คุณคิดว่า ปมวัยเด็กในอดีตที่ผ่านมาของคุณคือปมอะไรกันบ้างคะ? มาเล่ากันหน่อยค่ะ

ขอให้เราผ่านพ้นกับปมเหล่านั้นด้วยเถิด ปมเหล่านั้นเราสามารถลบล้างรักษาได้นะคะ เราเองก็มีปมค่ะ แต่ในวันนี้ เรารักษามันได้แล้วค่ะ

(เผื่อว่าใครบางคนอาจช่วยเหลือคุณได้)

ขอบคุณ​นะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
เป็นลูกกำพร้า โดนญาติทุบตีแบบไม่มีความรัก. เหมือนเป็นภาระเขา
ที่สำคัญเคยโดนลุงเขย. กระทำอนาจาร. จับหน้าอกบี้หัวนมตอนเรานอนหลับ. และแอบดูเราอาบน้ำ เล่าให้ป้าและคนอื่นๆฟังเขากลับบอกว่าเราโกหก. นี่กูหลานนะ   แต่ตอนนี้มันตายห่าไปละ
เราคือตัวปัญหา
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 40
เยอะมากค่ะ  มากมายจนถึงขั้นน้ำเน่า  ทุกวันนี้มันก็เหมือนรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ในชีวิตไปแล้ว เพียงแต่ว่าเราแค่ทิ้งไว้ข้างหลังแล้วก็ไม่หันกลับไปอีกก็เท่านั้น  ปมพวกนี้มันมีข้อดีแค่อย่างเดียว  ก็คือทำให้เรารู้สึกขอบคุณตัวเองทุกครั้งที่ผ่านมันมาได้  ถ้าไม่สนิทกันจริงๆเราจะไม่เล่า เพราะเราไม่มั่นใจว่าในสายตาคนเหล่านั้น มันจะเป็นเรื่องที่รับไม่ได้หรือจะเป็นแค่เรื่องเหลือเชื่อที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง เราอาจมีสิทธิ์ถูกมองในแง่ลบหรืออาจจะเป็นแค่คนแปลกแยกคนหนึ่งบนโลก อันนี้เราก็ไม่ทราบ  แต่ที่มาเล่าในกระทู้นี้แค่อยากให้คนที่สิ้นหวังมาอ่านเจอแล้วเกิดพลังบวกว่า ไม่มีปัญหาอะไรที่คนเราจะผ่านไปไม่ได้นะ แค่เชื่อมั่นในตัวเอง  ปมของเรามันมีมาตั้งแต่จำความได้ เกิดมาในบ้านฐานะกลางๆที่ถูกฝังหัวด้วยความเชื่อว่า มีลูกสาวก็เหมือนมีส้วมหน้าบ้าน เรื่องตบตีใช้ความรุนแรงในบ้านกลายเป็นเรื่องที่ถูกมองว่าธรรมดาและเราก็ต้องจำใจยอมรับมัน แค่หยิบจับทำไม่ถูกใจ ฉวยอะไรใกล้มือได้ฟาดมาที่เราหมด ไม่เขียวจนม่วงช้ำเลือดก็ไม่หยุด เราเคยพูดให้คนอื่นๆฟัง เค้ามองว่าไม่แปลก บอกต่อว่าเราน่าจะสำนึกบุญคุณในฐานะลูกเพราะเค้าเลี้ยงเรามา ใช่ เลี้ยง แต่เลี้ยงเหมือนอย่างวัวควาย ใช้งาน ตบตี ก็มีอยู่แค่นั้น  ดีหน่อยก็คือให้เราเรียนหนังสือจบภาคบังคับ เพราะน่าจะกลัวน้อยหน้าคนในหมู่บ้าน ได้ยินพูดแบบนี้ หลายคนชอบว่าเราอคติ อันนี้ไม่อคติ เพราะเวลาสอบวัดผลมาทีไร ถ้าได้น้อยกว่าเด็กข้างบ้านที่เรียนที่เดียวกัน รายการตบตีก็จะมาพร้อมคำด่าว่า มันโง่ ไม่เหมือนลูกอีบ้านนั้น  หนักสุดก็คือ หาว่าเราเป็น karee ไปยั่วครูฝึกสอนที่โรงเรียน เพราะเราอยากเรียนพิเศษภาษาอังกฤษเหมือนคนอื่นๆเค้า เราก็ทนจนเรียนจบม.6 แล้วหลังจากนั้นก็แตกหักกันด้วยการหนีออกจากบ้าน  ระเห็จออกมาอยู่คนเดียว มีแค่วุฒิม.6 เอกสารทางราชการ กระเป๋าเสื้อผ้าใบหนึ่ง เข้ากรุงเทพไปตายเอาดาบหน้าพร้อมเงินเก็บที่ซ่อนไว้ เหลือเงินติดตัวอยู่ 240  ที่ซุกหัวนอนอย่าได้หวัง เพื่อนก็ไม่มีให้ได้อาศัย เรามีทางเลือกอยู่แค่สองทาง คือ 1. นอนตามข้างทางเหมือนคนไร้บ้าน เสี่ยงดวงเรื่องภัยอันตราย หรือไม่ก็กลับไปตายรังวนลูปที่เดิม  มันเป็นทางเลือกที่บีบคั้น แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้เรายอมทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน  เราเดินเข้าไปในร้านโชวห่วยขายส่งขนมที่เค้าติดป้ายรับพนักงาน หิ้วกระเป๋าเข้าไปของานทำ ขอที่อยู่กับเค้าจนเจ้าของร้านเงิบและงงไปเลย แต่สุดท้ายเค้าก็ให้เราทำงาน มีที่นอนที่ปลอดภัยให้ ซึ่งก็ไม่ใช่ห้องหับอะไรนะ ฟูกปิคนิกกับผ้าห่มบางๆปูนอนมันตรงพื้นซีเมนต์ข้างลังขนมตอนปิดร้านนั่นแหละ มีข้าวมีน้ำให้กิน อาจจะไม่สะดวกสบายแต่เราก็ไม่อดตายเพราะความหน้าด้านของตัวเองในครั้งนั้น  เราทำงานเก็บเงินได้พักหนึ่งก็ออกไปเช่าหออยู่เอง และพยายามเก็บเงินเข้าเรียนต่อมหาลัย  แต่ในความโชคร้ายมันก็ยังมีความโชคดี เพราะพี่น้องของเจ้าของร้านที่เราทำงานด้วยเกิดถูกชะตา ขอเราไปสอนหนังสือหลานสาววัยอนุบาลของเค้าพร้อมกับสนับสนุนให้เรียนต่อมหาลัยจนจบ ค่าเล่าเรียนเค้าออกให้ก่อน แล้วจากนั้นก็มาหักจากเงินเดือนเราไปครึ่งหนึ่ง จนถึงวันรับปริญญา เค้ายกหนี้ที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้เราเป็นของขวัญ นี่เป็นเรื่องดีที่สุดในชีวิตเท่าที่เราเคยมีมา ทุกวันนี้ถึงเราแต่งงานไปแล้วก็ยังไปมาหาสู่ตลอด  สำหรับบ้านนั้นที่เราหนีมา หลังจากเราตัดทุกอย่างออกจากสารบบ เราก็ไม่รู้ข่าวอีก แม้กระทั่งชื่อนามสกุลเราก็เปลี่ยนใหม่หมดตอนอายุ 20 มารู้ก็ตอนที่มีเฟสบุ๊ค มีคนละแวกนั้นจำเราได้เลยแอดมาพูดให้ฟังว่า คนแถวนั้นพากันสาปแช่งเรา  หาว่าเราอกตัญญูบ้าง เนรคุณบ้าง ซึ่งเราก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร เหมือนมันชินชาไปแล้ว แต่เรื่องมันไม่จบเพราะคนที่แอดเฟสเรามาส่องเห็นเราแต่งงานกับคนอังกฤษ บ้านนั้นเลยพยายามแอดมา มาพูดดีด้วย อวดไปทั้งคุ้งว่าเรามีผัวฝรั่ง จะได้ค่าดองหลักแสนหลักล้านเหมือนบ้านนั้นบ้านนี้ เราเลยจบเรื่องไปที่การบล็อกและบอกว่า ขอให้ต่างคนต่างอยู่  พูดให้สามีฟังเค้ายังส่ายหัวแล้วบอกว่า " เค้าไม่สมควรได้เธอเป็นลูกสาว "  เพราะปมเหล่านี้ทำให้เราพยายามสรรหาแต่อะไรดีๆให้ลูก  สอนให้เค้าเห็นคุณค่าในการเห็นอกเห็นใจคนอื่น  เห็นเพื่อนๆ เห็นคนอื่นๆที่มีพ่อแม่ในครอบครัวปกติ บางครั้งเราก็รู้สึกอิจฉานะ  แต่อดีตมันย้อนกลับไปไม่ได้ เราก็ได้แต่ยินดีกับเค้าด้วย แล้วก็ก้าวไปข้างหน้า  เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ อมยิ้ม04
ความคิดเห็นที่ 15
เราจำได้ว่าสมัยประถม คุณครู ให้อ่านหนังสือทีละคนแล้วเราเคยติดอ่างหนักมากตอนนั้น พอถึงตอนเรา เราติดอ่าง อ่านหนังสือ คือตื่นเต้น แล้วพอเราอ่านมันก็ติดอ่าง อาจารย์เลยบอกว่าทำไม เธอไม่อ่าน เธออ่านไม่ออกหรอไง แล้วอาจารย์ก็ขำ เพื่อนในห้องก็ขำเราหนักมาก เคยล้อเรา จากวันนั้นจนวันนี้เราจำจนวันตาย เรากลัวการพีเซ้นหน้าห้อง กับการอ่านหนังสือถามตอบทีละคนไปเลย มันเป็นปมที่เราจำได้ไม่เคยลืม ทุกวันนี้เราเจอครูคนนั้นที่จำเราเราไม่เคยเคารพหรือไหว้เลย. 😅
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่