตามปกติ ไม่ใช่ว่าหายจากโรคอย่างเดียว ต้องคำนึงถึง สภาพครอบครัว อาชึพ ที่มีผลกระทบจากการรักษาคนไข้ด้วย...
        ผมหวังอย่างยิ่งว่า รํฐบาลจะ  "รักษาประเทศไทย ไม่ใช่รักษาแต่โรค  covid ของประเทศ" เพียงอย่างเดียวนะครับ

ปล. ด้วยความเคารพกรุณาใช้วิจารณญานให้การอ่านด้วยครับ ข้อมูลมีแหล่งอ้างอิง ความเห็นมาจากความบริสุทธิ์ใจไม่มีการเมืองหรือสิ่งอื่นใดเคลือบแฝง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่