ออกตัวไว้ก่อนครับถ้ามีตัวหนังสือสะกดผิดขออภัย นั้งทำใจจะพิมพิ์เรื่องนี้มาตั้งแต่ ธันวาคมปีที่แล้วแต่วันนี้ว่างและคิดว่าขอพิมพิ์ไว้เพื่อเป็นประโยชน์ให้คนอื่นไม่มากก็น้อย
-เนื่องจากวันที่ 13 เมษายน เป็นวันเกิดพ่อผมผมก็หวังกว่าการแชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้จะทำให้หลายๆครอบครัวที่กำลังเจอปัญญาแบบนี้มีแนวทางรักษา(จริงๆมันคือการยืดระยะให้คนป่วยจะมีชีวิตยังไง มีความสุขในชีวิตในช่วงท้ายชีวิตไหม) ถ้ากระทู้นี้มีประโยชน์กับคนอื่นขอให้พ่อผมได้รับผลบุญนี้ไปด้วยครับ
-- เข้าเรื่องเลยประมาณเมื่อสัก30 ปีที่แล้วพ่อผมทำงานกิจการขายส่ง ขายพวกข้าวสาร(ที่เป็นกระสอบ)ต้องส่งให้ลูกค้าผมจำได้ตอนผมอายุ12 ได้มีโอกาสไปหาหมอเกี่ยวกับสันหลังซึ่งสมัยนั้นเทคโนโลยีทางการแพทย์ไม่ได้ดีเท่านี้ ตอนนั้นคุณหมอก็วินิฉัยว่าเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นต้องผ่าแต่อัตราเสี่ยงเยอะมากตอนนั้นผมยังเล็กพี่สาวยังเล็กพ่อผมเลยไม่ผ่า กินยามาเรื่อยหลังจากนั้น5ปีก็เดินไม่ได้แต่เวลาเข้าห้องน้ำก็เดินเกาะราวเข้าได้แต่จะอ่อนแรง ผลจากการเดินไม่ได้ก็เครียดมีโรคความดัน เก๊าส์ และหัวใจโต
จนมาเมื่อ 4ปีที่แล้วพ่อผมเกิดอาการปัสวะไม่ออกซึ่งทางคุณหมอวิเคราะห์ว่าต๋อมลูกหมากโตซึ่งมีอัตราเกิดได้ในผู้สูงอายุชายที่เกิน 60 ปี แต่ด้วยการที่พ่อผมไม่สามารถเดินได้ทางคุณหมอจึงแจ้งว่าถ้าผ่าตัดจะมีปัญหาเพราะโรคเยอะและเคลื่อนตัวไม่ได้จึงแนะนำให้ใส่สายสวนปัสวะคาไว้ เวลาก็ผ่านไปเป็นเวลา 2ปี 6 เดือน โดยทุกเดือนจะไปหาคุณหมอเพื่อรีเช็ดและเปลี่ยนสายทุกเดือนตามนัดเพื่อความสะอาดและตรวจเลือด ซึ่งตลอดเวลาที่พ่อมีชีวิตดีแอปปี้ไปเที่ยว อยากกินอะไรก็ได้กิน(พ่อผมทำงานเริ่มจากไม่มีอะไรของจริงเวลาจะกินอะไรตั้งแต่ผมเกิดคือลูกอยากกินอะไรให้กินแต่แกไม่ยอมซื้อกิน)โชคดีเรื่องหนึ่งที่พ่อผมมีแม่ดูแลอาบน้ำให้ทำทุกอย่างให้เพราะพ่อเหมื่อนผู้ป่วยติดเตียงจะเดินที่ก็ต้องเกาะแม่เดิน แม่ช่วยดูแลตลอด
ช่วงต้นปี 61 ที่ผ่านมา(ประมาณ เดือนมีนาคม 2562 )แม่กับผมสังเกตุว่ามีชิ้นวุ่นขาวๆออกมากับปัสวะพ่อออกมาตามสายซึ่งมารู้ว่าชิ้นนั้นคือเศษเนื้อ(จุดสังเกตุเลยนะครับว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสวะ) พอถึงเดือนเมษายนกลางดึกอยู่ดีๆพ่อผมปวดท้องเลยรีบส่งแอดมินโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ๆดอนเมือง(ไม่ใช่โรงพยาบาลที่เข้าประจำทุกเดือนเพราะเข้าไม่ทันอันนี้ใกล้สุด) ซึ่งไม่ได้รับการวินิจฉัยใดๆนอนอยู่ 2 วันบอกว่ารอหมอ(หมอทางเดินปัสวะเข้าอาทิตย์ละ 3หรือ4 วันไม่แน่ในจำไม่ได้)จะมาอีก 1 วัน ซึ่งตอนนั้นปัสวะที่ออกมาที่ท่อปัสวะก็ไหลปกติผมจึงย้ายออกจากโรงพยาบาลกลับมากบ้าน
-วันที่แจ้งย้ายก็ดึงเวลากว่าจะย้ายออกได้ก็แจ้งตอน10.00น ให้ออกได้20.00(ขอไม่แจ้งนะครับว่าโรงพยาบาลไหนตั้งแต่เข้ามาก็เห็นความไม่ใส่ใจสำหรับผมแพงมาก นอน 2 วันมีให้น้ำเกลือกลับยาฆ่าเชื้อแค่นั้นยาแก้ปวดจ่ายไป 7 หมื่นได้ยาฆ่าเชื้อ) พอพากลับบ้านได้ 2 วัน ท่อปัสวะตั้นอีกคราวนี้ผมเลยพาพ่อไปโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าประจำทุกเดือนแถวคลองรังสิตได้ทำการแอดมินและเช้าวันรุ่งขึ้นทางคุณหมอทางเดินปัสวะได้นำพ่อผมไปตรวจเข้าเครื่องสแกนผลออกมาทางคุณหมอเรียกผมมาคุยหน้าห้องและแจ้งว่าพบชิ้นเนื้อขนาดใหญ่ในกระเพาะปัสวะผมเลยถามคุณหมอตรงๆว่าเป็นมะเร็งใช้ไหม(เพราะผมก็หาข้อมูลมาหลายทางซึ่งมีน้อยมาก) ทางคุณหมอที่โรงพยาบาลนี้ก็แจ้งว่ามีโอกาสและแนะนำวิธีการรักษา(ค่ารักษารวมอัลตราซาวล์ 4หมื่นกว่าบาทซึ่งถูกกว่า รพ.ก่อนหน้านี้มาก)ซึ่งทางผมได้แจ้งว่าพอดีจะไปทำงานรักษาที่โรงพยาบาลมหาลัย มศว
-จึงประสานงานทาง รพ.มศว ไปตรวจแนวทางรักษาทางคุณหมอทางเดินปัสวะได้มาดูซึ่งเป็นซึ่งอาจาร์ยหมอ(ต่อไปผมจะย่อว่า อ.นะครับ) เป็นคนเดียวกับที่วินิยฉัยพ่อผมเรื่องลูกหมากโตเมื่อ 3 ปีที่แล้ว คุณหมอเรียกผมเข้าไปคุยพร้อมแม่และผมก็พาพ่อเข้าไปด้วยเพราะผมบอกให้พ่อรู้เรื่องโรคแล้วจะได้ทำใจและรู้วิธีรักษา
ทาง อ.แจ้งว่ามีการรักษา 2 ทางคือ
1.ตัดกระเพาะปัสวะทิ้งและเอาลำไส้มาปั้นเป็นกระเพาะเล็กและมีสายปัสวะออกหน้าท้อง ผมเลยถามถึงโอกาสหาย อ.แจ้งก็เหมื่อนเอาขยะใส่ถุงดำไปทิ้งแต่ถามว่าอนาคตจะมีโอกาสลามไปไหมซึ่งผมให้ อ.แจ้งตรงๆทาง อ.แจ้งว่ามีโอกาสลามแต่ประเด็นคือกลัวว่าพ่อผมจะรับไม่ไหวเพราะ แก่และโรคเยอะแถมเดินไม่ได้จะทำให้ฟิ้นตัวยากและจะเป็นคนไข้ติดเตียงได้
2.วิธีรักษาแบบประคับประคอง คือการส่องกล้องเพื่อขูดเนื้อร้ายออกและต้องเช็ดทุก 3 เดือนวิธีนี้ร่างกายไม่เสียหายมากและวิธีการใช้ชีวิตจะดีไม่ทรมานมาก
ทั้ง2 วิธี อ.ให้เราปรึกษากันซึ่งผลออกมา เป็นแบบที่2 เพราะผมคุยกันแล้วว่าถ้าผ่าใหญ่กลัวพ่อผมไม่ตื่นเพราะโรคเยอะมากและพ่อผมก็ไม่เอาผ่าใหญ่ซึ่งจริงๆพ่อผมรู้ในใจแล้วว่ามันเป็นโรครักษาไม่หายเลยนัด อ.ส่องกล้องได้คิวเดือนหน้า(เดือน 6 ปี 62) ณ วันส่องกล้องเอาชิ้นเนื้อหลังจากพ่อผมออกห้องผ่าตัดได้สอบถาม อ.ว่าผลเป็นยังไงบ้าง อ.บอกว่าเนื้อร้ายเยอะเอาออกได้ประมาณ 60-70%เนื่องจากพ่อผมทนไม่ไหว(ไม่ได้วางยาสลบนะครับบล๊อคหลังเพราะร่างกายไม่ดีวางยาสลบไม่ได้) หลังจากการส่องกล้องนอนพักอยู่ รพ.2 อาทิตย์ และนัดมาส่องกล้องอีกที่ 3 เดือน
--พอระยะ 3 เดือน( เดือน กย.) ตามนัดมาตามดูอาการทาง อ.แจ้งว่าต้องส่องกล้องเนื้อจากเนื้อร้ายเพิ่มอีกซึ่งนัดมาเดือน ธค.62
-หลังจากกลับมาจากนัด พ่อผมก็ใช้ชีวิตปกติอยากกินอะไรได้กินมีก็แต่แกไม่ยอมนอนคิดมากเรื่องต้องไปส่องกล้องเดือน ธค.นอนไม่เต็มอิ่มเนื่องจากแกมีอาการคัน(ผมเปิดดูจากกล้อง ip ทุกวันเพราะผมทำงานจนดึก) ส่วนผมก็มีเข้าไปหาพ่อผมบ้างเวลาเข้าไปก็นั้งดู tv คุยกันจนมาถึงวันที่ 5 เข้าไปหาพ่อเห็นพ่อหลงๆลืมๆผมกับแม่ก็คิดว่าเป็นผลจากการที่พ่อผมไม่นอนกลางคืนทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ระหว่างนั้นผมก็ไม่ได้เข้าไปหาพ่อเนื่องจากที่ร้านยุ่งมากตอนต้นเดือน วันที่ 8 พย ตอนกลางคืนผมเข้าไปเยี่ยมพ่อแต่มีอาการหลงลืมแต่จำผมได้ สั่งให้ผมเอาไฟฉายแกไปซ่อมคุยเรื่องโน่นนี้ปกติแต่จะมีอาการหลงลืมเช่น ถามหามือถือประจำตัวของพ่อ เพราะพ่อผมจะโทรมาหาพี่สาวกับผมเกือบทุกวันในตอนกลางคืนว่ากลับบ้านยังขายดีไหม(ซึ่งไม่มีเสียงนั้นอีกแล้ว ยังดีที่ผมใช้ note10 ตัวมือถือผมตั้งบันทึกเสียงไว้วันไหนเหนื่อยๆท้อก็มาเปิดฟังเสียงแกที่โทรมา และก็ถือเป็นความโชดดีผมที่ตั้งแต่พ่อป่วยผมติดกล้อง ip แบบเต็มระบบซึ่งมันบันทึกเสียงและภาพพ่อไว้เอาไว้ด้วยเวลาไปเยี่ยมแกตอนกลับแกจะพูดว่าขอให้ขายดีๆนะอวยพรให้ตลอดยังน้อยๆก็มีไว้ให้ดู)
--วันที่ 9 แม่บอกว่าพ่อทรุดในตอนเช้ามีไข้ซึ่งปกติพ่อจะเป็นแบบนี้หลายครั้งแล้วแต่กินยาก็อาการหายดีทุกครั้ง ผมกับพี่สาวเข้าไปพ่อผมก็คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างผมกับพี่สาว นั้งเกือบๆ11.00น ผมกับพี่สาวบอกพ่อว่าเดียวมาเปิดร้านก่อนนะเพราะตอนที่เราเห็นคือคงไม่มีอะไรแล้ว พอมาเปิดร้านประมาณ 12.30 พี่สาวโทรมาบอกว่าแม่บอกให้กลับมาดูพ่อ เนื่องจากพ่อ อ้วกออกมาเป็นเลือดสีดำพี่สาวผมออกก่อนผมบอกพี่สาวว่าถ้าถึงแล้วให้พาไปโรงพยาบาล แต่ ณ วันนั้นมีการปิดการจราจรตรง หน้าฐานทัพ30 นาทีคนที่อาศัยจะเข้าใจว่าอะไรผมก็ไม่เอ่ยถึง พอพี่สาวผมไปถึงไม่เกิน 5 นาทีในพ่อผมก็เสียในบ้านโดยไปแบบสงบ ซึ่งถามว่าก่อนพ่อผมเสีย 4-5 วันทรมารมากไหมอันนี้ผมบอกตรงๆว่าผมไม่ทราบแต่วันที่ผมไปพ่อผมบอกปวดท้องเป็นช่วงๆตอนแกปวดท้องแกบอกให้ผมนวดกับให้ผมจับน้งตามท่าที่แกอยากนั้งแต่ก็หายปวด ซึ่งในครอบครัวเราทำใจมาในระดับหนึ่งแล้วและก็เป็นคำสั่งของพ่อผมไว้ว่าไม่เอาผ่าตัดใหญ่ ไม่เอาแบบเจาะคอใส่ถุงหายใจเพราะพ่อผมเห็นอาม่าเคยใส่แล้วแกทำใจไม่ได้และกลัวลูกเมียลำบาก สิ่งที่ผมพิมพิ์มานี้ผมอยากแชร์ประสบการณ์จากของครอบครัวผม ตอนพ่อผมป่วยผมกับคนที่บ้านเต็มที่ ช่องทางที่จะรักษาพ่อผมผมทำทุกทางติดต่อรบกวนคนรู้จัก(ซึ่งในชีวิตผมไม่อยากรบกวนคนอื่นเลย) ลูกค้าที่เป็นพยาบาล เป็นอาจาร์ยหมอหลายๆโรงพยาบาลซึ่งได้รับการช่วยเหลืออย่างดี (ซึ่งผมกราบขอบพระคุณมากๆครับ) แนวทางปฎิบัติตัวการเตรียมใจ
-- สิ่งที่ผมอยากจะแชร์(ขออภัยที่พูดตรง) โรคมะเร็งเป็นภัยเงียบถ้าเจอแล้วรักษาโอกาสหายจริงๆแบบหายขาดน้อยมากหายจากจุดนี้ก็ไปจุดอื่น สิ่งที่ทำได้ถ้าคนในครอบครัวเราเป็น สำคัญคือกำลังใจ ถ้ากำลังใจตกร่างกายจะอ่อนแอเหมื่อนพ่อผมการที่พ่อคิดมากทำให้นอนไม่หลับ และร่างกายอ่อนแอจนจากไป
-- ทุกเวลามีค่า ผมเป็นทำงานเปิดร้านบนห้างซึ่งไม่มีวันหยุดแต่ผมจะหยุดเดือนละ 2 วันเพื่อพาพ่อไปหาหมอและพาไปเที่ยวพ่อผมอยากกินหรือแกแค่เปรยๆมาว่าดูโทรทัศน์ผมก็ซื้อให้กิน มีอย่างเดียวที่ทำไม่ได้แกเคยบอกว่าอยากไปเมืองจีนตอนผมพอจะพาไปได้พ่อผมก็เดินไม่ได้ละแต่ในประเทศแกอยากไปไหว้ที่ไปเที่ยวไหนผมพาไปหมด ในฐานะที่ลูกคนหนึ่ง(บ้านเราไม่ได้รวย)จะพาไปได้
-- อันนี้ฝากถึงคนอยู่อย่าเอาคำพูดคนนอกครอบครัวมาพูด จะมีพวกบอกว่าทำไมไม่ไปที่นี้ ไม่พาไปที่นั้น ไม่รักษาที่นี้ ผมอยากให้ท่านปล่อยผ่านครับเอามาคิดเสียสุขภาพจิต คิดสะว่าคนที่พูดๆมาเดียวสักวันก็จะอยู่จุดที่เรายืนครับ
ปล.ยืนยันอีกรอบนะครับ การแชร์ของผมจุดประสงค์เพื่อให้คนที่อยู่ในจุดที่ผมผ่านมาแล้วมีกำลังใจหรือถ้าทางที่เดินมันบังคับให้ไปที่จุดที่เราไม่อยากให้เกิดเราเลือกได้ว่าเราจะใช้เวลาที่มีให้มีความสุข ทำให้คนที่เรารักมีชีวิตในแต่ละวันที่มีความสุขตามสภาวะของแต่ละครอบครัว
---- รูปนี้ พ่อผมดูรายการทีวีของ ช่อง 36 มีพิธีกรหนุ่ม พาไปเที่ยวญี่ปุ่น เมืองอะไรไม่รู้จำไม่ได้ แล้วแกก็เห็นว่า พิธีกรหนุ่มได้กินปูอลาสก้าแกก็พูดไปเลยว่าเนื้อน่าจะอร่อย ผมเลยสั่งมาให้แกกิน 1 ตัวโดยหลอกแกว่า ปูตัวนี้ราคา 1200บาท 5555 ซึ่งแกก็ไม่เชื่อหรอก รูปนี้ถ่ายก่อนแกเสีย 12 วัน ตอนที่แกถือปูผมยังแซวอยู่เลยว่ารูปนี้ หน้าตายิ้มแย้มมีความสุขดูแล้วมีความสุขฮาดีตอนยกปูเดี๋ยวถ้าไม่อยู่จะเอารูปนี้เป็นรูปหน้างานแกยังแซวบอกว่าไอ้บ้ากูยังไม่ตายง่ายๆหรอก (บ้านผมเลี้ยงลูกแบบเพือนลูกมานานแล้ว มีอะไรผมบอกพ่อหมดใครเห็นอาจจะตกใจพ่อลูกคู่นี้) แล้วแกก็หัวเราะ ชีวิตคนเราไม่แน่นอนเก็บเกี่ยวความสุข ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้นะครับ
อยากแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับโรคมะเร็งกระเพาะปัสวะในผู้สูงอายุ
-เนื่องจากวันที่ 13 เมษายน เป็นวันเกิดพ่อผมผมก็หวังกว่าการแชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้จะทำให้หลายๆครอบครัวที่กำลังเจอปัญญาแบบนี้มีแนวทางรักษา(จริงๆมันคือการยืดระยะให้คนป่วยจะมีชีวิตยังไง มีความสุขในชีวิตในช่วงท้ายชีวิตไหม) ถ้ากระทู้นี้มีประโยชน์กับคนอื่นขอให้พ่อผมได้รับผลบุญนี้ไปด้วยครับ
-- เข้าเรื่องเลยประมาณเมื่อสัก30 ปีที่แล้วพ่อผมทำงานกิจการขายส่ง ขายพวกข้าวสาร(ที่เป็นกระสอบ)ต้องส่งให้ลูกค้าผมจำได้ตอนผมอายุ12 ได้มีโอกาสไปหาหมอเกี่ยวกับสันหลังซึ่งสมัยนั้นเทคโนโลยีทางการแพทย์ไม่ได้ดีเท่านี้ ตอนนั้นคุณหมอก็วินิฉัยว่าเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นต้องผ่าแต่อัตราเสี่ยงเยอะมากตอนนั้นผมยังเล็กพี่สาวยังเล็กพ่อผมเลยไม่ผ่า กินยามาเรื่อยหลังจากนั้น5ปีก็เดินไม่ได้แต่เวลาเข้าห้องน้ำก็เดินเกาะราวเข้าได้แต่จะอ่อนแรง ผลจากการเดินไม่ได้ก็เครียดมีโรคความดัน เก๊าส์ และหัวใจโต
จนมาเมื่อ 4ปีที่แล้วพ่อผมเกิดอาการปัสวะไม่ออกซึ่งทางคุณหมอวิเคราะห์ว่าต๋อมลูกหมากโตซึ่งมีอัตราเกิดได้ในผู้สูงอายุชายที่เกิน 60 ปี แต่ด้วยการที่พ่อผมไม่สามารถเดินได้ทางคุณหมอจึงแจ้งว่าถ้าผ่าตัดจะมีปัญหาเพราะโรคเยอะและเคลื่อนตัวไม่ได้จึงแนะนำให้ใส่สายสวนปัสวะคาไว้ เวลาก็ผ่านไปเป็นเวลา 2ปี 6 เดือน โดยทุกเดือนจะไปหาคุณหมอเพื่อรีเช็ดและเปลี่ยนสายทุกเดือนตามนัดเพื่อความสะอาดและตรวจเลือด ซึ่งตลอดเวลาที่พ่อมีชีวิตดีแอปปี้ไปเที่ยว อยากกินอะไรก็ได้กิน(พ่อผมทำงานเริ่มจากไม่มีอะไรของจริงเวลาจะกินอะไรตั้งแต่ผมเกิดคือลูกอยากกินอะไรให้กินแต่แกไม่ยอมซื้อกิน)โชคดีเรื่องหนึ่งที่พ่อผมมีแม่ดูแลอาบน้ำให้ทำทุกอย่างให้เพราะพ่อเหมื่อนผู้ป่วยติดเตียงจะเดินที่ก็ต้องเกาะแม่เดิน แม่ช่วยดูแลตลอด
ช่วงต้นปี 61 ที่ผ่านมา(ประมาณ เดือนมีนาคม 2562 )แม่กับผมสังเกตุว่ามีชิ้นวุ่นขาวๆออกมากับปัสวะพ่อออกมาตามสายซึ่งมารู้ว่าชิ้นนั้นคือเศษเนื้อ(จุดสังเกตุเลยนะครับว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสวะ) พอถึงเดือนเมษายนกลางดึกอยู่ดีๆพ่อผมปวดท้องเลยรีบส่งแอดมินโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ๆดอนเมือง(ไม่ใช่โรงพยาบาลที่เข้าประจำทุกเดือนเพราะเข้าไม่ทันอันนี้ใกล้สุด) ซึ่งไม่ได้รับการวินิจฉัยใดๆนอนอยู่ 2 วันบอกว่ารอหมอ(หมอทางเดินปัสวะเข้าอาทิตย์ละ 3หรือ4 วันไม่แน่ในจำไม่ได้)จะมาอีก 1 วัน ซึ่งตอนนั้นปัสวะที่ออกมาที่ท่อปัสวะก็ไหลปกติผมจึงย้ายออกจากโรงพยาบาลกลับมากบ้าน
-วันที่แจ้งย้ายก็ดึงเวลากว่าจะย้ายออกได้ก็แจ้งตอน10.00น ให้ออกได้20.00(ขอไม่แจ้งนะครับว่าโรงพยาบาลไหนตั้งแต่เข้ามาก็เห็นความไม่ใส่ใจสำหรับผมแพงมาก นอน 2 วันมีให้น้ำเกลือกลับยาฆ่าเชื้อแค่นั้นยาแก้ปวดจ่ายไป 7 หมื่นได้ยาฆ่าเชื้อ) พอพากลับบ้านได้ 2 วัน ท่อปัสวะตั้นอีกคราวนี้ผมเลยพาพ่อไปโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าประจำทุกเดือนแถวคลองรังสิตได้ทำการแอดมินและเช้าวันรุ่งขึ้นทางคุณหมอทางเดินปัสวะได้นำพ่อผมไปตรวจเข้าเครื่องสแกนผลออกมาทางคุณหมอเรียกผมมาคุยหน้าห้องและแจ้งว่าพบชิ้นเนื้อขนาดใหญ่ในกระเพาะปัสวะผมเลยถามคุณหมอตรงๆว่าเป็นมะเร็งใช้ไหม(เพราะผมก็หาข้อมูลมาหลายทางซึ่งมีน้อยมาก) ทางคุณหมอที่โรงพยาบาลนี้ก็แจ้งว่ามีโอกาสและแนะนำวิธีการรักษา(ค่ารักษารวมอัลตราซาวล์ 4หมื่นกว่าบาทซึ่งถูกกว่า รพ.ก่อนหน้านี้มาก)ซึ่งทางผมได้แจ้งว่าพอดีจะไปทำงานรักษาที่โรงพยาบาลมหาลัย มศว
-จึงประสานงานทาง รพ.มศว ไปตรวจแนวทางรักษาทางคุณหมอทางเดินปัสวะได้มาดูซึ่งเป็นซึ่งอาจาร์ยหมอ(ต่อไปผมจะย่อว่า อ.นะครับ) เป็นคนเดียวกับที่วินิยฉัยพ่อผมเรื่องลูกหมากโตเมื่อ 3 ปีที่แล้ว คุณหมอเรียกผมเข้าไปคุยพร้อมแม่และผมก็พาพ่อเข้าไปด้วยเพราะผมบอกให้พ่อรู้เรื่องโรคแล้วจะได้ทำใจและรู้วิธีรักษา
ทาง อ.แจ้งว่ามีการรักษา 2 ทางคือ
1.ตัดกระเพาะปัสวะทิ้งและเอาลำไส้มาปั้นเป็นกระเพาะเล็กและมีสายปัสวะออกหน้าท้อง ผมเลยถามถึงโอกาสหาย อ.แจ้งก็เหมื่อนเอาขยะใส่ถุงดำไปทิ้งแต่ถามว่าอนาคตจะมีโอกาสลามไปไหมซึ่งผมให้ อ.แจ้งตรงๆทาง อ.แจ้งว่ามีโอกาสลามแต่ประเด็นคือกลัวว่าพ่อผมจะรับไม่ไหวเพราะ แก่และโรคเยอะแถมเดินไม่ได้จะทำให้ฟิ้นตัวยากและจะเป็นคนไข้ติดเตียงได้
2.วิธีรักษาแบบประคับประคอง คือการส่องกล้องเพื่อขูดเนื้อร้ายออกและต้องเช็ดทุก 3 เดือนวิธีนี้ร่างกายไม่เสียหายมากและวิธีการใช้ชีวิตจะดีไม่ทรมานมาก
ทั้ง2 วิธี อ.ให้เราปรึกษากันซึ่งผลออกมา เป็นแบบที่2 เพราะผมคุยกันแล้วว่าถ้าผ่าใหญ่กลัวพ่อผมไม่ตื่นเพราะโรคเยอะมากและพ่อผมก็ไม่เอาผ่าใหญ่ซึ่งจริงๆพ่อผมรู้ในใจแล้วว่ามันเป็นโรครักษาไม่หายเลยนัด อ.ส่องกล้องได้คิวเดือนหน้า(เดือน 6 ปี 62) ณ วันส่องกล้องเอาชิ้นเนื้อหลังจากพ่อผมออกห้องผ่าตัดได้สอบถาม อ.ว่าผลเป็นยังไงบ้าง อ.บอกว่าเนื้อร้ายเยอะเอาออกได้ประมาณ 60-70%เนื่องจากพ่อผมทนไม่ไหว(ไม่ได้วางยาสลบนะครับบล๊อคหลังเพราะร่างกายไม่ดีวางยาสลบไม่ได้) หลังจากการส่องกล้องนอนพักอยู่ รพ.2 อาทิตย์ และนัดมาส่องกล้องอีกที่ 3 เดือน
--พอระยะ 3 เดือน( เดือน กย.) ตามนัดมาตามดูอาการทาง อ.แจ้งว่าต้องส่องกล้องเนื้อจากเนื้อร้ายเพิ่มอีกซึ่งนัดมาเดือน ธค.62
-หลังจากกลับมาจากนัด พ่อผมก็ใช้ชีวิตปกติอยากกินอะไรได้กินมีก็แต่แกไม่ยอมนอนคิดมากเรื่องต้องไปส่องกล้องเดือน ธค.นอนไม่เต็มอิ่มเนื่องจากแกมีอาการคัน(ผมเปิดดูจากกล้อง ip ทุกวันเพราะผมทำงานจนดึก) ส่วนผมก็มีเข้าไปหาพ่อผมบ้างเวลาเข้าไปก็นั้งดู tv คุยกันจนมาถึงวันที่ 5 เข้าไปหาพ่อเห็นพ่อหลงๆลืมๆผมกับแม่ก็คิดว่าเป็นผลจากการที่พ่อผมไม่นอนกลางคืนทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ระหว่างนั้นผมก็ไม่ได้เข้าไปหาพ่อเนื่องจากที่ร้านยุ่งมากตอนต้นเดือน วันที่ 8 พย ตอนกลางคืนผมเข้าไปเยี่ยมพ่อแต่มีอาการหลงลืมแต่จำผมได้ สั่งให้ผมเอาไฟฉายแกไปซ่อมคุยเรื่องโน่นนี้ปกติแต่จะมีอาการหลงลืมเช่น ถามหามือถือประจำตัวของพ่อ เพราะพ่อผมจะโทรมาหาพี่สาวกับผมเกือบทุกวันในตอนกลางคืนว่ากลับบ้านยังขายดีไหม(ซึ่งไม่มีเสียงนั้นอีกแล้ว ยังดีที่ผมใช้ note10 ตัวมือถือผมตั้งบันทึกเสียงไว้วันไหนเหนื่อยๆท้อก็มาเปิดฟังเสียงแกที่โทรมา และก็ถือเป็นความโชดดีผมที่ตั้งแต่พ่อป่วยผมติดกล้อง ip แบบเต็มระบบซึ่งมันบันทึกเสียงและภาพพ่อไว้เอาไว้ด้วยเวลาไปเยี่ยมแกตอนกลับแกจะพูดว่าขอให้ขายดีๆนะอวยพรให้ตลอดยังน้อยๆก็มีไว้ให้ดู)
--วันที่ 9 แม่บอกว่าพ่อทรุดในตอนเช้ามีไข้ซึ่งปกติพ่อจะเป็นแบบนี้หลายครั้งแล้วแต่กินยาก็อาการหายดีทุกครั้ง ผมกับพี่สาวเข้าไปพ่อผมก็คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างผมกับพี่สาว นั้งเกือบๆ11.00น ผมกับพี่สาวบอกพ่อว่าเดียวมาเปิดร้านก่อนนะเพราะตอนที่เราเห็นคือคงไม่มีอะไรแล้ว พอมาเปิดร้านประมาณ 12.30 พี่สาวโทรมาบอกว่าแม่บอกให้กลับมาดูพ่อ เนื่องจากพ่อ อ้วกออกมาเป็นเลือดสีดำพี่สาวผมออกก่อนผมบอกพี่สาวว่าถ้าถึงแล้วให้พาไปโรงพยาบาล แต่ ณ วันนั้นมีการปิดการจราจรตรง หน้าฐานทัพ30 นาทีคนที่อาศัยจะเข้าใจว่าอะไรผมก็ไม่เอ่ยถึง พอพี่สาวผมไปถึงไม่เกิน 5 นาทีในพ่อผมก็เสียในบ้านโดยไปแบบสงบ ซึ่งถามว่าก่อนพ่อผมเสีย 4-5 วันทรมารมากไหมอันนี้ผมบอกตรงๆว่าผมไม่ทราบแต่วันที่ผมไปพ่อผมบอกปวดท้องเป็นช่วงๆตอนแกปวดท้องแกบอกให้ผมนวดกับให้ผมจับน้งตามท่าที่แกอยากนั้งแต่ก็หายปวด ซึ่งในครอบครัวเราทำใจมาในระดับหนึ่งแล้วและก็เป็นคำสั่งของพ่อผมไว้ว่าไม่เอาผ่าตัดใหญ่ ไม่เอาแบบเจาะคอใส่ถุงหายใจเพราะพ่อผมเห็นอาม่าเคยใส่แล้วแกทำใจไม่ได้และกลัวลูกเมียลำบาก สิ่งที่ผมพิมพิ์มานี้ผมอยากแชร์ประสบการณ์จากของครอบครัวผม ตอนพ่อผมป่วยผมกับคนที่บ้านเต็มที่ ช่องทางที่จะรักษาพ่อผมผมทำทุกทางติดต่อรบกวนคนรู้จัก(ซึ่งในชีวิตผมไม่อยากรบกวนคนอื่นเลย) ลูกค้าที่เป็นพยาบาล เป็นอาจาร์ยหมอหลายๆโรงพยาบาลซึ่งได้รับการช่วยเหลืออย่างดี (ซึ่งผมกราบขอบพระคุณมากๆครับ) แนวทางปฎิบัติตัวการเตรียมใจ
-- สิ่งที่ผมอยากจะแชร์(ขออภัยที่พูดตรง) โรคมะเร็งเป็นภัยเงียบถ้าเจอแล้วรักษาโอกาสหายจริงๆแบบหายขาดน้อยมากหายจากจุดนี้ก็ไปจุดอื่น สิ่งที่ทำได้ถ้าคนในครอบครัวเราเป็น สำคัญคือกำลังใจ ถ้ากำลังใจตกร่างกายจะอ่อนแอเหมื่อนพ่อผมการที่พ่อคิดมากทำให้นอนไม่หลับ และร่างกายอ่อนแอจนจากไป
-- ทุกเวลามีค่า ผมเป็นทำงานเปิดร้านบนห้างซึ่งไม่มีวันหยุดแต่ผมจะหยุดเดือนละ 2 วันเพื่อพาพ่อไปหาหมอและพาไปเที่ยวพ่อผมอยากกินหรือแกแค่เปรยๆมาว่าดูโทรทัศน์ผมก็ซื้อให้กิน มีอย่างเดียวที่ทำไม่ได้แกเคยบอกว่าอยากไปเมืองจีนตอนผมพอจะพาไปได้พ่อผมก็เดินไม่ได้ละแต่ในประเทศแกอยากไปไหว้ที่ไปเที่ยวไหนผมพาไปหมด ในฐานะที่ลูกคนหนึ่ง(บ้านเราไม่ได้รวย)จะพาไปได้
-- อันนี้ฝากถึงคนอยู่อย่าเอาคำพูดคนนอกครอบครัวมาพูด จะมีพวกบอกว่าทำไมไม่ไปที่นี้ ไม่พาไปที่นั้น ไม่รักษาที่นี้ ผมอยากให้ท่านปล่อยผ่านครับเอามาคิดเสียสุขภาพจิต คิดสะว่าคนที่พูดๆมาเดียวสักวันก็จะอยู่จุดที่เรายืนครับ
ปล.ยืนยันอีกรอบนะครับ การแชร์ของผมจุดประสงค์เพื่อให้คนที่อยู่ในจุดที่ผมผ่านมาแล้วมีกำลังใจหรือถ้าทางที่เดินมันบังคับให้ไปที่จุดที่เราไม่อยากให้เกิดเราเลือกได้ว่าเราจะใช้เวลาที่มีให้มีความสุข ทำให้คนที่เรารักมีชีวิตในแต่ละวันที่มีความสุขตามสภาวะของแต่ละครอบครัว
---- รูปนี้ พ่อผมดูรายการทีวีของ ช่อง 36 มีพิธีกรหนุ่ม พาไปเที่ยวญี่ปุ่น เมืองอะไรไม่รู้จำไม่ได้ แล้วแกก็เห็นว่า พิธีกรหนุ่มได้กินปูอลาสก้าแกก็พูดไปเลยว่าเนื้อน่าจะอร่อย ผมเลยสั่งมาให้แกกิน 1 ตัวโดยหลอกแกว่า ปูตัวนี้ราคา 1200บาท 5555 ซึ่งแกก็ไม่เชื่อหรอก รูปนี้ถ่ายก่อนแกเสีย 12 วัน ตอนที่แกถือปูผมยังแซวอยู่เลยว่ารูปนี้ หน้าตายิ้มแย้มมีความสุขดูแล้วมีความสุขฮาดีตอนยกปูเดี๋ยวถ้าไม่อยู่จะเอารูปนี้เป็นรูปหน้างานแกยังแซวบอกว่าไอ้บ้ากูยังไม่ตายง่ายๆหรอก (บ้านผมเลี้ยงลูกแบบเพือนลูกมานานแล้ว มีอะไรผมบอกพ่อหมดใครเห็นอาจจะตกใจพ่อลูกคู่นี้) แล้วแกก็หัวเราะ ชีวิตคนเราไม่แน่นอนเก็บเกี่ยวความสุข ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้นะครับ