●● เราจะไปต่อทางไหนดี?...ไม่ต้องตายด้วยโควิด-19 ปกป้องชีวิต...
Lock down กันยาวๆ หรือ จะอดตายเพราะเศรษฐกิจวอดวาย ●●
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
และ Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อนุกรรมาธิการติดตามการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข วุฒิสภา
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
( คัดลอกมาบางส่วน...)
"...สิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจทำ ตามคำแนะนำของอาจารย์โรงเรียนแพทย์อาวุโสหลายท่าน ทำให้สถานการณ์การระบาด
ของโควิด-19 อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และไม่มีคนต้องตายมากมาย เช่นดัง ประเทศที่พัฒนาแล้วจำนวนมากแต่
ไม่สามารถควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 เช่น สหรัฐอเมริกา อิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส
สหราชอาณาจักร และสเปน นับว่าเป็นผลงานที่ต้องให้เครดิตรัฐบาลที่ฟังความเห็นของอาจารย์โรงเรียนแพทย์
อาวุโส และต้องยกย่องมากที่สุดคือมดงานที่อยู่หน้างานคือบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกภาคส่วน
ที่เสียสละ เสี่ยงชีวิตทำงานหนัก
ในอีกด้านก็เกิดเสียงท้วงติงว่า จะตายกันอยู่แล้ว ไม่ตายเพราะโควิด แต่จะอดตายกันหมดแล้ว รัฐบาลก็ถูกกดดัน
ให้เปิดเมืองหรือผ่อนคลายมาตรการในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 คนที่มีแต่อคติและขาดวิจารณญาณ
บางคนถึงกับบอกว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินคือรัฐประหารโควิด นี่ก็คงมีรัฐประหารไปทั่วโลก ไปเสียแล้ว
เพราะต่างก็ประกาศเช่นกัน..."
"...ผลการศึกษาวิจัยหลายชิ้น โดยใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์ของระบาดวิทยา ได้พบสิ่งที่น่าสนใจหลายประการ...
การศึกษาจากข้อมูลในประเทศจีน โดย Kathy Leung, Joseph T Wu, Di Liu, Gabriel M Leung
พบว่า การผ่อนคลายมาตรการควบคุมทำให้อัตราการแพร่เชื้อพื้นฐาน (Basic reproductive number) มีค่ามากกว่าหนึ่ง แม้เมื่อความรุนแรงของการระบาดยังไม่มากนักก็ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นอย่าง exponential ตาม
การผ่อนคลายมาตรการควบคุม
ยิ่งผ่อนคลายมากเท่าใด ยิ่งทำให้การระบาดพุ่งเร็วมากเท่านั้น แม้ว่ามาตรการควบคุมที่เข้มงวดสุดๆ ในภายหลัง
จะสามารถผลักดันให้ความชุกของโรคโควิด-19 กลับมาที่ฐานเดิมได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายและใช้เวลามาก
และอาจจะนำไปสู่การสูญเสียชีวิตได้เช่นกัน..."
"...อีกผลการศึกษา...เพื่อศึกษาผลของการปิดโรงเรียน ปิดสถานที่ทำงาน ปิดชุมชน ในอู่ฮั่น จนถึงเดือนเมษายน
มาตรการเหล่านี้จะช่วยชะลอจุดสูงสุดของการระบาดออกไป และช่วยให้จำนวนผู้ป่วยไม่มากเกินไปกว่าที่
ระบบสาธารณสุขและโรงพยาบาลจะรองรับได้...
...ซึ่งบทความนี้ได้มีการนำไปสู่การควบคุมโรคและการปิดเมืองอู่ฮั่นยาวนานถึงเดือนเมษายน และทำให้เปิดเมืองเมื่อมีความพร้อมอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นจะเกิดการระบาดใหม่อีกและจะหนักมาก..."
"...ผลการศึกษาจากอินเดีย โดยการสร้างตัวแบบการระบาด โดยพิจารณาถึงโครงสร้างอายุประชากร การติดต่อ
ทางสังคม (Social contact) ของกลุ่มอายุประชากรที่แตกต่างกันในสถานที่ที่แตกต่างกัน เช่น ที่บ้าน ที่ทำงาน
และที่โรงเรียน โดย Singh R., Adhikari R.
...มีผลการศึกษาที่นำเสนอความคิดที่น่าสนใจมากคือ การปิดเมือง เปิดเมือง หรือการผ่อนคลายมาตรการการเว้น
ระยะทางสังคมสลับกับการเข้มงวดในมาตรการการเว้นระยะทางสังคม เป็นพัก ๆ และอีกหลายสถานการณ์...
สถานการณ์ (a) ...
lock down ไม่ยาวพอเพียง 21 วัน ครั้งเดียว
ทำให้เกิดการระบาดใหญ่รอบสอง (Second outbreak)
และรอบสองนี้จะพุ่งแบบ exponential function ฉุดไม่อยู่
(โปรดสังเกตว่าแกนนอนคือวัน และแกนตั้งคือจำนวนผู้ติดเชื้อ)
สถานการณ์ (b)...
เปิดสลับปิดเมือง สองครั้ง แต่ก็ยังระบาดใหญ่
ในสถานการณ์เช่นนี้ คือ หลังจาก lock down ไป 21 วัน ก็ผ่อนคลายไป 5 วัน
แล้วกราฟจำนวนผู้ติดเชื้อ ก็พุ่งพรวดจึงรีบปิดเมืองอีกรอบ ไปอีก 28 วัน
แล้วก็หมดความอดทน ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ เป็นรอบที่สาม
ซึ่งการระบาดใหญ่รอบที่สามนี้จะเป็น exponential อีกเช่นกัน ทำให้ควบคุมไม่อยู่และเกิดการเสียชีวิตมากมาย
สถานการณ์ (c) ...
ปิดเมือง 21 วัน เปิด 5 วันปิดเมือง 28 วัน ปิดเมือง 18 วัน
สถานการณ์นี้จะต้องปิดเมืองเปิดเมืองสลับกันไป
ทำให้เกิดการผ่อนคลายทางเศรษฐกิจ ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และลดความเครียดของประชาชนด้วย
แต่อาจจะไม่จบจริง แต่ก็ชะลอความตายออกไปได้ และไม่ทำให้เศรษฐกิจฝืดเคืองจนเกินไป เรียกว่ามีช่องให้
หายใจได้บ้างสำหรับประชาชน
สถานการณ์ (d)...
เป็นการปิดเมืองยาวๆ แบบวิ่งมาราธอน
ตัวแบบพยากรณ์ว่าแบบนี้ต้องอดทน ประชาชนต้องอดทนมาก แต่น่าจะเจ็บแต่จบ
คือถ้าปิดเมืองยาวพอ ก็จะทำให้การระบาดมีแนวโน้มจะหยุดได้
ต้องปิดเมืองยาวนานประมาณ 50 วันเป็นอย่างน้อย..."
"...คำถามคือ pattern แบบนี้ของไทยจะเป็นอย่างไร
น่าจะต้องมีการทำ simulation ออกมาให้รัฐบาลพิจารณาเช่นกัน ว่า
ควรใช้มาตรการในสถานการณ์ (c) ซึ่งเปิดเมือง ปิดเมือง สลับกัน หลายครั้ง ให้เศรษฐกิจได้หายใจ (แค่ช่วงละห้าวัน)
กับมาตรการในสถานการณ์ (d) ที่ปิดเมืองมาราธอนกันยาว ๆ เจ็บแต่จบ น่าจะพอไหวหรือไม่ แต่จะมีคนต้องตาย
เพราะพิษเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงตกต่ำทั้งโลกหรือไม่ และรัฐบาลจะเยียวยาห้าพันบาทไหวหรือไม่ อย่างไร?..."
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
"...พลอากาศตรี นายแพทย์ อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา ได้ฝากข้อคิดมาว่า...
COVID-19กลุ่มต่าง ๆ กับการเปิดเมือง" เพราะทุกวันนี้ยังแบ่งเป็น5กลุ่มได้แก่
1.ไม่มีเชื้อ -อาจรับเชื้อได้ทุกเมื่อ
2.รับเชื้อไร้อาการ -แพร่เชื้อให้กลุ่มแรก
3.รับเชื้อมีอาการน้อย ไม่พบแพทย์-แพร่เชื้อให้กลุ่มแรก
4.รับเชื้อมีอาการมาก พบแพทย์ ตรวจ -ถูกกักตรวจlab ส่วนหนึ่งเจอ บางส่วนต้องตรวจซ้ำๆจึงเจอ
กลุ่มที่ถูกกัก 14 วันจะไม่แพร่เชื้อ กลุ่มที่ตรวจไม่เจอครั้งแรกปล่อยกลับบ้าน จะมีโอกาสแพร่เชื้อ
5.อาการหนัก อยู่ใน รพ.-ได้รับการดูแลและควบคุม – โอกาสแพร่เชื้อน้อย
จะเห็นว่าปัญหาคือกลุ่ม 2 และกลุ่ม 3
ถ้ายังไม่สามารถ ตรวจและนำตัวมาแยกได้ จะแพร่ให้กับกลุ่มหนึ่ง ในชุมชน ได้ตลอดเวลา โดยไม่ สามารถมีรายงานตัวเลขรายวัน แต่มีอยู่จริง รอวัน ผู้ได้รับเชื้อ อาการมากขึ้นเป็นกลุ่ม 4 และกลุ่ม 5 ถึงจะเห็นเหนือภูเขาน้ำแข็ง
ซึ่งคนสูงอายุและคนมีโรคประจำตัว จะอาการหนักกว่าคนสุขภาพแข็งแรง อยู่ในกลุ่มนี้และจะเสียชีวิตได้มากกว่า
การเตรียมเปิดเมืองจะทำได้ต่อเมื่อ มั่นใจว่าไม่มี กลุ่ม 2 แล้ว หรือมีน้อยจนไม่สามารถแพร่ให้เกิดการระบาดซ้ำได้
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เปิดเมืองได้คือ ความเข้มแข็งของประชาชน ในการป้องกันมิให้โรคลุกลาม ด้วยวินัย
และศรัทธา กับความพร้อมของตัวพวกเขาในการที่ จะปรับพฤติกรรมไม่ทำให้เกิดระบาดใหม่ ไม่ใช่ความพร้อมของ
รัฐบาล เพียงอย่างเดียว มิใช่ความสามารถของแพทย์และพยาบาลในการรักษา นั่นเป็นปลายเหตุ แล้วครับ
ความท้าทายคือรัฐจะต้องดูแลทุกกลุ่ม ที่ได้รับผลกระทบ ให้มีชีวิตอยู่รอดได้ ด้วยความเหมาะสมพอเพียง
หากเปิดเมืองยิ่งช้าเท่าไหร่พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นเท่านั้น ปัจจัย 4 ต้องถึงมือ มีที่อยู่มีอาหารทาน มีรายได้
ที่เหมาะสม
เมื่อเปิดเมืองแล้วหลายอย่างจะเปลี่ยนไป พฤติกรรมคนจะเข้าสู่โลกใหม่ มาตรฐานใหม่ หรือ New Normal ที่ติดต่อ
กันน้อยลง ประชาชนระดับล่างในหลายอาชีพ อาจจะหายไป หรือลดจำนวนลง อาชีพใหม่จะเกิดขึ้น
การพยากรณ์เหล่านี้ ควรต้องสื่อสารให้กับประชาชนทราบ เพื่อเตรียมรับมือ กับความเปลี่ยนแปลง
สุดท้ายต้องบอกว่า โรคนี้ไม่ใช่โรคของหมอ แต่เป็นโรคของพฤติกรรมการติดต่อของประชาชน
การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ภาคประชาสังคม ต้องเดินคู่ไปกับการแพทย์
ถ้าใช้การแพทย์นำ สังคมอาจอยู่ลำบาก เราอาจต้องการความปลอดภัย ป่วยน้อยตายน้อย แต่ประชาชนต้องอยู่ได้
และชนะไปด้วยกัน ไม่ใช่โรคหาย แต่ประชาชน อยู่ไม่รอด ความสมดุลเป็นเรื่องสำคัญที่สุด..."
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
"...อย่างไรก็ตามการผ่อนคลายหมายถึงปากท้องประชาชนซึ่งต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก
แต่การเข้มงวดปิดเมืองก็หมายถึงชีวิตประชาชนอีกเช่นกัน
รัฐบาลคงต้องเลือกและตัดสินใจ และพยายามกระจายอำนาจให้การปฏิบัติเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่สำหรับ
การผ่อนคลายและการเปิดเมือง
แต่เมืองที่ยังมีปัญหาหนัก เช่น กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ ยะลา ก็ยังคงต้องเข้มงวดกันต่อไป
อีกยาวนาน จะมาปิดๆ เปิด จะเกิดการระบาดใหญ่รอบสอง (Second outbreak) อันหมายถึงชีวิตของประชาชน
เช่นกัน..."
Cr. :
https://mgronline.com/daily/detail/9630000041833
●● เราจะไปต่อทางไหนดี?...ไม่ต้องตายด้วยโควิด-19 ปกป้องชีวิต.. Lock down กันยาวๆ หรือ จะอดตายเพราะเศรษฐกิจวอดวาย ●●
Lock down กันยาวๆ หรือ จะอดตายเพราะเศรษฐกิจวอดวาย ●●
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
และ Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อนุกรรมาธิการติดตามการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข วุฒิสภา
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
( คัดลอกมาบางส่วน...)
"...สิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจทำ ตามคำแนะนำของอาจารย์โรงเรียนแพทย์อาวุโสหลายท่าน ทำให้สถานการณ์การระบาด
ของโควิด-19 อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และไม่มีคนต้องตายมากมาย เช่นดัง ประเทศที่พัฒนาแล้วจำนวนมากแต่
ไม่สามารถควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 เช่น สหรัฐอเมริกา อิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส
สหราชอาณาจักร และสเปน นับว่าเป็นผลงานที่ต้องให้เครดิตรัฐบาลที่ฟังความเห็นของอาจารย์โรงเรียนแพทย์
อาวุโส และต้องยกย่องมากที่สุดคือมดงานที่อยู่หน้างานคือบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกภาคส่วน
ที่เสียสละ เสี่ยงชีวิตทำงานหนัก
ในอีกด้านก็เกิดเสียงท้วงติงว่า จะตายกันอยู่แล้ว ไม่ตายเพราะโควิด แต่จะอดตายกันหมดแล้ว รัฐบาลก็ถูกกดดัน
ให้เปิดเมืองหรือผ่อนคลายมาตรการในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 คนที่มีแต่อคติและขาดวิจารณญาณ
บางคนถึงกับบอกว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินคือรัฐประหารโควิด นี่ก็คงมีรัฐประหารไปทั่วโลก ไปเสียแล้ว
เพราะต่างก็ประกาศเช่นกัน..."
"...ผลการศึกษาวิจัยหลายชิ้น โดยใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์ของระบาดวิทยา ได้พบสิ่งที่น่าสนใจหลายประการ...
การศึกษาจากข้อมูลในประเทศจีน โดย Kathy Leung, Joseph T Wu, Di Liu, Gabriel M Leung
พบว่า การผ่อนคลายมาตรการควบคุมทำให้อัตราการแพร่เชื้อพื้นฐาน (Basic reproductive number) มีค่ามากกว่าหนึ่ง แม้เมื่อความรุนแรงของการระบาดยังไม่มากนักก็ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นอย่าง exponential ตาม
การผ่อนคลายมาตรการควบคุม
ยิ่งผ่อนคลายมากเท่าใด ยิ่งทำให้การระบาดพุ่งเร็วมากเท่านั้น แม้ว่ามาตรการควบคุมที่เข้มงวดสุดๆ ในภายหลัง
จะสามารถผลักดันให้ความชุกของโรคโควิด-19 กลับมาที่ฐานเดิมได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายและใช้เวลามาก
และอาจจะนำไปสู่การสูญเสียชีวิตได้เช่นกัน..."
"...อีกผลการศึกษา...เพื่อศึกษาผลของการปิดโรงเรียน ปิดสถานที่ทำงาน ปิดชุมชน ในอู่ฮั่น จนถึงเดือนเมษายน
มาตรการเหล่านี้จะช่วยชะลอจุดสูงสุดของการระบาดออกไป และช่วยให้จำนวนผู้ป่วยไม่มากเกินไปกว่าที่
ระบบสาธารณสุขและโรงพยาบาลจะรองรับได้...
...ซึ่งบทความนี้ได้มีการนำไปสู่การควบคุมโรคและการปิดเมืองอู่ฮั่นยาวนานถึงเดือนเมษายน และทำให้เปิดเมืองเมื่อมีความพร้อมอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นจะเกิดการระบาดใหม่อีกและจะหนักมาก..."
"...ผลการศึกษาจากอินเดีย โดยการสร้างตัวแบบการระบาด โดยพิจารณาถึงโครงสร้างอายุประชากร การติดต่อ
ทางสังคม (Social contact) ของกลุ่มอายุประชากรที่แตกต่างกันในสถานที่ที่แตกต่างกัน เช่น ที่บ้าน ที่ทำงาน
และที่โรงเรียน โดย Singh R., Adhikari R.
...มีผลการศึกษาที่นำเสนอความคิดที่น่าสนใจมากคือ การปิดเมือง เปิดเมือง หรือการผ่อนคลายมาตรการการเว้น
ระยะทางสังคมสลับกับการเข้มงวดในมาตรการการเว้นระยะทางสังคม เป็นพัก ๆ และอีกหลายสถานการณ์...
สถานการณ์ (a) ...
lock down ไม่ยาวพอเพียง 21 วัน ครั้งเดียว
ทำให้เกิดการระบาดใหญ่รอบสอง (Second outbreak)
และรอบสองนี้จะพุ่งแบบ exponential function ฉุดไม่อยู่
(โปรดสังเกตว่าแกนนอนคือวัน และแกนตั้งคือจำนวนผู้ติดเชื้อ)
สถานการณ์ (b)...
เปิดสลับปิดเมือง สองครั้ง แต่ก็ยังระบาดใหญ่
ในสถานการณ์เช่นนี้ คือ หลังจาก lock down ไป 21 วัน ก็ผ่อนคลายไป 5 วัน
แล้วกราฟจำนวนผู้ติดเชื้อ ก็พุ่งพรวดจึงรีบปิดเมืองอีกรอบ ไปอีก 28 วัน
แล้วก็หมดความอดทน ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ เป็นรอบที่สาม
ซึ่งการระบาดใหญ่รอบที่สามนี้จะเป็น exponential อีกเช่นกัน ทำให้ควบคุมไม่อยู่และเกิดการเสียชีวิตมากมาย
สถานการณ์ (c) ...
ปิดเมือง 21 วัน เปิด 5 วันปิดเมือง 28 วัน ปิดเมือง 18 วัน
สถานการณ์นี้จะต้องปิดเมืองเปิดเมืองสลับกันไป
ทำให้เกิดการผ่อนคลายทางเศรษฐกิจ ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และลดความเครียดของประชาชนด้วย
แต่อาจจะไม่จบจริง แต่ก็ชะลอความตายออกไปได้ และไม่ทำให้เศรษฐกิจฝืดเคืองจนเกินไป เรียกว่ามีช่องให้
หายใจได้บ้างสำหรับประชาชน
สถานการณ์ (d)...
เป็นการปิดเมืองยาวๆ แบบวิ่งมาราธอน
ตัวแบบพยากรณ์ว่าแบบนี้ต้องอดทน ประชาชนต้องอดทนมาก แต่น่าจะเจ็บแต่จบ
คือถ้าปิดเมืองยาวพอ ก็จะทำให้การระบาดมีแนวโน้มจะหยุดได้
ต้องปิดเมืองยาวนานประมาณ 50 วันเป็นอย่างน้อย..."
"...คำถามคือ pattern แบบนี้ของไทยจะเป็นอย่างไร
น่าจะต้องมีการทำ simulation ออกมาให้รัฐบาลพิจารณาเช่นกัน ว่า
ควรใช้มาตรการในสถานการณ์ (c) ซึ่งเปิดเมือง ปิดเมือง สลับกัน หลายครั้ง ให้เศรษฐกิจได้หายใจ (แค่ช่วงละห้าวัน)
กับมาตรการในสถานการณ์ (d) ที่ปิดเมืองมาราธอนกันยาว ๆ เจ็บแต่จบ น่าจะพอไหวหรือไม่ แต่จะมีคนต้องตาย
เพราะพิษเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงตกต่ำทั้งโลกหรือไม่ และรัฐบาลจะเยียวยาห้าพันบาทไหวหรือไม่ อย่างไร?..."
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
"...พลอากาศตรี นายแพทย์ อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา ได้ฝากข้อคิดมาว่า...
COVID-19กลุ่มต่าง ๆ กับการเปิดเมือง" เพราะทุกวันนี้ยังแบ่งเป็น5กลุ่มได้แก่
1.ไม่มีเชื้อ -อาจรับเชื้อได้ทุกเมื่อ
2.รับเชื้อไร้อาการ -แพร่เชื้อให้กลุ่มแรก
3.รับเชื้อมีอาการน้อย ไม่พบแพทย์-แพร่เชื้อให้กลุ่มแรก
4.รับเชื้อมีอาการมาก พบแพทย์ ตรวจ -ถูกกักตรวจlab ส่วนหนึ่งเจอ บางส่วนต้องตรวจซ้ำๆจึงเจอ
กลุ่มที่ถูกกัก 14 วันจะไม่แพร่เชื้อ กลุ่มที่ตรวจไม่เจอครั้งแรกปล่อยกลับบ้าน จะมีโอกาสแพร่เชื้อ
5.อาการหนัก อยู่ใน รพ.-ได้รับการดูแลและควบคุม – โอกาสแพร่เชื้อน้อย
จะเห็นว่าปัญหาคือกลุ่ม 2 และกลุ่ม 3
ถ้ายังไม่สามารถ ตรวจและนำตัวมาแยกได้ จะแพร่ให้กับกลุ่มหนึ่ง ในชุมชน ได้ตลอดเวลา โดยไม่ สามารถมีรายงานตัวเลขรายวัน แต่มีอยู่จริง รอวัน ผู้ได้รับเชื้อ อาการมากขึ้นเป็นกลุ่ม 4 และกลุ่ม 5 ถึงจะเห็นเหนือภูเขาน้ำแข็ง
ซึ่งคนสูงอายุและคนมีโรคประจำตัว จะอาการหนักกว่าคนสุขภาพแข็งแรง อยู่ในกลุ่มนี้และจะเสียชีวิตได้มากกว่า
การเตรียมเปิดเมืองจะทำได้ต่อเมื่อ มั่นใจว่าไม่มี กลุ่ม 2 แล้ว หรือมีน้อยจนไม่สามารถแพร่ให้เกิดการระบาดซ้ำได้
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เปิดเมืองได้คือ ความเข้มแข็งของประชาชน ในการป้องกันมิให้โรคลุกลาม ด้วยวินัย
และศรัทธา กับความพร้อมของตัวพวกเขาในการที่ จะปรับพฤติกรรมไม่ทำให้เกิดระบาดใหม่ ไม่ใช่ความพร้อมของ
รัฐบาล เพียงอย่างเดียว มิใช่ความสามารถของแพทย์และพยาบาลในการรักษา นั่นเป็นปลายเหตุ แล้วครับ
ความท้าทายคือรัฐจะต้องดูแลทุกกลุ่ม ที่ได้รับผลกระทบ ให้มีชีวิตอยู่รอดได้ ด้วยความเหมาะสมพอเพียง
หากเปิดเมืองยิ่งช้าเท่าไหร่พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นเท่านั้น ปัจจัย 4 ต้องถึงมือ มีที่อยู่มีอาหารทาน มีรายได้
ที่เหมาะสม
เมื่อเปิดเมืองแล้วหลายอย่างจะเปลี่ยนไป พฤติกรรมคนจะเข้าสู่โลกใหม่ มาตรฐานใหม่ หรือ New Normal ที่ติดต่อ
กันน้อยลง ประชาชนระดับล่างในหลายอาชีพ อาจจะหายไป หรือลดจำนวนลง อาชีพใหม่จะเกิดขึ้น
การพยากรณ์เหล่านี้ ควรต้องสื่อสารให้กับประชาชนทราบ เพื่อเตรียมรับมือ กับความเปลี่ยนแปลง
สุดท้ายต้องบอกว่า โรคนี้ไม่ใช่โรคของหมอ แต่เป็นโรคของพฤติกรรมการติดต่อของประชาชน
การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ภาคประชาสังคม ต้องเดินคู่ไปกับการแพทย์
ถ้าใช้การแพทย์นำ สังคมอาจอยู่ลำบาก เราอาจต้องการความปลอดภัย ป่วยน้อยตายน้อย แต่ประชาชนต้องอยู่ได้
และชนะไปด้วยกัน ไม่ใช่โรคหาย แต่ประชาชน อยู่ไม่รอด ความสมดุลเป็นเรื่องสำคัญที่สุด..."
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
"...อย่างไรก็ตามการผ่อนคลายหมายถึงปากท้องประชาชนซึ่งต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก
แต่การเข้มงวดปิดเมืองก็หมายถึงชีวิตประชาชนอีกเช่นกัน
รัฐบาลคงต้องเลือกและตัดสินใจ และพยายามกระจายอำนาจให้การปฏิบัติเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่สำหรับ
การผ่อนคลายและการเปิดเมือง
แต่เมืองที่ยังมีปัญหาหนัก เช่น กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ ยะลา ก็ยังคงต้องเข้มงวดกันต่อไป
อีกยาวนาน จะมาปิดๆ เปิด จะเกิดการระบาดใหญ่รอบสอง (Second outbreak) อันหมายถึงชีวิตของประชาชน
เช่นกัน..."
Cr. : https://mgronline.com/daily/detail/9630000041833